Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1662 - พระราชวังมังกรสมุทร? เลือกที่จะไม่อยู่ ประมุขของพระราชวังมังกร
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1662 - พระราชวังมังกรสมุทร? เลือกที่จะไม่อยู่ ประมุขของพระราชวังมังกร
บทที่ 1662 – พระราชวังมังกรสมุทร? เลือกที่จะไม่อยู่ ประมุขของพระราชวังมังกร
คนของพระราชวังอาทิตย์อัสดงเริ่มดูมีความสุขเมื่อเห็นชายชราได้ตายไป ชายชราเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธในระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แต่ก็ยังต้องตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ถูกสังหารในการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
ในตอนนี้สีหน้าของชายชราในชุดคลุมม่วงไม่อาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป แม้กระนั้นเขาก็รู้ตัวดีว่าไม่อาจถอยกลับได้อีกต่อไปแล้ว
หมาจนตรอกย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้รอดชีวิต ชายชราทั้ง 2 คนรีบพุ่งตรงเข้ามาหาชิงสุ่ยพร้อมๆกันทั้ง 2 คนนั้นต่างก็มีสายเลือดของมังกรเกล็ดทองคำ ความจริงแล้วตำแหน่งของพวกเขานั้นถือว่าสูงส่งเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยความปั่นป่วนในตอนนี้ มังกรเกล็ดทองคำที่ยาวกว่า 1000 เมตรแสดงความน่าเกรงขามออกมา พลังของชายชราเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเป็นเท่าตัว นี่คือความสามารถของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งมังกรเกล็ดทองค่า
นี่คือการต่อสู้แห่งความเป็นและความตาย แต่ความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองฝ่ายนั้นก็ถือว่างานกันมากเกินไป
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งมังกรเกล็ดทองคำนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้พลังของชายชรานั้นเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว ดังนั้นด้วยจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ทำให้พวกเขานั้นไม่ด้อยไปกว่ามู่หยุนซึ่งเก้อเลย
ชิงสุ่ยปลดปล่อยพยัคฆ์พิฆาตของเขาออกไปทันที กรงเล็บพยัคฆ์ขนาดใหญ่ตะปบลงไปที่ร่างของชายชราแต่ชายชราก็สามารถป้องกันได้อย่างรวดเร็วด้วยอาวุธของเขา
ตุ้ม!
แม้ว่าเขาจะสามารถป้องกันได้สำเร็จแต่เขาก็ไม่อาจป้องกันพลังอันมหาศาลนี้ไปได้ตลอด
ซึ่งส่ยใช้ขาข้างซ้ายของเขาเตะออกไปทันที พลังที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนทุกตรงเข้าไปที่หน้าอกของชายชรา
ลูกเตะพยัคฆ์คารณ!
แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ได้ฝึกฝนรูปแบบพยัคฆ์จนถึงระดับที่มันได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปแต่เขาก็อยู่ในระดับเดียวกันกับหมิงเยวี่ย เก้อโหลว อีหวง หวีนั้นได้ฝึกฝนจนรูปลักษณ์ของมันได้เปลี่ยนไปแล้วแต่เขายังไม่อาจทำเช่นนั้นได้
ทุกๆอย่างกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ชิงสุ่ยปรากฏตัวออกมาเพียงหนึ่งก้านธูปและทุกอย่างก็หายไปจนหมดสิ้น ในระยะเวลาเพียงเท่านี้ผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ถึง 3 คนและยอดฝีมืออีกกว่า 40 คนต้องสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไป
ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกเกลียดพระราชวังมังกรอุดรเป็นอย่างมาก แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ออกมาเคลื่อนไหวใดๆแต่มันก็จะเป็นปัญหาสำหรับหญิงสาวทั้งสามคนได้ เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็รู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตามพระราชวังมังกรคงไม่ปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปง่ายๆอย่างแน่นอน พวกนางทั้งสามคนยังต้องเจอปัญหาอีกมากมาย พวกนางทั้งสามคนในตอนนี้ได้ก้าวเข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่าประมุขวังจะไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการต่อสู้ครั้งนี้แต่ชิงสุ่ยก็ยังเป็นผู้พิทักษ์ของพระราชวังอาทิตย์อัสดง ดังนั้นผลที่ออกมามันก็เหมือนกัน พระราชวังอาทิตย์อัสดงต้องสูญเสียคนไปกว่า 10 คนในการต่อสู้ในวันนี้ดังนั้นสถานการณ์ในวันนี้เป็นความเสียใจของทั้งสองฝ่าย
“ในตอนนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าพวกเรานั้นเป็นปรปักษ์ต่อพระราชวังมังกรอุดร” ประมุขแห่งพระราชวังอาทิตย์อัสดงกล่าวออกมา
ชิงสุ่ยยิ้ม “พระราชวังมังกนั้นยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ สิ่งที่น่ากลัวในตอนนี้ก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขามากกว่า”
ทุกๆนิกายหรือตระกูลต่างก็มีผู้อยู่เบื้องหลัง บางแห่งอาจจะมีแค่ 1 คนบางแห่งอาจจะมีได้หลายๆคน ซึ่งสู่กำลังสันนิษฐานอยู่ในตอนนี้ ถ้าหากว่าไม่มีผู้ที่อยู่เบื้องหลังของพระราชวังมังกรอุดรเรื่องนี้คงจะจบลงไปอย่างง่ายดาย
ตามทฤษฎีของระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในโลกใบนี้ ผู้ที่อยู่ในระดับระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นล้วนมีมากมายแต่พวกเขาล้วนซ่อนเร้นและปิดบังตัวตน และมีเพียงระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเองเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ถึงอีกฝ่ายได้
มันเหมือนกับคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนธรรมดารอบรอบตัว ผู้แสวงหาอ่านาจก็จะอยู่ในหมู่ผู้ที่มีอานาจ พ่อค้าที่ร่ำรวยก็มักมีมิตรสหายที่ร่ำรวย ดังนั้นจึงมีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเอง
“พลังในตอนนี้ของพระราชวังมังกรอุดรนั้นถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง ราชันมังกรนั้นเป็นมังกรที่แท้จริงและสืบเชื้อสายมาจากราชันย์มังกรอุดร แต่นั่นมันก็แค่ชื่อเรียกเท่านั้น” มู่หยุน ชิงเก้อยิ้มเยาะเย้ย
“ราชันย์มังกรอุดร?” ชิงสุ่ยรู้สึกสงสัย ราชันย์มังกรอุดรนั้นเป็นหนึ่งในผู้ที่ทรงพลังมากที่สุดในแดนทะเลเหนือ พวกเขาสืบเชื้อสายส่งต่อกันอย่างนั้นพระราชวังมังกรอุดรก็น่าจะสืบเชื้อสายมาจากพวกเขา บรรพบุรุษของพวกเขาย่อมเป็นราชันย์มังกรอุดร เมื่อผ่านมาหลายชั่วอายุคนนั้นสายเลือดแห่งราชันมังกรย่อมเจือจางลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ราชันย์มังกรในทะเลทั้ง 4 ทิศต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาแต่ละคนนั้นอาศัยอยู่ในส่วนลึกที่สุดของน่านน้ำในการปกครองของตนเอง พลังของแต่ละคนนั้นมหาศาล พวกเขาต่างเป็นผู้ปกครองในน่านน้ำและได้รับพลังของวารีเบญจธาตุ
“อย่ากังวลไปเลย แดนทะเลเหนือนั้นกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด พระราชวังมังกรสมุทรนั้นก็มีลูกหลานหลายร้อยหลายพันคน ตามที่พวกเขาตายไปในวันนี้บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลยก็เป็นได้” ประมุขแห่งพระราชวังอาทิตย์อัสดงมั่นใจ
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าพระราชวังมังกรอุดรจะส่งคนออกมาอีกหรือไม่?” ชิงสุ่ยสอบถาม
“ค่าเองก็ไม่แน่ใจ เพราะพวกเขาสูญเสียผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ไปถึง 3 คน บางทีพวกเขาอาจจะส่งผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่นี่มากกว่านี้อีก” อีเย่เจี้ยนเก้อวิเคราะห์ดู
ชิงสุ่ยเห็นด้วย ด้วยระดับผมพระราชวังมังกรอุดรความสูญเสียในวันนี้ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวได้เลยยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมียอดฝีมืออีกมากมายหรืออาจสามารถยืมมือของพันธมิตรเพื่อสังหารศัตรูของพวกเขา
“เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงแค่รอคอยเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็คงรู้เองว่าต้องทำเช่นไร” ชิงสุ่ยยิ้มให้กับประมุขวงทั้ง 3 คน ลึกๆในใจแล้วเขาอยากจะให้เรื่องนี้จบลงโดยไม่มีอันตรายใดๆ
ประมุขวงทั้ง 3 คนตัดสินใจที่จะไม่ไปที่แดนทะเลเหนือและอยู่ในแดนทะเลน้ำแข็งของตนเอง พวกนางต้องการขยายความแข็งแกร่งของตนเองออกไปและปกครองแดนทะเลน้ำแข็งแห่งนี้
ชิงสุ่ยนั้นก็เห็นด้วยเช่นกัน เพราะพระราชวังอาทิตย์อัสดงนั้นมียอดฝีมืออีกเพียงไม่กี่คนนอกเหนือจากประมุขวงทั้ง 3 คน ผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นสุดยอดฝีมือหากอยู่ในระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจก็เหมือนกับต้องเอาชีวิตของตนเองไปเสียงอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ!
ชิงสุ่ยอยากจะให้คนของพระราชวังมังกรมาแก้ปัญหานี้ให้จบโดยเร็ว พลังของประมุขวงทั้ง 3 คนย่อมไม่อาจหยุดสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยต้องการให้พวกเขามุ่งเน้นไปที่การรักษาเสถียรภาพของตนเองโดยไม่ต้องผลักดันให้เกิดการพัฒนาในตอนนี้
อีก 3 วันถัดมาพระราชวังมังกรก็ส่งคนออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มีเพียง 5 คนเท่านั้น นอกจากนี้พวกเขายังไม่ได้สังหารผู้คนอย่างพร่ำเพรื่อเหมือนก่อนหน้านี้
“พวกเรามาจากพระราชวังมังกรสมุทร ขอให้พวกท่านออกมาพบด้วย!”
เสียงที่ดังขึ้นกระจายออกไป นี่ทำให้ชิงสุ่ยและประมุขวงทั้ง 3 คนรับรู้ได้ถึงพลังของศัตรู
มีชาย 4 คนและชายวัยกลางคน 1 คนที่ยืนอยู่กลางอากาศ ชายวัยกลางคนนั้นดูหล่อเหลาอย่างยิ่งกลิ่นอายของเขานั้นให้ความรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวและความเมตตา เขาย่อมมีตำแหน่งใหญ่ในพระราชวังมังกรอย่างแน่นอน
ชิงสุ่ยไม่ได้พูดอะไรออกมารวมถึงประมุขวงทั้งสามคนด้วยเช่นกัน ศัตรูก็เพียงจ้องมองมาที่ชิงสุ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม ชิงสุ่ยส่ายศีรษะของเขาและกล่าวว่า “ต้องการพบพวกเรามีอะไรงั้นหรือ?”
ชิงสุ่ยอยากจะหาข้อมูลจากคนพวกนี้ให้ได้มากที่สุดบางทีเขาอาจจะโชคดีได้รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของพระราชวังมังกรสมุทรนั้นเป็นใคร
ความเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้คือพวกเขาออกลาดตระเวนเพื่อมองหาพลังที่แข็งแกร่งมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
“ท่านจะต้องเป็นชิงสู่ยอย่างแน่นอน พวกเรามาที่นี่พร้อมกับความจริงใจ” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าที่ยินดี ราวกับว่าการสูญเสียของพระราชวังมังกรไม่มีผลใดๆต่อพวกเขาเลย
เมื่อมองไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าชิงสุ่ยก็สามารถรับรู้ได้ถึงพลังของเขาได้ ชายวัยกลางคนผู้นี้มีพลังมากถึง 3000 เต่
ชิงสุ่ยรู้สึกตกตะลึง ชายผู้นี้ย่อมทรงพลังแรงๆอย่างยิ่งในพระราชวังมังกรสมุทรอย่างแน่นอน ชิงสุ่ยเริ่มวางแผนขึ้นมาในตอนนี้
“ใช่ ข้าเองก็รับรู้ได้ แต่พวกท่านมาที่นี่ต้องการอะไรงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยมองตรงไปที่ชายวัยกลางคน
“ข้าต้องการที่จะประลองกับท่านชิง ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงเรื่องทั้งหมดระหว่างพระราชวังมังกรและพระราชวังอาทิตย์อัสดงจะถูกกำหนดขึ้นมาในตอนนั้น ท่านคิดเช่นไร?” ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมกับก้าวเดินออกมาด้วยความมั่นใจ
ชิงสุ่ยย่อมไม่เชื่อในคำพูดของเขา พวกเขาไม่ได้พูดถึงความเป็นและความตายพวกเขาพ่ายแพ้อาจจะกลับ คำและทำลายพระราชวังอาทิตย์อัสดงไปหรือไม่ก็อาจจะหาโอกาสหวนกลับมาแก้แค้นในอนาคต ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการแก้แค้นไม่ว่าจะผ่านไปเป็นสิบปี ร้อยปี หรือพันปี
จริงๆแล้วชิงสุ่ยก็อยากจะต่อสู้ด้วย แต่มันไม่ใช่การจบปัญหาอย่างน้อยที่สุดการที่เขาสังหารคนของพระราชวังมังกรไปกว่า 50 คนก่อนหน้านี้ก็เป็นคำตอบได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นชิงสุ่ยจึงมีแผนการของเขาเช่นกัน เขายิ้มและกล่าวว่า “ได้สิ กระบีนั้นไม่มีตา ไม่มีผู้ใดรู้หรอกว่าผลของการต่อสู้นั้นจะออกมาเป็นเช่นไร”
ชิงสุ่ยพูดออกไปก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะพูดอะไรต่อ ชายวัยกลางคนยิ้มและกล่าวว่า “ฉันเองก็ต้องระวังด้วยเช่นกัน”
ชายผู้นี้มีนามว่าโอวซิ่วหลี เขาเป็นประมุขของพระราชวังมังกร เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด เขาเป็นผู้ชื่นชอบการต่อสู้และมักจะหาโอกาสที่จะได้ประลองกับผู้อื่นอยู่เสมอโดยเฉพาะกับผู้ที่อ่อนแอกว่า
ครั้งนี้เป็นเพราะเขาได้เห็นประมุขวงทั้ง 3 คน เขารู้ดีว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่คู่ควรกับหญิงสาวเรานั้นเลย ยิ่งเขาพลังมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความกระหายมากขึ้นเท่านั้น
ชิงสุ่ยก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจของเขา นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังได้วางแผนเอาไว้แล้ว สีหน้าของเขานั้นยังคงจะบอกให้
ชิงสุ่ยนง้าวทองทะลวงศัตรูออกมา เขาจะไม่ประมาทศัตรูในตอนนี้และใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมี
หงส์เพลิงสะบันศึก, รัศมีแห่งเทพสงคราม!
รัศมีสีเทาปรากฎรอบตัวของชายวัยกลางคน กลิ่นอายของเขาก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น ในมือของเขานั้นถึงง่าวเงินเอาไว้ซึ่งคล้ายคลึงกันกับงาวทองทะลวงศัตรูของชิงสุ่ยและมันเปล่งรัศมีราวกับแสงจันทร์ออกมา
นี่คืออาวุธที่อยู่ในในตำนาน ชิงสุ่ยไม่ประหลาดใจเลยเพราะศัตรูของเขานั้นเป็นถึงประมุขของพระราชวังมังกร,