Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ - ตอนที่ 83
ตอนที่ 83 โลหิตเทวะ
เมื่อออกมาจากศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้ ผู้คนเดินจับกลุ่มแยกย้ายกันไป บ้างก็มีสีหน้าตื่นเต้น บ้างก็มีสีหน้าผิดหวัง
ระหว่างทางกลับ เฉินโจวอี้ไม่ได้เดินคนเดียวอีกแล้ว
นายพักอยู่ที่นี่เหรอ? คิดไม่ถึงเลยว่านายกับฉันจะพักอยู่โรงแรมเดียวกัน! ขณะที่เดินมาถึงหน้าประตูโรงแรมนั้น ชายร่ายกายกำยำไว้เคราพูดขึ้นเสียงดัง
“ใช่แล้ว บังเอิญจริง” เฉินโจวอี้พูดด้วยรอยยิ้ม
เท่าที่ทำความรู้จักกัน พบว่าอีกฝ่ายชื่อลู่เหว่ยเฟิงและเพื่อนอีกคนที่อยู่กับเขามีชื่อว่าเว่ยเฉิงห้าว รูปร่างผอมสูง พวกเขามาจากที่เดียวกัน น่าเสียดายที่ในสองคนนั้นมีแค่ลู่เหว่ยเฟิงคนเดียวที่ผ่านการทดสอบครั้งแรก
“อีกพักหนึ่งไปกินข้าวด้วยกันสิ” ลู่เหว่ยเฟิงมองมายังเฉินโจวอี้แล้วกล่าวเชิญด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอายุห่างจากพวกเขามาก แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นการขัดขวางการผูกมิตรของพวกเขาเลย คนแบบนี้ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน อนาคตเขาต้องเป็นคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน
เว่ยเฉิงห้าวที่มีอาการเซื่องซึมอยู่พักหนึ่งจึงพูดขึ้น “ใช่แล้ว ไปกินข้าวด้วยกัน เลือกร้านดีๆ หน่อย”
“ได้ งั้นผมจะไปหยิบของก่อน” เฉินโจวอี้ตอบ
“งั้นพอถึงเวลานัดก็มาเจอกันที่ประตูโรงแรมแล้วกัน” ลู่หว่ยเฟิงพูด
เฉินโจวอี้กลับห้องไปหยิบกระเป๋าเอกสาร เขาเปิดดูอยู่พักหนึ่ง แล้วปิดซิปอีกครั้ง เมื่อเขาเดินไปที่ประตูโรงแรม พบว่าสองคนนั้นยืนรออยู่ก่อนแล้ว
พวกเขาสามคนเลือกภัตตาคารระดับสูง จองห้องส่วนตัวไว้
….
“ฉันยังไม่คิดที่จะกลับหรอก กะว่าจะไปฝึกที่ห้องฝึกซ้อมของโลกที่แตกต่างสักพัก” เว่ยเฉิงห้าววางตะเกียบ ดื่มไวน์หนึ่งแก้วและพูดเสียงเข้ม
“แล้วเมียของนายล่ะ?” ลู่เว่ยเฟิงพูดขึ้น
“คงต้องไปรับมาอยู่ด้วย ตอนนี้ไฟฟ้าที่เมืองลั่วซานยังคงดับ เธอเองก็ยังไม่มีงานทำ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันแหละ โชคดีที่ยังพอมีเงินเก็บจากเมื่อก่อน ในช่วงปีสองปีนี้คงไม่มีปัญหาอะไร” เว่ยเฉิงห้าวพูดพลางถอนหายใจ
ลู่เหว่ยเฟิงเองเริ่มเกิดความคิดขึ้น จากนั้นเขาจึงส่ายหัวพลางพูดขึ้นว่า “จริงอยู่ที่เมืองเหอตงสะดวกสบายกว่ามาก ทรัพยากรก็เยอะ ฉันเองก็อยากย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่น่าเสียดายที่ราคาบ้านสูงเกินไป”
“นายแล้วก็น้องเฉินโจวอี้มีอะไรให้น่ากังวล เท่าที่ฉันรู้มา เมืองเหอตงเพื่อที่จะดึงดูดพวกชาวยุทธ ทางการมีค่าที่อยู่อาศัยให้คนละสามล้านหยวน ทำไมถึงจะซื้อบ้านไม่ได้ล่ะ”
“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?” เฉินโจวอี้พูดด้วยความตกใจ
“เยอะงั้นเหรอ?” ลู่เหว่ยเฟิงเห็นเฉินโจวอี้ตกใจ จึงถามกลับ
“เมื่อวานฉันดูข่าว ตอนนี้ราคาบ้านที่เมืองเหอตงสูงถึงห้าหมื่นหยวนต่อหนึ่งตารางเมตร เงินค่าที่อยู่อาศัยสามล้านหยวนคงซื้อได้แค่หลังเล็กๆ อีกอย่างหลังจากเป็นชาวยุทธแล้ว ก็ยังต้องซื้ออาวุธของตัวเอง แค่ซื้อดาบดีๆ สักเล่มและธนูรบสักคัน เงินหนึ่งล้านหยวนก็หมดแล้ว”
“อีกอย่างฉันได้ยินเพื่อนชาวยุทธคนหนึ่งเล่าว่า การฝึกฝนในอนาคตของพวกชาวยุทธมีค่าใช้จ่ายสูงมาก มักจะต้องซื้อ ‘โลหิตเทวะ’ จากช่องทางพิเศษอยู่หลายครั้ง ไหนจะสมบัติพิเศษบางส่วนอีก ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะเพิ่มพลังของตัวเอง”
เฉินโจวอี้นึกว่าตัวเองได้ยินผิดไป หรือบางทีมันอาจจะเป็นของสิ่งอื่น จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“โลหิตเทวะ! ที่คุณพูดมานี่ใช่เลือดของพวกเทพเจ้าหรือเปล่า?”
“จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถือว่าผิดนะ นายน่าจะรู้ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน มีเทพเจ้าหลายตนตกมายังโลกมนุษย์ นายไม่สงสัยเลยเหรอว่าศพของพวกเขาหายไปไหน?”
แน่นอนว่าเว่ยเฉิงห้าวไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน เขาจึงถามด้วยความสงสัย “หรือว่าพวกเขาจะถูกโคลนนิ่งไว้?”
ลู่เหว่ยเฟิงทำหน้าแทบไม่ถูก “โคลนนิ่งกันง่ายๆ ที่ไหน เพียงแต่แค่ถูกเพาะปลูกไว้ เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีฤทธิ์แรงและมีการเมตาบอลิซึมที่น่ากลัวมาก โลหิตเทวะคือของเหลวในเซลล์ที่สกัดมาจากเลือดเนื้อพวกนี้”
“ทำไมถึงต้องใช้ของเหลวในเซลล์ ใช้เลือดเนื้อของจริงไม่ดีกว่าเหรอ?” เว่ยเฉิงห้าวถาม
“อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์นี่นา แต่น่าจะเพราะว่ามันเป็นอันตราย เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในโลกมนุษย์ คาดว่ามักจะมีความสามารถที่เหลือเชื่ออยู่เสมอ”
ลู่เหว่ยเฟิงพูดต่อ “ตามที่ได้ยินมา ‘โลหิตเทวะ’ ในยุคแรกทรงพลังที่สุด ต่อมาเมื่ออยู่ในกระบวนการเพาะปลูกมันก็ค่อยๆ เสื่อมสภาพลง น่าเสียดายจริงๆ”
“แล้วสรุปเทพเจ้าพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว?” เฉินโจวอี้ถามข้อเคลือบแคลงใจของตัวเองออกมา
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน น่าจะตายแล้ว แต่ใครจะไปรู้เรื่องแบบนี้กันล่ะ”
เมื่อพูดถึงหัวข้อสนทนาต้องห้ามอย่างเช่นพวกเทพเจ้าจากโลกที่แตกต่างเช่นนี้ ทำให้หัวข้อสนทนาเริ่มน่าตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกเขาจึงใช้เวลากินข้าวนานถึงสองชั่วโมงเต็ม
ข้าวมื้อนี้ทำให้เฉินโจวอี้เก็บเกี่ยวอะไรได้มาก เขาได้เรียนรู้ความลับของชาวยุทธมามากมาย เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าชาวยุทธฝึกหัดที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนอย่างคนพวกนี้ เขายังถือว่ามีประสบการณ์ทางสังมาน้อยกว่ามาก
สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถสืบค้นได้จากในอินเทอร์เน็ต มันเผยแพร่แค่ในวงแคบและผ่านช่องทางพิเศษบางส่วนเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น “โลหิตเทวะ”
เมื่อก่อนเขาไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของสิ่งนี้
แต่พอลองคิดดูมันก็จริง
เพราะประการแรกเลยคือในแต่ละปีของสิ่งนี้มีกำลังการผลิตค่อนข้างที่จำกัด
ประการที่สองคือมันยังเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้เกิดความโกลาหลและสร้างกระแสความคิดเห็นสาธารณะในโลกอินเทอร์เน็ต
ในโลกอินเทอร์เน็ตมักจะไม่เคยขาดแคลนบรรดาพวกมีคุณธรรมสูงส่ง และถึงแม้ว่าเทพเจ้าหลายตนในโลกที่แตกต่างจะไม่ได้มีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่ก็คือสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา การดื่มกิน “โลหิตเทวะ” ในความคิดของพวกที่มีศีลธรรมใสสะอาดคงไม่ต่างอะไรจากการกินพวกเดียวกัน
ตอนที่จะคิดเงินค่าอาหารนั้น พบว่าลู่เหว่ยเฟิงถือโอกาสตอนไปเข้าห้องน้ำจ่ายเงินค่าอาหารไปเรียบร้อยแล้ว
“อีกพักหนึ่งพวกเราไปผ่อนคลายกันหน่อยไหม ไปย่อยอาหารกัน” เมื่อเดินออกจากร้านอาหาร ลู่เหว่ยเฟิงจึงเอ่ยชวน
มองรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดเลยว่าไอ้การผ่อนคลายที่ว่านี่มันต้องมีความหมายแฝงพิเศษแน่
เฉินโจวอี้ตกใจจึงรีบพูดขึ้น “ช่างเถอะ ผมไม่ไปแล้ว พวกคุณไปกันเถอะ”
“ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน!” เว่ยเฉิงห้าวไม่มีความสนใจเช่นกัน “ตอนบ่ายฉันจะกลับบ้านไปรับครอบครัวมาอยู่ที่นี่”
….
กลับมาถึงโรงแรม เฉินโจวอี้วางกระเป๋าเอกสารลง
เขาเดินมานั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วเปิดคอม หลังจากที่หน้าเดสก์ท็อปเด้งขึ้นมา เขารีบเข้าเว็บไซต์ทางการของศูนย์ศิลปะการต่อสู้ของเมืองเหอตงทันที ในไม่ช้าเขาก็พบว่ามีการประกาศรายชื่อของผู้ที่ผ่านการทดสอบสมรรถภาพทางกายแล้ว ซึ่งชื่อของเขามาเป็นอันดับหนึ่ง
เขากวาดตามองรายชื่อและสถานที่ตั้งของสมาคมชาวยุทธรวมทั้งเวลาเรียกรวมตัว
จากนั้นขาจึงปิดหน้าเว็บไซต์ แล้วเปิดเว็บไซต์ทางการของเมืองตงหนิง ในหน้าเว็บไซต์มีข่าวน้อยมาก ไม่มีข่าวที่ระบุถึงลัทธินอกรีตพวกนั้นเลย เฉินโจวอี้จึงคลิกเข้าไปหัวข้อข่าวที่ประกาศไปเมื่อวันก่อนที่ว่า ‘ประกาศแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับการปราบปรามอาชญากรรมที่ชั่วร้ายอย่างเข้มงวด’
เขาจึงอ่านอย่างคร่าวๆ
พบว่าเมืองตงหนิงมีการประกาศเคอร์ฟิวจริง ไม่เพียงแต่ส่งคนไปเป็นจำนวนมากเพื่อเข้าควบคุมการทำงานและการรักษาความปลอดภัยของเมืองตงหนิง อีกอย่างเริ่มเกิดการแสดงความคิดเห็นเป็นวงกว้าง
เขาถอนหายใจ
จากนั้นเขาจึงหาข่าวของเมืองผิงชิว แต่พบว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย ข่าวส่วนใหญ่อยู่ในช่วงยี่สิบกว่าวันก่อนเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั้งเมือง ซึ่งการไม่มีข่าวคือข่าวที่ดีที่สุด
….
ในเวลานี้เขาเกิดความคิดหนึ่งขึ้น จึงรีบพิมพ์ที่อยู่ของบ้านผีสิงหลังนั้นทันที
เลขที่ 18 ถนนชือก่าง เมืองเหอตง
ส่วนใหญ่เป็นข่าวประกาศขายบ้านผีสิงหลังนี้
“ยี่สิบสองล้าน!”
เฉินโจวอี้อ่านอยู่พักหนึ่ง ใจเขาเต้นแรงมาก
เขาไม่ซื้อ และไม่มีวันซื้อไหวแน่นอน
ที่จริงแล้วราคานี้ถือว่าไม่สูง เป็นราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว บ้านผีสิงตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นบ้านที่มีสวนกว้าง พื้นที่ทั้งหมดเกือบหนึ่งเอเคอร์ ด้วยราคาตลาดของเมืองเหอตง แค่ราคาที่ดินก็เกินราคานี้แล้ว
น่าเสียดายที่บ้านหลังนี้ประกาศขายมาสามปีแล้ว แต่ก็ยังขายไม่ออก
เฉินโจวอี้ยังคงหาต่อไป หลังจากหาอยู่นาน ในที่สุดก็เจอข่าวที่น่าสนใจ
“ตอนแรกด้วยความที่ผมอยากได้บ้านราคาถูก จึงซื้อบ้านผีสิงมาหลังหนึ่ง คือบ้านเลขที่ 18 ถนนชือก่าง คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอผีเข้าแล้วจริงๆ ทุกครั้งที่นอนหลับ จะมีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในความฝัน ผมท่องบทสวดอยู่หลายครั้ง และก็เชิญชินแสมาปรับฮวงจุ้ยอยู่หลายหน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกร่างกายอ่อนแอลงทุกวัน วันนี้ขนาดตอนผมลืมตาตื่นขึ้นมา ผมก็ยังเจอเธอ…..”
ดูเหมือนว่าหนึ่งในเจ้าของบ้านคนเก่าได้ตีพิมพ์ในฟอรัมท้องถิ่นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่หลังจากที่เขาลองคลิกเข้าไปดูก็พบว่ามันถูกลบไปแล้ว
จบตอน