Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 199
บทที่ 199
โพรงใบไม้
“นิกายอุปกรณ์ลึกลับควรค่าแก่ชื่อของมันอย่างแท้จริง ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกทั้งหมด มีเพียงนิกายอุปกรณ์ลึกลับเท่านั้นที่ขายอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุด”
ศาลาอุปกรณ์ลึกลับมีผู้สนับสนุนที่ดีและพวกเขาก็ไม่ได้เป็นกลุ่มธรรมดาๆ แต่เป็นนิกายอุปกรณ์ลึกลับชื่อดังของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก
นิกายอุปกรณ์ลึกลับมีชื่อเสียงด้านการสร้างอาวุธ
ในนิกายอื่นๆ หากมีปรามาจารย์ช่างทำอาวุธหัวกะทิซักคนก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่นิกายอุปกรณ์ลึกลับมีปรามาจารย์หัวกะทิหลายร้อยคน ตราบใดที่มีวัสดุเพียงพอ พวกเขาก็สามารถผลิตอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง
ในเกือบทุกเมืองของแคว้นร้อยเทพยุทธ์ มีศาลาอุปกรณ์ลึกลับอยู่ แต่ละร้านจะขายอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุด ทุกร้านจะมีอย่างน้อยหนึ่งชิ้น หรือบางร้านอาจมีถึงห้าชิ้น
แน่นอน อาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดแต่ละชิ้นนั้นมีราคาสูงมาก ในบรรดาชนอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดที่จัดแสดงอยู่ในศาลาอุปกรณ์ลึกลับแห่งนี้ ราคาถูกที่สุดของพวกมันคือประมาณหกล้านเหรียญทอง ในขณะอันที่มีค่าที่สุดคือแปดล้านเหรียญทอง มันไม่ได้เกินความจริงที่จะกล่าวว่าพวกมันเป็นการปล้นทรัพย์กลางวันแสกๆ ดีๆ นี่เอง
หากแปดล้านเหรียญทองถูกนำมากองรวมกัน มันก็เป็นกองทองคำดีๆ นี้เอง
ได้ยินคำยกย่องนิกายอุปกรณ์ลึกลับจากหลี่ฟู่เฉิน ผู้จัดการร้านศาลาอุปกรณ์ลึกลับตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจ “นิกายอุปกรณ์ลึกลับของเราไม่เคยขาดปรามาจารย์ช่างทำอาวุธหัวกะทิ มันอาจจะมีแม้แต่กระทั้งสุดยอดปรามาจารย์ในอนาคต”
สุดยอดปรามาจารย์ช่างทำอาวุธมีสถานะหาที่เปรียบไม่ได้ ในบางแง่ อำนาจของพวกเขาอาจเหนือกว่ากระทั้งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด หากสุดยอดปรมาจารย์ช่างทำอาวุธไม่ชอบนิกายบางนิกาย และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม คำสั่งเดียวจากพวกเขาก็จะมีนิกายนับไม่ถ้วนโจมตีนิกายนั้นโดยเฉพาะเจาะจง
หลี่ฟู่เฉินถาม “ผู้จัดการร้าน ข้าต้องการดาบสมบัติระดับลึกลับขั้นสูงสุด ข้าสงสัยว่าศาลาอุปกรณ์ลึกลับมีพวกมันอยู่บ้างหรือไม่?” หลี่ฟูเฉินไม่สามารถกล่าวว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อซื้ออาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดอย่างจริงจังได้ หากเขาอธิบายเหตุผลของเขาไป มันจะทำให้เกิดข้อขัดแย้งอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้จัดการร้านขมวดคิ้ว โดยไม่ต้องคิด เขารู้ว่าข้อตกลงนี้เป็นการปั้นน้ำเป็นตัว
เขาตอบ “นายน้อยเฉิน มีผู้ใช้กระบี่และดาบมากมายในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก หากท่านต้องการดาบสมบัติระดับลึกลับขั้นสูงสุด ท่านจะต้องสั่งซื้อล่วงหน้าจากนิกายอุปกรณ์ลึกลับของเรา แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านจะได้รับมันช้าเร็วแค่ไหน”
ตระกูลเฉินอาจเป็นตระกูลใหญ่ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับทวีปยูนิคอนน์ตะวันออกทั้งหมด การรอคอยแปดหรือสิบปีเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ปกติเมื่อสั่งซื้ออาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดล่วงหน้า การรอทั้งชีวิตและยังไม่ได้รับอาวุธก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน หลังจากทั้งหมดแล้ว ผู้ที่มีอิทธิพลก็สามารถลัดคิวได้อย่างง่ายดาย
“เป็นเช่นนั้น? ถ้าอย่างนั้นข้าควรไปลองเสี่ยงโชคในเมืองอื่น!” หลี่ฟูเฉินทำราวกับว่าเขาผิดหวัง
“โปรดดูแลตัวเองนายน้อยเฉิน” ผู้จัดการร้านเห็นหลี่ฟูเฉินออกไปจากประตู
เดินอยู่บนถนน หลี่ฟู่เฉินรู้สึกพอใจเป็นพิเศษ
อาวุธระดับปฐพีชิ้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดแน่นอนหากนำไปยังนิกายอุปกรณ์ลึกลับ การขายเป็นเหรียญทองหลายล้านเหรียญมันก็จะไม่เป็นปัญหา
แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้น
‘ชาวนาไม่ใช่ผู้ผิด แต่เมื่อเขามีหยกอยู่กับตัวเมื่อนั้นจึงเป็นความผิดของเขา’ เศษซากอาวุธระดับปฐพีนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ใหญ่กว่ามาก มันเป็นการดีที่สุดที่จะนำมันกลับไปยังนิกายวารีครามและเสนอให้ปรามาจารย์ช่างทำอาวุธหัวกะทิเพื่อศึกษา หากปรามาจารย์ช่างทำอาวุธหัวกะทิผู้นั้นสามารถเข้าใจบางสิ่งบางอย่างได้ และก้าวเข้าสู่การเป็นสุดยอดปรามาจารย์ช่างทำอาวุธ มันจะช่วยรักษาตำแหน่งของนิกายวารีครามในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกได้ดียิ่งขึ้น
(หมายเหตุ : ชาวนาไม่ใช่ผู้ผิด แต่เมื่อเขามีหยกอยู่กับตัวเมื่อนั้นจึงเป็นความผิดของเขา ความหมายคล้ายๆ ว่าตอนแรกไม่ผิดแต่เมื่อมีของมีค่าอยู่กับตัวก็อาจโดนโยความผิดใส่ได้)
“เรื่องต่างๆ คงต้องทิ้งให้อนาคตเป็นตัวจัดการ อาวุธระดับปฐพีนี้สามารถใช้มันชั่วครั้งคราวได้และอาจเป็นไพ่ลับใหม่ของข้า”
พลังโจมตีของเศษซากอาวุธระดับปฐพีนั้นไม่มากนัก แต่มันก็คมมากเช่นกัน หลี่ฟู่เฉินทดสอบด้วยการถ่ายพลังฉีของเขาลงไปในเศษซากอาวุธ มันกักเก็บพลังฉีของเขาได้อย่างง่ายดายและมีความสามารถในต้านทานพลังฉี มันไม่ได้ด้อยไปกว่าศรทลายอสูร
***
เมื่อท้องฟ้ามืดลง พระอาทิตย์ก็เป็นสีแดงและปล่อยแสงสว่างสุดท้ายออกมา
หายใจออกยาวๆ หลี่ฟู่เฉินเดินไปตามทาง
เมืองคมดาบเหินมีขนาดใหญ่และมีถนนและตรอกซอกซอยกว้างขวาง หลังจากเดินมาเกือบสองชั่วโมง หลี่ฟู่เฉินมาถึงพื้นที่ทางเหนือ
เดินไปที่ตรอกโพรงใบไม้ เซียวกงกลับมาเช่นกัน
ด้วยเหรียญทองหนึ่งเหรียญ เขาซื้อเงินเพื่อยาด้วยเหรียญเงินสี่เหรียญและเหรียญทองแดงอีกไม่กี่เหรียญซึ่งเป็นราคาสำหรับขนมปังนุ่มและขนมปังกรอบ จากนั้นเขาก็ซื้อผลไม้หวานที่น้องสาวของเขาชื่นชอบด้วยเช่นกัน เขาเก็บเหรียญเงินห้าเหรียญที่เหลือไว้ และวางแผนที่จะส่งมันให้กับน้องสาวของเขาเพื่อจัดการพวกมัน
เนื่องจากร่างกายที่อ่อนแอและร่างที่บอบบางของเขา เขาจึงใช้เวลากว่าหกชั่วโมงในการเดินทางไปยังพื้นที่ตอนเหนือของเมือง
ผิวของเขาเป็นสีเหลืองและร่างกายของเขาก็ผอมซูบ เขามีริมฝีปากที่แห้งผากและแตกร้าว แต่มันก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและไม่สามารถที่จะกลับไปยังบ้านได้
“โอ้? ไม่ใช่ว่านั้นเซียวกงหรือไร? เจ้าซื้อขนมปังมาจริงๆ ดูเหมือนว่าวันนี้เจ้าจะทำเงินได้ดี!” นักเลงสองสามคนที่ดูเหมือนจะอายุยี่สิบปี เข้ามาขวางทางเดินของเซียวกง
ดวงตาของเซียวกงเบิกกว้างขึ้น ในทันทีเขาเปลี่ยนเป็นซอยและวิ่ง
“เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย หลังจากเห็นลั่วเก่อแล้วเจ้ากล้าวิ่งหนีไปได้ยังไง?”
พวกอันธพาลโกรธแค้น พวกเขาไล่ตามเซียวกงไปและโยนเขาลงไปที่พื้น หนึ่งในนั้นค้นร่างกายของเซียวกงและหยิบเหรียญเงินห้าเหรียญออกมา
“ลั่วเก่อดูสิ มันมีเหรียญเงินอยู่ห้าเหรียญ”
กำเหรียญเงินห้าเหรียญไว้ นักเลงที่เรียกลั่วเก่อเยาะเย้ย “ลั่วเก่อยินดีที่จะรับเหรียญเงินทั้งห้านี้ไว้เอง แต่เจ้าก็ยังกล้าวิ่งหนีเมื่อเห็นลั่วเก่อ หากไม่ได้สอนบทเรียนแก่เจ้า มันจะไม่เป็นการดูหมิ่นลั่วเก่อหรอกหรือ?”
ลั่วเก่อหยิบขนมปังขึ้นมาก่อนที่จะกัดมัน เวลาเดียวกันเขาก็กระทืบเซียวกงไปด้วย
เซียวกงเกือบจะหมดสติ แต่คนที่ชอบเก็บตัวอย่างเขาก็มีความดื้อรั้นอยู่เช่นกัน เขาอดทนเท้าที่เหยียบย่ำลงมาด้วยการกัดริมฝีปากของเขา
“หือ? เจ้ามันดันทุรัง นี่เป็นยาสำหรับน้องสาวของเจ้าใช่ไหม?!”
ลั่วเก่อมองไปที่ยาที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นและเหยียบมัน
“เจ้าสามารถทำทุกอย่างได้ แต่ไม่ควรมายุ่งกับยาของข้า” ดวงตาของเซียวกงแดงฉาน
“ข้าเหยียบพวกมันแล้วเจ้าจะทำไม?” ลั่วเก่อเย้ยหยันและเหยียบไปที่ยาของเขาต่อ
ท้ายที่สุดแล้วเซียวกงก็ไม่สามารถทำอย่างไรได้ มันมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา
“ฮ่าฮ่า! พี่น้องไปกันเถอะ!”
ลั่วเก่อรู้สึกยินดี เหรียญเงินห้าเหรียญเพียงพอที่เขาจะได้ทานอาหารอร่อยๆ มากมาย มันไม่สำคัญว่าเซียวกงและน้องสาวของเขาจะอยู่หรือตาย
“นี่แน่นอนว่าดูน่าสมเพช ทำไมจึงมีคนโลภมากเช่นเจ้าอยู่ในหมู่คนจน?” เสียงสะท้อนออกมา
“ใครกัน?!” ลั่วเก่อขนลุกชัน ขณะที่เขามองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง
หลี่ฟูเฉินเดินมาอย่างช้าๆ
เมื่อเซียวกงเห็นหลี่ฟู่เฉิน เขากล่าวอย่างร้อนรน “ท่านนักสู้ พวกเขานำยาของข้าไป”
หลี่ฟู่เฉินพยักหน้าและจ้องไปที่ลั่วเก่อ
ขาของลั่วเก่อสั่น เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นนักสู้
พวกเขาเป็นแค่คนทั่วไปที่ไม่มีโอกาสฝึกฝน ไม่ว่านักสู้ขอบเขตพลังฉีคนใดก็สามารถเอาชนะเขาได้
“ท่านนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ เราแค่ล้อเขาเล่น เซียวกง เจ้าเอาเหรียญเงินกลับไปได้ เหรียญเงินพวกนี้มีไว้สำหรับให้เจ้าซื้อยาอีกครั้ง นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ เราจะออกไปแล้ว” ลั่วเก่อและกลุ่มของเขาหยิบเหรียญเงินทั้งหมดที่พวกเขามีออกมาและวางมันไว้ในมือของเซียวกง
ลั่วเก่อคิดกับตัวเองว่านักสู้ผู้นี้ไม่สามารถปกป้องเซียวกงไปได้ตลอดชีวิต เขาจะมีโอกาสแก้แค้นในอนาคต
“ใครอนุญาตให้พวกเจ้าออกไป?”
ด้วยคลื่นมือของเขา หลี่ฟู่เฉินระเบิดพลังฉีอันเบาบางออกไป
บูม บูม บูม…
ลั่วเก่อและกลุ่มของเขาชนเข้ากับผนังบ้านโดยรอบและพ่นเลือดสดๆ ออกมา อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพวกเขากระดูกหัก แม้ว่าพวกเขาจะสามารถรักษาได้ในอนาคต พวกเขาก็ยังคงพิการ หากไม่มีการปฐมพยาบาลให้พวกเขา พวกเขาส่วนใหญ่อาจจะตายในวันนี้
“เซียวกง ไปกันเถอะ”
หลี่ฟูเฉินใช้มือขวาดึงเซียวกงมาและนำเขาไปทางด้านข้างของเขา
“ท่านนักสู้ ยาของใช้ไม่ได้แล้ว”
“ไม่มีปัญหา ข้ามีมันอยู่”
ตรอกโพรงใบไม้เป็นหนึ่งในสลัมที่สำคัญในเมืองคมดาบเหิน ที่นี่ บ้านเรือนที่อยู่รอบๆ นั้นแน่นและอยู่ติดกัน บ้านหลังเล็กๆ ส่วนใหญ่มีคนทั้งสามชั่วอายุอาศัยอยู่เดียวกันในบ้านหลังเดียว มันทำให้เป็นเรื่องยากที่จะขยับร่างกาย
บ้านของเซียวกงเป็นบ้านเล็กๆ ความยาวของบ้านเพียงประมาณสองเมตร มันไม่ได้แตกต่างจากบ้านของสุนัขมากเสียเท่าไหร
ปลดล็อคประตู เซียวกงผลักประตูเปิดและเดินเข้าไป
แสงสว่างในบ้านมีจำกัด นอกเหนือจากเตียงที่ทำจากไม้กระดาน มีแค่โต๊ะนี้ที่มีรูขนาดใหญ่อยู่เท่านั้น ที่ส่วนล่างของเตียงมีของเบ็ดเตล็ดอยู่มากมาย มันต้องเป็นสิ่งของบางสิ่งที่พี่น้องคู่นี้เก็บไว้ คิดว่าพวกมันอาจจะมีประโยชน์