Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1375 มีอริยะบ้างหรือไม่
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1375 มีอริยะบ้างหรือไม่
เวลาสิบกว่าปีสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวได้มากมาย
แต่จั่วเหวินคุนไม่เชื่อสักนิด หลินสวินที่จากโลกชั้นล่างในปีนั้นเพิ่งมีปราณแค่ระดับหยั่งสัจจะ ภายในเวลาสิบกว่าปีสั้นๆ จะมีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังแค่ไหนกัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แข็งแกร่งทรงพลังแล้วอย่างไร
สุดท้ายเขาก็แค่ตัวคนเดียว!
เมื่อก่อนมีราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลคุ้มครอง มีเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตสนับสนุน มีเทพเศรษฐีสือผู้ก่อตั้งอัครการค้าอุปถัมภ์ จึงทำให้พวกเขาสองตระกูลจั่วและฉินหวาดหวั่น ได้แต่อดกลั้น
แต่ยามนี้ ทุกอย่างล้วนต่างออกไปแล้ว
ต่อให้เขาหลินสวินกลับมา ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่จะมอดดับของตระกูลหลินได้!
เมื่อคิดเช่นนี้ ภายในใจจั่วเหวินคุนก็ยิ่งสงบขึ้นเรื่อยๆ สายตาที่มองทางหลินสวินถึงขั้นเจือแววเวทนา
กลับมาเวลานี้ ก็เหมือนเอาตัวมาติดร่างแหชัดๆ โง่เหลือเกิน!
“นายน้อย นี่…”
หลินจงพลันสงบลงมาทันที เพิ่งตั้งท่าจะอธิบายอะไรก็ถูกหลินสวินตัดบท “ลุงจง ข้าพอรู้เรื่องราวมาบ้างแล้ว เรื่องพวกนี้ให้ข้าจัดการก็แล้วกัน”
คนตระกูลหลินที่เดิมทีชื่นมื่น ตื่นเต้น งุนงง เวลานี้ก็ค่อยๆ สงบลงมา พร้อมกันนั้นก็มีความกังวลอย่างหนึ่งเอ่อทะลักจิตใจ
หลินสวินกลับมาย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง แต่สถานการณ์ของตระกูลหลินตอนนี้ก็สุ่มเสี่ยงสุดขีด จวนเผชิญหน้ากับการดับสูญรอมร่อ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินยังสามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ได้อยู่หรือ
“เฮอะๆ แค่เจ้าเนี่ยนะ”
สีหน้าจั่วเหวินคุนยิ่งสมเพชขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหนุ่มคนนี้ เกรงว่ายังไม่รู้สถานการณ์ในยามนี้ของตระกูลหลินเลยสักนิด!
หลินสวินเบือนศีรษะ ปรายตามองจั่วเหวินคุนปราดหนึ่ง
นับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เหลือบสายตามองจั่วเหวินคุน
จากนั้น…
จั่วเหวินคุนคุกเข่าลงเสียงดังปึง เอาหัวโขกพื้น!
ทุกคนในโถงใหญ่พากันตกใจ ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่ได้สัมผัสถึงอะไรเลยสักนิด แต่จั่วเหวินคุนคุกเข่าลงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากะทันหันเกินไป
ควรรู้ว่าเจ้าหมอนี่ในฐานะทูตของตระกูลจั่ว เดิมทีก็เป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง เมื่อครู่อยู่ในโถงใหญ่ยังเชิดหน้าชูคอ วางท่าเหยียดหยันชี้นิ้วออกคำสั่ง ไม่เห็นใครในสายตาสักนิด
แต่ตอนนี้หลินสวินแค่เหลือบมองเขาปราดเดียว ก็คุกเข่าลงตรงๆ เสียแล้ว!
หลังจากนั้นทั่วร่างจั่วเหวินคุนก็บิดเกร็งขึ้นมา หายใจเฮือกตะโกนลั่น แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เปล่งออกมา คิดอยากเงยหน้าหยัดตัวขึ้น ทว่าขนาดเรี่ยวแรงจะขัดขืนยังไม่มี
จิตใจและสติสัมปชัญญะของเขา ล้วนถูกความน่าสะพรึงยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งกลบมิด เปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าทั้งแถบ
ชำเลืองตาปราดเดียว เป็นหรือตายไม่ได้ขึ้นกับตน!
ได้เห็นภาพเหตุการณ์แปลกพิสดารนี้ ทุกคนในโถงใหญ่ต่างพากันตกใจ สายตาที่มองหลินสวินล้วนเปลี่ยนไป ผ่านไปสิบกว่าปี ความแข็งแกร่งของผู้นำตระกูลทรงพลังถึงขั้นไหนกันแน่
“ผู้นำตระกูล คนผู้นี้เป็นทูตตระกูลจั่ว พวกเราทำแบบนี้…”
หลินไหวหย่วนลังเลครู่หนึ่ง อดเอ่ยเตือนไม่ได้
คนอื่นๆ ก็พากันลอบพยักหน้า ทำแบบนี้เกรงว่าจะฉีกหน้าตระกูลจั่วและตระกูลฉินอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลือที่ว่างให้ถอยอีกต่อไป
“ตระกูลจั่วมีอริยะหรือไม่”
หลินสวินถาม
ทุกคนพากันส่ายหน้า อริยะ? นั่นเป็นถึงตัวตนที่เหมือนตำนานเล่าขาน อย่าว่าแต่ตระกูลจั่ว ทั่วทั้งจักรวรรดิในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด ยังหาอริยะไม่เจอสักคน!
หืม?
ไม่ถูก เหตุใดผู้นำตระกูลถามหาอริยะ
ทันใดนั้นภายในใจทุกคนไหวสะท้าน คล้ายเข้าใจอะไร ต่างฉายแววตกใจ
แต่ยามที่เอ่ยถาม หลินสวินได้พาพญาแร้งและหลินจงเดินขึ้นชั้นสองไป หายไปจากการมองเห็นของทุกคน
ครู่ใหญ่หลินไหวหย่วนจึงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก กล่าวว่า “ประโยคนั้นของผู้นำตระกูลหมายความว่าอย่างไร หรือว่า… อานุภาพต่ำกว่าอริยะ ล้วนไม่สามารถเป็นภัยคุกคามผู้นำตระกูลได้แล้ว”
ประโยคเดียวทำเอาทั้งโถงพากันเงียบกริบขึ้นมา เงียบสงัดไร้สุ้มเสียง และภายในใจกลับอดคิดเตลิดไปไม่ได้
ไม่ถามหาระดับราชัน ไม่สนใจอำนาจของสองตระกูลจั่วและฉิน ถามแค่ประโยคเดียวว่ามีอริยะหรือไม่
ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้ ช่างสะท้านจิตใจผู้คนเกินไปจริงๆ!
“หลายปีนี้ผู้นำตระกูลจะต้องมีโชควาสนาที่น่าทึ่งมากแน่ๆ เปลี่ยนไปจนต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว…”
หลินเป่ยกวงทอดถอนใจ
คนอื่นๆ ต่างก็ถอนใจเช่นนี้เหมือนกัน หลินสวินยังคงเป็นหลินสวิน แต่ความรู้สึกที่นำมาสู่พวกเขากลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภายใต้กลิ่นอายที่ดูเหมือนนิ่งสงบของเขา กลับให้ความรู้สึกไม่อาจเอื้อมที่เหยียดหยันปวงชีวิตก็ไม่ปาน พาให้ผู้คนรู้สึกเพียงว่าได้แต่แหงนหน้าเงยมอง
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้รุนแรงนัก แต่ขอเพียงสัมผัสอย่างละเอียดก็จะรับรู้ได้
“ไม่ว่าอย่างไรผู้นำตระกูลก็กลับมาแล้ว ต่อให้พรุ่งนี้ตระกูลหลินจะเผชิญหน้ากับคลื่นลมโหมกระหน่ำ พวกเราก็มีแกนนำหลักแล้ว ไม่ต้องเกรงกลัวอีกต่อไป!”
หลินเสวี่ยเฟิงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ทุกคนเห็นด้วยอย่างยิ่ง
หลินสวินกลับมาแล้ว ตระกูลหลินแห่งนี้มีเสาหลักแล้ว!
บนพื้น จั่วเหวินคุนคุกเข่าอยู่ตรงนั้นประหนึ่งโง่งม ขวัญหลุดวิญญาณล่องลอย
…
ชั้นสองตำหนักชำระจิต
“ลุงจง ท่านพญาแร้ง หลายปีมานี้ลำบากกันแล้ว”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง โค้งคำนับอย่างตั้งใจ
หยาดน้ำตาหลินจงไหลหลั่ง กุลีกุจอพยุงหลินสวินขึ้นพลางกล่าว “นายน้อย ขอแค่ท่านมีชีวิตอยู่ พวกเราตระกูลหลินก็มีหวัง!”
ภายในใจพญาแร้งก็ตื้นตันไม่สิ้นเช่นกัน
ปีนั้นครั้งแรกที่ได้พบหลินสวิน อีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็กหนุ่มผอมแห้งที่กลิ่นอายคลุมเครือคนหนึ่ง แต่ยามนี้เขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ท่วงท่าบารมีที่หนักแน่นดุจขุนเขา เยือกเย็นไม่หวั่นไหวนั้น พาให้พญาแร้งตื้นตันไม่สิ้น
“ลุงจง เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงหลายปีมานี้ข้าพอเข้าใจเป็ฯส่วนใหญ่แล้ว ตอนนี้ข้าสงสัยอยู่ข้อเดียว องค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินมีบทบาทอย่างไรหรือ”
หลังจากหย่อนตัวลงนั่งหลินสวินก็เอ่ยถาม
“หากไม่มีการสนับสนุนจากองค์ชายสาม ตระกูลจั่วและฉินสองตระกูลคงไม่กล้าระรานปานนี้ มีเพียงองค์ชายสามที่ตอนนี้รวบอำนาจปกครองจักรวรรดิอยู่ จึงจะสามารถยัดข้อหาขายชาติให้พวกเราตระกูลหลิน”
หลินจงกล่าวเสียงขรึม หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น “หนำซ้ำเพราะต่างมองออกว่าองค์ชายสามชังน้ำหน้าพวกเราตระกูลหลิน ทำเอาขุมอำนาจส่วนหนึ่งที่แต่เดิมเคยมีสัมพันธ์อันดี ต่างพากันขีดเส้นแบ่งกับพวกเรา”
พญาแร้งเข้าประเด็น “ต่อให้องค์ชายสามไม่ใช่ผู้ร้ายหลัก แต่ก็เป็นผู้ช่วยเหลือผู้ร้าย”
หลินสวินพยักหน้า สีหน้าไม่สุขไม่ทุกข์ “ข้าเข้าใจแล้ว”
กล่าวพลางเขาหันหน้าไปทางพญาแร้ง “ท่านพญาแร้ง ข้าต้องการรายชื่อฉบับหนึ่ง นอกจากสองตระกูลจั่วและฉินแล้ว ช่วงหลายปีมานี้ขอเพียงเป็นขุมอำนาจที่ฉวยโอกาสซ้ำเติมตระกูลหลินของข้า ล้วนไม่อาจปล่อยไปเช่นนี้ทั้งสิ้น”
ภายในใจหลินจงสั่นสะท้านรุนแรง นี่นายน้อยตั้งใจจะกวาดล้างครั้งใหญ่หรือ
พญาแร้งคลี่ยิ้มบางๆ หยิบม้วนหยกฉบับหนึ่งออกจากอก ยื่นให้หลินสวินพลางว่า “ข้าได้เตรียมให้เจ้าไว้นานแล้ว”
จิตรับรู้ของหลินสวินกวาดสำรวจ และจดจำขึ้นใจ
“นายน้อย วันนี้ท่านเพิ่งจะกลับมา เรื่องราวบางอย่างท่านยังไม่เข้าใจ…”
หลินจงเป็นกังวลอยู่หน่อยๆ ว่าหลินสวินจะโมโหเกินไปถึงขั้นทำเรื่องหุนหันพลันแล่นบางอย่าง
เพียงแต่ไม่รอให้เขาห้ามปราม หลินสวินก็กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ลุงจง เมื่อก่อนตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงที่เรียกกันนั่นอาจทำให้ข้ากริ่งเกรงได้ แต่ตอนนี้สำหรับข้าแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรจากมด”
แม้ว่าหลินสวินจะพูดเสียงเรียบท่าทางปกติ แต่หลินจงกับพญาแร้งกลับฟังออกถึงพลานุภาพประหนึ่งเหยียดหยันสรรพชีวิตจากปากเขา
ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ดที่ถูกผู้ฝึกปราณทุกคนในจักรวรรดิจื่อเย่ามองว่าอำนาจล้นฟ้า ในปากหลินสวินกลับไม่ต่างอะไรกับมด
นี่ย่อมทำให้ผู้คนใจสะท้าน
แต่ขอแค่รู้เรื่องที่หลินสวินประสบในดินแดนรกร้างโบราณ คงไม่มีใครกล้าบอกว่าหลินสวินคุยโวโอ้อวด
แม้แต่อริยะยังเคยฆ่า ขนาดบุคคลขอบเขตมกุฎระดับอมตะเคราะห์ยังไม่รู้ว่าตายด้วยน้ำมือหลินสวินไปกี่คน ต่อให้ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงในโลกชั้นล่างแข็งแกร่งปานใด จะสามารถแข็งแกร่งเหนือขุมอำนาจใหญ่ในดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นได้หรือ
สามารถยิ่งใหญ่เหนืออริยะได้หรือ
“นายน้อย หลายปีมานี้ท่านอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณไม่ทราบว่าผ่านอะไรมาบ้าง”
ในใจหลินจงไม่อาจสงบ อดถามออกมาไม่ได้
พญาแร้งก็หูตั้ง เขาพบว่าขนาดตัวเองยังไม่สามารถมองชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ได้ทะลุอีก ถึงขั้นที่ยามเมื่อนั่งอยู่กับเขา ทำให้ตนมักรู้สึกกริ่งเกรง ระแวดระวังจากภายในใจอย่างหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ว่าจิตใจของเขาไม่มั่นคงพอ หากแต่เป็นการกำราบเด็ดขาดอย่างหนึ่งที่มาจากระดับปราณของอีกฝ่าย!
หลินสวินเล่าลวกๆ เอ่ยถึงประสบการณ์ช่วงหลายปีมานี้คร่าวๆ ไม่ได้พูดมากความนัก
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังทำเอาหลินจงและพญาแร้งตกใจจนปากอ้าตาค้าง ถูกทำให้สะท้านสะเทือนอย่างสิ้นเชิง
“อันดับหนึ่งของแดนมกุฎ อันดับหนึ่งในกระดานทองคำผู้กล้า… ฆ่าเก้าอริยะนอกเมืองหม่อนหิมะ…”
เรื่องพวกนี้พอเข้าหูพวกหลินจงก็เหมือนฟังเรื่องเล่าสุดอัศจรรย์อย่างหนึ่ง น่าเหลือเชื่อปานนั้น ไม่สมจริงปานนั้น!
ที่ทำให้ทั้งสองตกใจมากที่สุดคือ พวกเขาฟังไม่ค่อยเข้าใจ!
เพราะเรื่องที่หลินสวินประสบ ศัตรูที่ฆ่าทั้งหมดล้วนแข็งแกร่งและน่าสะพรึงเกินไป พวกเขาล้วนได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไหนเลยจะฟังเข้าใจ
แต่ยังมีบางเรื่องหลินจงและพญาแร้งพอรู้บ้าง อย่างเช่นฆ่าอริยะ!
“เพิ่งสิบหกปีเอง นายน้อยก็เลื่องชื่อสะท้านดินแดนรกร้างโบราณ สร้างอำนาจบารมีครั้งใหญ่ เมื่อเทียบกับสำนักโบราณเหล่านั้นในดินแดนรกร้างโบราณ สองตระกูลจั่วและฉินไม่ถือเป็นอะไรเลย ช่างเหมือนมดก็ไม่ปานจริงๆ”
หลินจงทอดถอนใจ ภายในใจเลือดร้อนพลุ่งพล่าน
“ตัวคนเดียว บุกเบิกเส้นทางผงาดผยองในมหายุค ฆ่าจนสำนักโบราณเหล่านั้นต่างขวัญหนีดีฝ่อ… นับวันข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจ…”
พญาแร้งสงบสติอารมณ์พักหนึ่ง ส่ายหน้ายิ้มขื่น
“จริงสิ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าจักรรพรดิองค์ปัจจุบัน จักรพรรดินี ราชันกระหายเลือด หลายปีมานี้พวกเขาไปอยู่ที่ไหน”
หลินสวินเอ่ยถาม
หลินจงส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ โลกภายนอกต่างลือกันสะพัด หลังจากฟ้าดินแปรผันฉับพลัน สัตว์ประหลาดเฒ่าที่ซ่อนตัวในจักรวรรดิส่วนหนึ่งล้วนออกไปจากจักรวรรดิ ส่วนไปที่ไหนนั้นก็ต่างคนต่างพูด”
หลินสวินร้องอืมหนึ่งครา กล่าวด้วยแววตาเยียบเย็น “พวกเขาไม่อยู่ก็ดี ตอนที่ข้าฆ่าคนก็คิดเสียว่าไม่มีใครขัดแข้งขัดขา”
นัยน์ตาพญาแร้งหรี่ลง “เจ้าตั้งใจจะจัดการกับตระกูลจั่วและฉินอย่างไร”
“พวกเขาอยากแย่งภูเขาชำระจิต เกณฑ์พลังทั้งหมดของตระกูลหลินไปแนวหน้าสนามรบไม่ใช่หรือ ข้าก็จะให้พวกเขาเลือกสักอย่าง”
หลินสวินยิ้มเย็น
แม้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตระกูลหลินช่วงหลายปีมานี้ หลินสวินจะยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่แค่ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ได้ว่าตระกูลหลินอยู่อย่างไม่เป็นสุขยิ่ง!
โดยเฉพาะที่สามารถประคับประคองมาถึงตอนนี้ได้ ก็ไม่ง่ายอย่างที่สุดแล้ว
พญาแร้งเอ่ยถามต่อ “ทางฝั่งองค์ชายสามนั่น…”
“ไม่ว่าเป็นใคร ทำเรื่องผิดก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่พึงสมควร!”
หลินสวินเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“ลุงจง ท่านพญาแร้ง พวกท่านดูแลตระกูลหลินให้ดี ข้าจะไปชื่นชมบารมีของตระกูลจั่วเสียหน่อย”
กล่าวเสร็จเขาหยัดกายขึ้น
ในโถงตำหนักชำระจิตชั้นหนึ่ง
จั่วเหวินคุนที่โขกศีรษะคุกเข่าบนพื้นถูกหลินสวินหิ้วขึ้นมาเหมือนลูกไก่ตัวหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าอยากรู้ว่าข้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรไม่ใช่หรือ ข้าจะพาเจ้าไปดูด้วยตัวเอง”
สวบ!
ครู่ต่อมาเงาร่างหลินสวินพริบไหว กลายเป็นรุ้งวิเศษสายหนึ่งพุ่งโฉบออกจากโถงชำระจิตตรงๆ เหินสูงเหนือห้วงอากาศภายใต้ม่านราตรีของนครต้องห้าม
ทุกคนในตระกูลหลินต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จิตใจสั่นสะเทือน
………………..