Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 691 ทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดารา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 691 ทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดารา
หลินสวินนิ่งงัน แล้วอดยิ้มไม่ได้
หญิงสาวผู้นี้แลดูดุดัน แต่อันที่จริงก็เป็นเพียงคนแข็งนอกอ่อนในคนหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่… เหตุใดตนถึงกลายเป็นเจ้าหน้ามนไปได้
หลินสวินลูบแก้มของตัวเอง สภาพจิตใจกลับเปลี่ยนเป็นรื่นรมย์อย่างน่าประหลาด
……
แม้ว่าสีท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง ทุกอณูภายในค่ายหมายเลขเจ็ดกลับเป็นภาพอันยุ่งง่วนทั้งผืน เสียงดังเอ็ดอึงไม่สิ้นสุด
กองกำลังผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิขบวนแล้วขบวนเล่าถูกเรียกระดมพล
พวกเขาขยันขันแข็ง เข้มงวดกวดขัน รวมตัวกันอยู่ในลาน จากนั้นถูกหัวหน้าของตัวเองนำไป โดยสารบนเรือรบหลากรูปแบบของจักรวรรดิ พุ่งทะยานสู่ท้องนภา ออกไปจากค่ายทหารท่ามกลางเสียงอึกทึกบาดหูเป็นระลอก
หลินสวินสัมผัสได้ว่าในบรรดาเรือรบเหล่านั้น มีเรือรบดำเกิงเหินขนาดใหญ่ของจักรวรรดิ เรือบรบอินทรีเหินขนาดกลางของจักรวรรดิ และยังมีเรือรบวีรชนม่วงขนาดเล็กอีกด้วย
พวกมันเหินขึ้นเหนือท้องฟ้า คล้ายแผ่นดินใหญ่ที่ลอยล่องผืนแล้วผืนเล่า ลอยเสียงแผ่วจางจากไปยังสนามรบเวิ้งว้างห่างไกลออกไป ภาพนั้นดูน่าตื่นตา แปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด
ในเวลาเดียวกัน ในค่ายทหารก็มีผู้ฝึกปราณด้วยตัวเองรวมตัวกันอยู่จำนวนมาก เป็นกลุ่มก้อนแน่นขนัด ร้องเรียกพวกพ้อง ควงศาสตราวุธนานาชนิด รอเคลื่อนพลเดินทาง
เมื่อเทียบกับกองทัพทางการแล้ว พวกเขาราวกับกลุ่มพันธมิตรนักล่าขบวนแล้วขบวนเล่า ซึ่งเป็นกำลังรบแบบกองโจร อีกทั้งจุดประสงค์ก็ยังแสนจะเรียบง่าย นั่นคือเพื่อไล่ล่าสังหารศัตรู เก็บเกี่ยวทรัพย์หลังศึก ใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนความมั่งคั่ง
ดังคำกล่าวที่ว่าความมั่งคั่งต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง ผู้ที่กล้าวิ่งโร่มาเสี่ยงภัยในสมรภูมิกระหายเลือด ต่างก็เป็นพวกโหดเหี้ยมที่คมดาบอาบโลหิตกันเกือบทั้งสิ้น ไม่มีบุคคลธรรมดาเลยสักคน
ยิ่งกว่านั้น ผู้ฝึกปราณธรรมดาสามัญแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่รอดในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้
ณ กองพลาธิการ
“ข้าอยากรู้เกี่ยวกับการมอบหมายหน้าที่ของข้าเสียหน่อย”
เมื่อมองเห็นหลูเหวินถิง หลินสวินก็พูดจุดประสงค์ของตนออกมาตรงๆ
“เอ่อ…”
หลูเหวินถิงอึ้งงัน เมื่อวานเขายังสงสัยอยู่ ว่าเด็กหนุ่มซึ่งถูกใต้เท้าราชันกระหายเลือดส่งมาคนนี้ มาที่นี่เพราะต้องการทำอะไรกันแน่
กลับคิดไม่ถึงว่าเช้าตรู่วันนี้หลินสวินกลับเป็นฝ่ายมาถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“เจ้า… ให้ข้าจัดแจงหน้าที่ให้เจ้า?” หลูเหวินถิงถาม ดูคล้ายว่าไม่อยากเชื่อ
หลินสวินพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าดูตรงไปตรงมาและเยือกเย็นอย่างยิ่ง
ทว่าหลูเหวินถิงกลับปวดหัว ในใจยุ่งเหยิงอย่างถึงที่สุด จัดแจงหน้าที่ให้เจ้าเด็กคนนี้?
ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้น เช่นนั้นผลที่ตามมาผู้ใดจะรับผิดชอบไหว
แต่หากไม่สนใจเขา ก็จะสร้างความลำบากให้อีกฝ่าย นั่นก็ไม่เหมาะอีกเช่นกัน
ควรทำอย่างไรดี
หลูเหวินถิงขมวดคิ้วเป็นปมอยู่นาน ท้ายที่สุดก็อดกล่าวไม่ได้ “เอ่อ… คุณชายหลิน ข้าขอถามสักหน่อย ท่านค่อนข้างถนัดอะไร”
หลินสวินกล่าวอย่างใคร่ครวญ “ไปฆ่าศัตรูในสนามรบ หรือไม่ก็หลอมอาวุธ ได้ทั้งหมด”
“หลอมอาวุธ?”
นัยน์ตาของหลูเหวินถิงแทบจะถลนออกมา เจ้าหนูนี่หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเขาได้ยินอะไรบางอย่าง ถึงได้คิดจะวิ่งแจ้นไปกอบโกยเหรียญกล้าหาญที่ ‘กองยุทโธปกรณ์’?
ในค่ายทหารของสมรภูมิกระหายเลือด นักสลักวิญญาณที่มีความเชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธและซ่อมแซมอาวุธนั้นเนื้อหอมที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย
เนื่องจากในสนามรบมีการต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นไม่เว้นวัน ดังนั้นนักสลักวิญญาณแต่ละคนล้วนมีภารกิจไม่รู้จบในทุกๆ วัน
แน่นอนว่านักสลักวิญญาณนั้นยุ่งตัวเป็นเกลียว เหนื่อยสายตัวแทบขาด ทว่าในสายตาของคนนอก กลับเป็นภารกิจที่อิ่มหมีพีมันหาที่เปรียบไม่ได้ นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ก็สามารถเก็บเกี่ยวเหรียญกล้าหาญของกองทัพได้ไม่รู้จบ!
แต่ว่า กองยุทโธปกรณ์เป็นแกนกลางสำคัญแห่งหนึ่งภายในค่าย ในสถานการณ์ทั่วไปไม่อนุญาตให้บุคคลใดก็ตามยื่นมือเข้าแทรกแซงสิ่งต่างๆ ทางนั้น
นี่ก็เพื่อรับประกันว่านักสลักวิญญาณในกองยุทโธปกรณ์จะสามารถมีสมาธิกับหลอมอาวุธ เตรียมความพร้อมอย่างครบครันให้แก่ผู้ฝึกปราณที่ออกรบแต่ละคนได้ทันท่วงที
‘ไม่ได้ จะให้เจ้าหนูนี่วิ่งโร่ไปสร้างความปั่นป่วนไม่ได้เด็ดขาด ฐานะของเขาพิเศษ ถ้าหากก่อเรื่องในกองยุทโธปกรณ์ จะต้องก่อกวนลำดับขั้นตอนตามปกติของกองเป็นแน่ แต่ก็ดันตำหนิติติงเขาไม่ได้อีก เป็นแบบนี้สถานการณ์คงเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ…’
หลูเหวินถิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และปฏิเสธความคิดที่จะให้หลินสวินไปหาอะไรทำที่กองยุทโธปกรณ์โดยตรง
“ที่กองยุทโธปกรณ์คนเต็มนานแล้ว ตำแหน่งต่างๆ ล้วนอิ่มตัว นี่…” หลูเหวินถิงแสดงท่าทางลำบากใจ
“อ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยจัดหน้าที่สังหารศัตรูให้ข้าก็พอ ข้าจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวเหรียญกล้าหาญจำนวนหนึ่ง” หลินสวินก็ไม่ได้ผิดหวัง ดูเยือกเย็นมากอย่างเห็นได้ชัด
เห็นว่าหลินสวินว่าง่ายเช่นนี้ หลูเหวินถิงก็ลอบถอนหายใจโล่งอกหนึ่งเฮือก
น่าเสียดาย เขาไม่รู้เลยสักนิด ครั้งนี้เท่ากับว่าเขาปฏิเสธโอกาสทองที่ยากพานพบไปเสียแล้ว!
ควรรู้ว่าหลินสวินเป็นถึงเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ ณ ขณะนี้ อีกทั้งยังเคยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณสะเทือนฟ้าดินอย่าง ‘อาสัญสลาย’ ออกมาได้สำเร็จ
ยิ่งกว่านั้น ‘กระถางสมบัติเก้ามังกร’ ของจ้าวจิ่งเซวียนก็สร้างจากมือหลินสวินเช่นกัน กระทั่งแม้แต่ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ ชุดศึกสลักวิญญาณที่ชำรุดซึ่งอยู่ในครอบครองของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ก็ได้รับการซ่อมแซมจากหลินสวินทั้งสิ้น
เด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณเช่นนี้ หากเข้ารับตำแหน่งในกองยุทโธปกรณ์ของค่ายหมายเลขเจ็ด ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่จะได้รับทั้งหมดจะต้องเหนือจินตนาการเป็นแน่
หลูเหวินถิงล้วนไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้
ภายในใจของเขาคิดโดยทันทีว่าหลินสวินก็คือพวก ‘ทายาทรุ่นสองไม่เอางาน’ คนหนึ่ง ถูกใต้เท้าราชันกระหายเลือดโยนมาที่นี่เพื่อ ‘ชุบทอง’
ถ้าหากเขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ กลัวแต่ว่าคงนึกเสียใจภายหลังจนไส้พังหมดกระมัง
แน่นอน ไม่รู้ก็มีข้อดีของความไม่รู้เช่นกัน อย่างน้อยหลูเหวินถิงในตอนนี้ก็ดีอกดีใจที่หลินสวินให้ความร่วมมือกับตนยิ่งนัก
ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ต้องปวดหัวอีกครั้ง
สังหารศัตรู?
ส่งเจ้าหนูนี่ไปสนามรบเพื่อเข่นฆ่ากับพวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อน หากเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรขึ้นมา เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า
อย่าว่าแต่เขาหลูเหวินถิงเลย ต่อให้เป็นแม่ทัพจ่างซุนเลี่ยผู้ดูแลค่ายหมายเลขเจ็ดเอง ก็กลัวแต่ว่าคงต้องเผชิญหน้ากับเพลิงโทสะของใต้เท้าราชันกระหายเลือดเป็นแน่!
หลูเหวินถิงดูคล้ายกับมีอาการท้องผูก ดวงหน้าย่นยู่ ลอบด่าทอกับตัวเอง ‘ระยำ เจ้าหมอนี่เป็นเผือกร้อนลวกมือตัวแสบจริงๆ ด้วย เมื่อวานเพิ่งจะมาถึงสมรภูมิกระหายเลือด ยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ ก็เริ่มคิดจะขยับตัวอย่างโง่เง่าแล้ว นี่ไม่ได้ทำให้คนลำบากใจล้วนๆ เลยหรอกหรือ!’
“ทำไมหรือ หรือว่ายังมีปัญหา” หลินสวินขมวดคิ้ว
หลูเหวินถิงคนนี้ช่างจู้จี้จุกจิกเหลือเกิน หรือว่าคนตำแหน่งสูงอย่างหัวหน้ากองพลาธิการ แม้แต่หน้าที่นิดเดียวก็จัดการให้ไม่ได้เชียวหรือ
เผือกร้อนลวกมือรายนี้เริ่มแสดงอาการไม่พอใจแล้ว!
หลูเหวินถิงรู้สึกสะท้านในใจ ท้ายที่สุดก็กัดฟันแน่น พาหลินสวินไปมอบหมายหน้าที่สังหารศัตรูให้เขาด้วยตัวเอง “คุณชายหลิน โปรดตามข้ามา”
……
กลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดารา
ทั้งกลุ่มมีสมาชิกเพียงเก้าคนเท่านั้น ผู้นำมีนามว่าหูทง เป็นผู้แข็งแกร่งทรงอิทธิพลที่กรำศึกมาร้อยสมรภูมิ เคยรบห้ำหั่นมานับครั้งไม่ถ้วนในสมรภูมิกระหายเลือด
ในขณะเดียวกัน หูทงก็เป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่ชื่องเสียงกระฉ่อนทั่วค่ายหมายเลขเจ็ดผู้หนึ่ง!
เขาอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดมาสิบหกปีแล้ว
ในสนามรบอันโหดร้ายหาที่เปรียบไม่ได้ซึ่งมีการตายเกิดขึ้นไม่เว้นวันแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาถึงสิบหกปีโดยไม่ตาย นี่ย่อมเป็นความแข็งแกร่งที่สำแดงออกมาอย่างหนึ่ง
“ภารกิจในครั้งนี้ของพวกเราคือมุ่งหน้าไป ‘หุบเขาพยัคฆ์’ ที่อยู่ห่างจากค่ายหนึ่งพันสามร้อยลี้ ที่นั่นมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งของพวกสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนประจำการอยู่ เป้าหมายของพวกเราคือฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก จากนั้นเอาแร่ ‘เหล็กดาราจรัสสลาย’ ที่มีเฉพาะในหุบเขาพยัคฆ์ออกมา”
“หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจครั้งนี้ จะได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นสองสองชิ้น เหรียญชั้นสามหกชิ้น เมื่อนำมารวมกันแล้วสามารถแลกเปลี่ยนคะแนนได้ถึงหนึ่งพันหกร้อยแต้ม”
“นี่เป็นภารกิจที่พูดไม่ได้ว่าอันตรายมากมายอะไร เพียงแต่หนทางค่อนข้างยาวไกล ถ้าหากทำเวลาได้ ก่อนฟ้ามืดก็สามารถกลับมาที่ค่ายได้”
“ทุกคนมีข้อข้องใจหรือไม่”
เสียงของหูทงหยาบกระด้าง ถ้อยคำหนักแน่นทรงพลัง เขามีรูปร่างผอม ใบหน้าฉายแววแข็งกระด้าง หว่างคิ้วกลับมีแววหนักแน่นลุ่มลึกประการหนึ่ง
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ยาวนาน ผ่านเรื่องราวมาอย่างคับคั่ง
“ไม่มี” สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราต่างส่ายหน้า
พวกเขามีความเชื่อมั่นต่อหูทงอย่างสิ้นเชิง นี่คือความไว้วางใจที่หลอมรวมออกมาจากการผ่านความลำบากร่วมกันมานานหลายปี
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทาง ณ บัดนี้!” หูทงโบกมือเต็มแรงหนึ่งที
เพียงแต่ขณะที่ขบวนของทั้งเก้าคนเพิ่งมาถึงหน้าประตูค่าย หูทงก็ถูกหลูเหวินถิงที่ยืนรออยู่ตรงนั้นนานแล้วเรียกเอาไว้
“ใต้เท้าหลู?”
หูทงค่อนข้างประหลาดใจ หยุดเท้าลงทันทีแล้วประสานมือคารวะ ดูเคารพนบนอบอย่างเห็นได้ชัด
เขารู้ดีว่าชายชราที่คุมอำนาจกองพลาธิการของค่ายหมายเลขเจ็ดคนนี้ อย่ามองแค่ว่ารูปลักษณ์ไม่สะดุดตา แท้จริงแล้วอีกฝ่ายเป็นบุคคลร้ายกาจคนหนึ่ง ใครก็ไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคือง
เหตุผลนั้นแสนง่ายยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณในกองทัพทางการของจักรววรดิ หรือว่ากลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกปราณด้วยตัวเองจำพวกหูทง ตราบใดที่จะแลกเปลี่ยนเหรียญกล้าหาญของกองทัพ ก็จำต้องมุ่งหน้าไปยัง ‘กองพลาธิการ’
และหลูเหวินถิงเป็นถึงหัวหน้ากองพลาธิการ!
ถ้าหากเขาไม่ชอบใจ จำนวนของเหรียญกล้าหาญที่แลกเปลี่ยนได้ไม่เพียงแต่น้อยลงไปมาก ที่สำคัญคือจากนี้ไปจะไม่ได้รับ ‘ภารกิจดีๆ’ อะไรเลยในอนาคต!
หลูเหวินถิงในเวลานี้ดูสงวนท่าทีมากอย่างเห็นได้ชัด กล่าวว่า “ครั้งนี้พวกเจ้าจะไปหุบเขาพยัคฆ์หรือ”
“ถูกต้อง” หูทงพยักหน้า “ไม่ทราบใต้เท้าหลูมีสิ่งใดจะบัญชา”
“พาเขาร่วมขบวนไปด้วย”
หลูเหวินถิงกล่าวพลางชี้ไปที่หลินสวินซึ่งอยู่ด้านข้าง น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับมีกลิ่นอายที่ไม่อาจปฏิเสธได้สายหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้เคยทำเช่นนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง วิธีการแสนคุ้นเคย เจนจัดยิ่งยวด ล้วนคร้านจะพูดมากความ
“ไม่ได้!”
ไม่รอให้หูทงเอ่ยปาก ชายหนุ่มชุดคลุมสีเงิน รูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งก็พูดโพล่งออกมาแล้ว คล้ายจะไม่ใคร่พอใจ มุ่นคิ้วกล่าว “กลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราของพวกเราไม่เคยพาคนนอกร่วมขบวนด้วยมาก่อน”
“นั่นสิ เจ้าหนูนั่นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกอ่อนหัดคนหนึ่ง ไม่ประสาอะไรเลย แค่ดูก็รู้ว่ามาเพื่อกอบโกยเหรียญกล้าหาญของกองทัพ พวกเราไม่อยากพาตัวถ่วงแบบนี้ไปด้วยหรอกนะ”
ทันใดนั้นสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราจำนวนไม่น้อยต่างเอ่ยปาก แสดงออกถึงการปฏิเสธและต่อต้าน
หลินสวินนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง สายตากลับมองไปทางหลูเหวินถิง เสมือนกำลังพูดว่า นี่หรือคือหน้าที่ที่ท่านช่วยข้าจัดหา?
หลูเหวินถิงส่งสัญญาณให้หลินสวินอย่างเพิ่งรีบร้อน จากนั้นก็หันหน้ามองไปทางหูทงและคนอื่นๆ ดวงหน้าชรานิ่งขรึม กล่าวด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ “ถ้าพวกเจ้าขัดข้อง เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
กล่าวจบเขาก็ทำท่าจะเดินออกไป
หูทงก้าวมาข้างหน้าโดยพลัน พาหลูเหวินถิงแยกไปยังบริเวณไกลออกไป แล้วเริ่มกระซิบกระซาบกันด้วยเสียงแผ่วเบา
ในเวลาเดียวกันนั้นหลินสวินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยเขามองเห็นคนรู้จักผู้หนึ่ง “บังเอิญจริงเชียว ที่แท้แม่นางอาปี้ก็อยู่นี่ด้วย”
ไม่ไกลออกไป อาปี้ที่รูปร่างปราดเปรียวเพรียวลม งดงามและเจือความดุร้ายเต็มที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด สติล่องลอยไปไกล จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นหลินสวิน
ดังนั้นเวลานี้ตอนที่เห็นหลินสวินจึงดูอึ้งงันไปอย่างชัดเจน กล่าวว่า “เป็นเจ้าหน้ามนคนนี้นี่เอง”
สีหน้าของหลินสวินอึมครึม ผู้หญิงคนนี้เหตุใดถึงเอาแต่คิดว่าตนเป็นเจ้าหน้ามนนะ
“อาปี้ เจ้ารู้จักเขาหรือ”
ชายหนุ่มชุดคลุมเงินที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้หัวคิ้วยิ่งขมวดมุ่นขึ้น สายตาที่มองไปทางหลินสวินเจือความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่ปิดบัง
“อืม เพิ่งรู้จักกัน” อาปี้พยักหน้า
“อาปี้ ข้าขอเตือนเจ้าว่าจากนี้ไปอย่าสนใจคนผู้นี้ดีกว่า เขาไม่เพียงเป็นเจ้าหน้ามน ยังเป็นพวกสำรวยไร้ความสามารถคนหนึ่งอีกด้วย ทำเป็นแต่อาศัยฐานะของตัวเองไปกอบโกยเหรียญกล้าหาญของผู้อื่น คนพรรค์นี้ ก็แค่หนอนดูดเลือดของจักรวรรดิที่ทำให้ผู้คนร้องยี้!”
เมื่อรู้ว่าอาปี้รู้จักหลินสวิน ชายหนุ่ชุดคลุมเงินผู้นั้นก็ยิ่งไม่เกรงใจ ถ้อยวาจาแฝงความดูหมิ่นอย่างไม่ปิดบัง
เขาเห็นหลินสวินและหลูเหวินถิงอยู่ด้วยกัน กอปรกับหมายจะเข้าร่วมขบวนของพวกเขา ก็คิดโดยจิตใต้สำนึกว่านี่จะต้องเป็นลูกผู้ดีมีเงินของตระกูลทรงอิทธิพลสักแห่งหนึ่ง ที่วิ่งโร่มาเพื่อเก็บเหรียญกล้าหาญของกองทัพอย่างแน่นอน กอบโกยอย่างน่าอุจาดตาเหลือเกิน
——