Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1055 ในที่สุดก็ถึงคราวข้าออกโรง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1055 ในที่สุดก็ถึงคราวข้าออกโรง
ขณะเดียวกันยอดมกุฎรุ่นเยาว์บนยอดเขาอื่น สายตาที่มองสนามประลองโชควาสนาตรงกลางนั่นก็เจือความฮึกเหิมอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ไม่ว่าพรสวรรค์เป็นเลิศแค่ไหน และไม่ว่าความคิดลึกซึ้งเท่าใด คนที่สามารถเด่นตระหง่านบนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่อายุไม่เกินสามสิบปี
ช่วงเวลานี้ใครเล่าจะไม่สะทกสะท้าน
ในฐานะผู้กล้าที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน แน่นอนว่าต่างหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี การแย่งชิงโชควาสนาครานี้ ไม่ว่าใครล้วนต้องทุ่มสุดกำลัง
ไม่มีใครอยากอยู่ใต้คนอื่นแน่!
การแย่งชิง ก็คือการชิงพลานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!
…
วู้ม!
ทันใดนั้นเสียงแปลกประหลาดพลันดังขึ้น ถาโถมปั่นป่วนฟ้าดิน
ภายใต้สายตาที่จับจ้องนับไม่ถ้วน ในเส้นทางประกายทองสามสิบหกสายนั่น มีสองสายที่กำลังเกิดคลื่นดุจกระแสวารี
เวลาต่อมายอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่ยืนอยู่หน้าเส้นทางประกายทองสองสายนี้ ก็ถูกเคลื่อนย้ายไปบนสนามประลองตรงกลาง
แบ่งเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง
ชายหนุ่มร่างกายสูงโปร่ง อานุภาพพลังดั่งหิมะน้ำแข็ง แผ่ความหนาวเย็นเสียดกระดูก
เขามาจากลัทธิเทพต้นกำเนิดแห่งแดนชัยบูรพา นามเลี่ยเหวินเหลียง
ส่วนหญิงสาวสะโอดสะองราวดอกบัวกลางสระ หน้าตาสุภาพ ทั่วร่างห้อมล้อมแสงมรรคสีม่วงอ่อนหลากสายเสมือนมายา
นางมาจากสำนักเอกอุ นามกู่เหลียงผิง
ทั้งสองต่างเป็นบุคคลแห่งยุคที่หลินสวินไม่รู้จัก แต่พวกเขาสามารถครองยอดเขากลายเป็นหนึ่งในสามสิบหกยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้ ก็เพียงพอพิสูจน์ความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้ว
ไม่นานการต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างไม่ผิดจากที่คาด ในสนามประลองประกายศักดิ์สิทธิ์ตัดสลับไปมา แสงสมบัติจู่โจม ทันทีที่เริ่มต้นก็ปรากฏสถานการณ์ต่อสู้ดุเดือดสะเทือนใต้หล้า
ณ เชิงเขา เสียงร้องประหลาดใจดังไม่หยุด
บนยอดเขา หลินสวินและเหล่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์ต่างกำลังจับตามองใกล้ชิด
ไม่นานนักการต่อสู้ก็ปิดฉาก ตัดสินผลแพ้ชนะ
กู่เหลียงผิงอาศัยข้อได้เปรียบเล็กน้อย ซัดเลี่ยเหวินเหลียงจนแพ้พ่าย ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย
ขณะเดียวกันบนศิลามังกรขดที่เดิมเป็นของเลี่ยเหวินเหลียง พลังโชควาสนามหามรรคดุจมายาสายหนึ่งพุ่งทะยาน โถมสู่ศิลามังกรขดที่กู่เหลียงผิงครอบครอง
อีกทั้งภูเขาเทพไร้มรณะยังมอบรางวัลโชควาสนามหามรรคต่างหากแก่กู่เหลียงผิงผู้ได้ชัยชนะคนนี้
การแย่งชิงโชควาสนาเป็นเช่นนี้นี่เอง!
ไม่เพียงยึดโชควาสนามหามรรคของคู่แข่ง ยังสามารถได้รับรางวัลจากภูเขาเทพไร้มรณะด้วยเหตุนี้
‘ไม่มีสมบัติอริยะและพลังต้องห้ามเป็นไพ่ตาย ที่ประลองกันคือพลังต่อสู้ที่แท้จริงของแต่ละคน เลี่ยเหวินเหลียงนั่นแข็งแกร่งยิ่ง แต่พลังมหามรรคที่ครอบครองกลับด้อยกว่ากู่เหลียงผิงเสี้ยวหนึ่ง’
หลินสวินใคร่ครวญ
ยอดมกุฎรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ก็กำลังวิเคราะห์พลังต่อสู้ของกู่เหลียงผิงเช่นกัน พิจารณาว่าหากตนต้องประลองกับหญิงสาวผู้นี้ควรรับมือและชิงชัยอย่างไร
ไม่ช้าการประลองรอบที่สองก็เริ่มต้น ผู้ลงสนามคือโก่วเหยียนเจิน
คู่ต่อสู้ของเขาคือชายหนุ่มนามเกาซานไห่ มาจากสำนักยุทธ์เมฆาสวรรค์แห่งแดนฐิติประจิม พลังต่อสู้แข็งแกร่งยิ่ง
ตูม!
ทันทีที่การต่อสู้เริ่มต้น เกาซานไห่ก็เรียกสมบัติออกมาแล้วพุ่งเข้าไปเต็มกำลัง เห็นชัดว่าเขารู้ถึงความน่ากลัวของโก่วเหยียนเจินดี
โก่วเหยียนเจินยิ้มเหี้ยมเกรียม ถือแส้ยาวสีเลือดรวมเจ็ดสิบสองปล้องดุจกระดูกสันหลังสีโลหิต ภายใต้การสะบัดครั้งเดียว สนามประลองพลันเกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นเสียดหูหาใดเปรียบ
เงาร่างเขาอหังการฮึกเหิม แส้โลหิตทะยานฟ้าปล่อยคลื่นมหามรรคน่าหวาดกลัว เพียงแค่สิบกว่ากระบวนท่าก็กำราบเกาซานไห่ได้
ในกระบวนที่สี่สิบกว่า เกาซานไห่ถูกแส้เฆี่ยนจนแผลเต็มตัว กล้ามเนื้อกระดูกแตกหักเพิ่มมากขึ้น
ในกระบวนที่หกสิบกว่า เกาซานไห่ถูกฟาดจนศีรษะ ร่างกายต่างถูกแส้โลหิตฟาดกระจุยอย่างแข็งกร้าว
ซ่า…
ฝนโลหิตโปรยปราย อาบไล้เงาร่างโก่วเหยียนเจิน ขับเน้นจนเขาประหนึ่งมารร้ายกระหายเลือด น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
“เจ้าลูกหมาทมิฬนี่หยั่งรู้มหามรรค ‘อสูรมายาทมิฬ’ แล้ว นี่เป็นถึงพลังมหามรรคหายากที่จัดอยู่ในอันดับมหามรรคเทียมฟ้า อานุภาพอัศจรรย์อำมหิต”
“เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬแม้ทำให้ผู้คนรังเกียจ แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่ารากฐานของเผ่านี้ช่างแข็งแกร่งยิ่ง โก่วเหยียนเจินนี่ต้องเป็นพวกคนแกนหลักระดับ ‘บั่นหมื่นเศียร’ ของเผ่าแน่”
ตรงเชิงเขาเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังต่อเนื่อง ล้วนถูกท่าทางต่อสู้อันเหี้ยมโหดดุดันนั่นของโก่วเหยียนเจินทำเอาตระหนก
หมายเอาชนะผู้แข็งแกร่งที่เป็นยอดมกุฎรุ่นเยาว์เหมือนตนนั้นไม่ง่าย
คิดสังหารอีกฝ่ายยิ่งยากเสียยิ่งกว่ายาก
โก่วเหยียนเจินกลับสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ล้วนพิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัยแล้วว่า พลังต่อสู้ที่เขามีเพียงพอดันตนขึ้นสู่แนวหน้าในการแข่งขันชิงโชควาสนาครานี้!
‘ไม่แปลกที่กล้าจองหองอำมหิตเช่นนี้ ที่แท้ก็พอมีฝีมือ’
หลินสวินนัยน์ตาวาววาบ เขาเก็บรายละเอียดของการต่อสู้ไว้หมด ถือว่าเข้าใจศักยภาพที่แท้จริงของโก่วเหยียนเจินโดยคร่าวๆ
“หลินสวิน! เจ้าน่าจะรู้ว่าคนที่ข้าอยากสังหารที่สุดก็คือเจ้า ทางที่ดีเจ้าล้างคอรอข้าได้เลย!”
ทันใดนั้นโก่วเหยียนเจินพลันส่งเสียงตวาด นัยน์ตาแดงก่ำฉายประกายเหี้ยมโหด
จากนั้นเขาถูกเคลื่อนย้ายกลับแท่นมรรคบนยอดเขา ศิลามังกรขดข้างกายเขาเพิ่มรางวัลโชควาสนามหามรรคเช่นกัน
“ดูสิ เมื่อครู่ข้าพูดอะไรได้อย่างนั้น เทพมารหลินนี่ต่อให้ดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้ ก็ต้องถูกหมายหัวและกดดัน!”
บริเวณเชิงเขา ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
สีหน้าหลินสวินราบเรียบ ไม่สะทกสะท้าน
การชิงโชควาสนาครั้งนี้ คนที่เขาอยากสังหารที่สุดมีสองคน คนแรกคือชิงเหวินเจวี้ยน คนที่สองก็คือโก่วเหยียนเจินนี่!
การประลองรอบที่สาม อวี่หลิงคงปรากฏตัวในสนามประลอง หลังผ่านไปหลายสิบกระบวนท่าก็เอาชนะคู่แข่งได้
เปรียบเทียบกับตอนนั้นที่เทศกาลโคมกถามรรค อวี่หลิงคงตอนนี้เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งกว่าเดิมโดยไม่ต้องสงสัย
ทว่าหลินสวินไม่ได้รู้สึกเกินคาด จากที่เขาดู พรสวรรค์ รากฐานของอวี่หลิงคงเดิมก็โดดเด่นกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ทั้งมีชาติกำเนิดจากตระกูลอริยะ กราบเข้าเป็นศิษย์ในแดนพิสุทธิ์อมตะ ไม่อยากเปลี่ยนเป็นทรงพลังคงยาก
การประลองรอบที่สี่ เซี่ยวชางเทียนชนะ
การประลองรอบที่ห้า หลี่ชิงผิงชนะ
การประลองรอบที่หก…
การต่อสู้แต่ละสนามทยอยดำเนิน
ภายในนั้นมีพวกร้ายกาจส่วนหนึ่งที่ทำให้ใครต่างไม่อาจไม่ให้ความสำคัญ กระทั่งมีพวกที่ไม่คุ้นเคยบางส่วนอย่างจั่นเฟิงผู้สืบทอด ‘หอกระบี่นพเลิศ’ แห่งแดนกาฬทักษิณ ปี้ตงหลิ่วทายาท ‘เผ่าโบราณนกปี้ฟาง ’ แห่งแดนชัยบูรพาเป็นต้น
อันที่จริงจนถึงตอนนี้ ผู้ที่สามารถดันตนขึ้นสู่สามสิบหกอันดับของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แต่ละคนล้วนน่ากลัวนัก
การประลองรอบที่สิบสี่ จ้าวจิ่งเซวียนปะทะทั่วป๋าเจ๋อ ทายาทตระกูลทั่วป๋า ตระกูลอริยะแห่งแดนชัยบูรพา
ทั่วป๋าเจ๋อคือคนหนึ่งที่ค่อนข้างเจิดจรัส รูปแบบการต่อสู้ของเขาสามารถใช้คำว่า ‘ร่างดั่งภูตผี รวดเร็วดุดันดุจอสนี’ มาอธิบาย ทำให้ผู้ชมการประลองจดจำเขาได้แม่นยำนานแล้ว
เพียงแต่…
ยามเขาเจอกับจ้าวจิ่งเซวียนกลับพ่ายแพ้ย่อยยับ!
เพียงชั่วขณะเขาก็ยอมแพ้อย่างอัดอั้นจนปัญญา เหตุผลนั้นง่ายมาก จ้าวจิ่งเซวียนสำแดง ‘เคล็ดวิชามรรคหมื่นมายา’ ยอดวิชาพิทักษ์สำนักของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณออกมา
ทันทีที่สำแดงวิชานี้ ร่างจ้าวจิ่งเซวียนกลายเป็นหมื่นพันร่าง บนสนามประลองโชควาสนานั่นทุกแห่งล้วนคือเงาร่างของนาง แต่ละร่างต่างเสมือนจริง
ที่พึ่งหลักของทั่วป๋าเจ๋อคือการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วอัศจรรย์ แต่พอเจอภาพนี้เข้าก็พลันเสียสมดุลทันที ไม่ว่าเขาบุกโจมตีอย่างไรล้วนไม่อาจเล็งถูกร่างจริงของจ้าวจิ่งเซวียน
สุดท้ายเขาได้แค่ยอมแพ้
เห็นดังนี้หลินสวินอดนึกถึงตอนที่ตนจู่โจมสังหารกงหยางอวี่ไม่ได้ เจ้าหมอนี่ฝึกเคล็ดวิชามรรคหมื่นมายาเช่นกัน น่าเสียดาย เทียบกับจ้าวจิ่งเซวียนแล้ว กงหยางอวี่ในตอนนั้นเห็นชัดว่าด้อยกว่าอยู่มาก
การประลองรอบที่สิบห้า ฉู่เป่ยไห่ออกเคลื่อนไหว
แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก ทำให้เขาเจอกับมารกระบี่เยี่ยเฉิน
การประลองนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก อีกทั้งสถานการณ์การต่อสู้ยังดุเดือดเป็นประวัติการณ์ ไม่ว่าฉู่เป่ยไห่หรือเยี่ยเฉินต่างเป็นผู้ทรงอิทธิพลในหมู่บุคคลแห่งยุค การต่อสู้ระหว่างพวกเขาเรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันของพยัคฆ์มังกร
ทว่าหลังผ่านไปร้อยกว่ากระบวนท่า สุดท้ายฉู่เป่ยไห่ก็สู้ไม่ไหว ถูกกระบี่เดียวของเยี่ยเฉินทะลวงอก ไม่อาจไม่ยอมแพ้
“จากที่ข้าดู แม้เจ้ามีโอกาสประลองกับหลินสวิน ก็คงไม่สามารถเป็นคู่ต่อกรของเขาได้แน่”
หลังตัดสินแพ้ชนะ เยี่ยเฉินพลันเอ่ยวาจา ประโยคนี้ราวแทงทะลุใจฉู่เป่ยไห่ ทำให้เขาสีหน้ามืดทะมึนทันที เดือดดาลยากจะรับ
เยี่ยเฉินยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ใส่ใจแล้วหันหลังจากไป
ฉู่เป่ยไห่แค่นเสียงฮึ นำความโกรธและความไม่พอใจสุมอกจากไป
เขากลับอยากดูว่า หลินสวินจะสามารถดันตนไปถึงอันดับไหนกัน!
การประลองรอบที่สิบหก คู่แข่งของจินมู่อวิ๋นยอมแพ้
การประลองรอบที่สิบเจ็ด
เส้นทางประกายทองหน้าหลินสวินพลันม้วนซัด
ในที่สุดก็ถึงคราวข้าแล้ว…
หลินสวินรู้สึกเพียงเงาร่างพลันสั่นสะเทือน ถูกพลังไร้รูปหนึ่งม้วนกลืน เวลาต่อมาก็ปรากฏอยู่บนสนามประลองตรงกลางนั่น
เมื่อเหลือบตามองไปยังฝั่งตรงข้าม เขาก็อดตะลึงงันไม่ได้
ในเวลาเดียวกันนั้น เงาร่างที่ถูกเคลื่อนย้ายมาบนสนามประลองตรงกลางพร้อมหลินสวินก็ชะงักไปเช่นกัน จากนั้นจึงเปล่งเสียงหัวเราะอ่อนโยนทันที “สวรรค์ช่างเมตตายิ่งนัก ถึงทำให้ข้ามาเจอเจ้าในการประลองรอบแรก ช่างโชคดีเหลือเกิน”
ในเสียงหัวเราะเปี่ยมความรื่นรมย์ราววิกลจริต
คนผู้นี้สวมชุดขนนก หน้าตาหล่อเหลามีเสน่ห์ งดงามกว่าผู้หญิงถึงสามส่วน ริมฝีปากบางดุจคมดาบเผาไฟ แดงสดน่าดึงดูด
เป็นชิงเหวินเจวี้ยนบุตรเทพเผ่าหงส์เขียวนี่เอง!
“ฮ่าๆๆ มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว”
“ชิงเหวินเจวี้ยนนั่นวิธีการวิปริตหาใดเปรียบ ทั้งพลังต่อสู้โดดเด่นเหนือใคร ทำให้ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ไม่น้อยต่างรู้สึกหวาดกลัวยิ่ง ใครจะคิดว่าดันเจอหลินสวินเสียอย่างนั้น ช่างโชคร้ายจริงๆ”
“จะว่าไปชิงเหวินเจวี้ยนนั่นวิปริต แต่หลินสวินก็เป็นเทพมาร วิปริตเจอเทพมาร การประลองนี้ต้องมีสีสันแน่!”
“ข้าเฝ้ารอนัก หากชิงเหวินเจวี้ยนสามารถทำให้หลินสวินเป็นกุหลาบป่าสีเลือดดอกหนึ่ง ภาพฉากนั้นต้องสั่นสะเทือนใต้หล้าแน่”
ณ เชิงเขา ผู้ชมการประลองฮือฮาเต็มที่ ความวิปริตของชิงเหวินเจวี้ยนพวกเขาประจักษ์ชัดในสายตานานแล้ว ความทรงพลังของหลินสวินเองก็ทำให้พวกเขาไม่คาดฝันเช่นกัน
บัดนี้ทั้งสองกลับมาเจอกัน นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายที่เดิมเป็นศัตรูกับหลินสวินต่างหัวเราะ มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ไม่มีอะไรทำให้ผู้คนเฝ้ารอยิ่งกว่าการประลองตรงหน้านี้อีกแล้ว!
ขณะเดียวกันเหล่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์คนอื่นต่างเผยสีหน้าต่างกันไป บ้างเพลิดเพลิน บ้างเฝ้าคอย บ้างเย้ยหยัน และบ้างมีความสุขบนทุกข์คนอื่นและหัวเราะขบขัน
‘รอบแรกก็เจอชิงเหวินเจวี้ยน โชคของเจ้าหมอนี่ช่างแย่เสียจริง…’
จ้าวจิ่งเซวียนอดทอดถอนใจไม่ได้ นางกลับไม่ห่วงหลินสวิน หรืออาจพูดได้ว่า ตั้งแต่ตอนอยู่ที่จักรวรรดิจื่อเย่า นางก็ไม่เคยกังวลเรื่องหลินสวินมาก่อน
นี่ไม่ใช่ความเชื่อมั่นที่ตาบอด แต่เป็นเพราะนางมั่นใจ ว่าคู่ต่อสู้คนใดที่ดูแคลนหลินสวินล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทนสาหัสหาใดเปรียบ!
เช่นเดียวกัน ยามเผชิญหน้าสถานการณ์ไม่สู้ดี แต่ไหนแต่ไรหลินสวินล้วนไม่เคยขาดวิธีพลิกสถานการณ์
ที่จ้าวจิ่งเซวียนกังวลเพียงหนึ่งเดียวคือ ในการประลองครานี้ หลินสวินมีโอกาสสูงที่จะถูกบีบให้เผยไพ่ตายทั้งหมดก่อนเวลา
ไพ่ตายก็คือไพ่ตาย เป็นสิ่งสำคัญที่นำชัยโดยไม่คาดฝัน หากเปิดเผยแล้วคงทำให้ผู้แข็งแกร่งอื่นระวังตัวและเตรียมป้องกันแน่
“หลินสวิน คำที่ข้ากล่าวก่อนหน้ายังเชื่อถือได้ ขอแค่เจ้าคุกเข่าอ้อนวอน บางทีเมื่ออารมณ์ข้าดีขึ้น ก็จะไม่ไปทำร้ายเหล่าสหายสนิทที่เกี่ยวข้องกับเจ้าอีก”
บนสนามประลองตรงกลาง ชิงเหวินเจวี้ยนเลียริมฝีปากแดงสด ส่งเสียงหัวเราะหลอนประสาท ใบหน้าอ่อนโยนหล่อเหลาเปี่ยมความบ้าคลั่ง
……………….