Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 290
บทที่ 290
แสดงความสามารถ
“ไปให้พ้น!”
ผู้เข้าร่วมขอบเขตปฐพีระดับ 9 หลายคนร่วมมือกันเพื่อทำลายหลี่ฟู่เฉิน
หลี่ฟู่เฉินรู้ได้อย่างชัดเจนว่าคนเหล่านี้จงใจทำเช่นนี้ หรือไม่ก็แค่พวกเขาอาจจะต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของเขา
น่าเสียดายที่ขั้นเทคนิคการฝึกฝนทั้งหมดของพวกเขาอยู่ที่ขั้น 14 เท่านั้น พวกเขาอาจมีระดับการฝึกฝนที่เหนือกว่า แต่ในแง่ของขั้นเทคนิคหลี่ฟู่เฉินเหนือกว่ามานัก หลี่ฟู่เฉินส่งคนเหล่านี้ลอยออกไปและตกลงไปในหมอก ช่วงเวลาต่อจากนั้น ผู้ที่โจมตีเข้ามาทั้งหมดก็หายไป
“ขั้นเทคนิคสูงอย่างแท้จริง!”
มีคนสังเกตเห็น และอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ระดับการต่อสู้ของคนนึงประกอบไปด้วยสามสิ่ง นั้นคือระดับการฝึกฝน ระดับเทคนิค และการระเบิดพลังฉีจากเทคนิคลับ
ระดับการฝึกฝนของหลี่ฟู่เฉินอาจจะดูต่ำ แต่ระดับเทคนิคของเขาสูงมาก ดังนั้นระดับการต่อสู้ของเขาจึงไม่อ่อนแอและดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
“เด็กน้อย การแข่งขันจัดอันดับดาราในปีนี้ยังไม่ถึงคราวของเจ้า เจ้าควรเข้าร่วมในครั้งต่อไปเสียจะดีกว่า!” ร่างที่แข็งแกร่งและกำยำพุ่งเข้ามาหาหลี่ฟู่เฉินและส่งหมัดมาที่เขา
“เขาอยู่อันดับ 84 ของการแข่งขันจัดอันดับดาราครั้งล่าสุดเขาคือเฉิงหวู”
“เฉิงหวูอยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตปฐพี เทคนิคบ่มเพาะของเขาอยู่ในขั้นที่ 15 แล้ว ข้าสงสัยว่าหลี่ฟู่เฉินจะต้านทานการโจมตีของเขาได้อย่างไร?”
บรรดาอัจฉริยะที่ตามหลังหลี่ฟู่เฉินมาหัวเราะเยาะ
ความสามารถของเฉิงหวูนั้นมีมากอย่างแท้จริง เขาอาจเทียบไม่ได้กับดาบคลั่ง หลี่เซียงหรู แต่เขาก็แข็งแกร่งกว่าดาบพยัคฆ์ เฉินหยวนหู มาก
แต่ช่างน่าเสียดายที่เขาได้พบกับหลี่ฟู่เฉิน
เมื่อใช้ท่าร่าง ร่างของหลี่ฟู่เฉินก็หายไปทันที และเมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็อยู่ข้างเฉิงหวู แล้ว
“ไม่ดีแล้ว” ดวงตาของเฉิงหวูเบิกกว้าง ขณะที่มือซ้ายของเขาเอื้อมไปข้างหลังและพยายามขัดขวางการโจมตีของหลี่ฟู่เฉิน
ตูม!
หลี่ฟู่เฉินใช้เท้าของเขาเพื่อเตะเฉิงหวูให้ตกไปในหมอก
การต่อสู้ระหว่างนักสู้สามารถตัดสินได้จากหลายปัจจัย หลี่ฟู่เฉินไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความสามารถของเขามากนัก เขาก็แค่ต้องใช้ความเร็วในการส่งคู่ต่อสู้ให้ลอยตกลงไป
“รวดเร็วอะไรเช่นนี้!”
บรรดาอัจฉริยะไม่กล้าที่จะมองหลี่ฟู่เฉินอย่างดูถูกอีกต่อไป
เทคนิคตัวเบาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก หากความเร็วของคู่ต่อสู้ไม่ได้รวดเร็วเท่าฝ่ายตรงข้าม พวกเขาก็จะเป็นฝ่ายที่โดนกระทำเสียเอง เว้นแต่การป้องกันของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแข็งแกร่งมากพอที่จะลบล้างความเสียหายทั้งหมดได้ ไม่เช่นนั้นแล้วความเร็วที่ช้ากว่าก็จะทำให้เขาพ่ายแพ้ไป
ในช่วงท้ายของบันไดหินนั้นก็คือภูเขาโชคชะตาดารา
ในสถานที่แห่งนี้ไม่มีทะเลหมอกอีกต่อไป แต่การเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด
เงยหน้าขึ้นมองภูเขาโชคชะตาดาราที่สูงทะลุเมฆ พื้นผิวของภูเขาเกือบจะเป็นมุมแนวตั้ง มันมีแง่งหินแปลกๆ ยื่นออกมาเป็นที่พักเท้าให้พวกเขาแต่ก็มีเพียงเท่านั้น มันมีแม้แต่กระทั้งสถานที่ที่เป็นหน้าผาตรงซึ่งดูเรียบมาก
“เราจะปีนขึ้นไปได้อย่างไร!” พวกอัจฉริยะหลายคนอ้าปากค้าง
มันดูไม่เหมือนจะไม่ไกลมากนัก แต่หลังจากเข้าใกล้ภูเขาลูกนี้แล้ว ทุกคนก็เข้าใจดีว่าการขึ้นไปบนภูเขานี้นั้นยากแค่ไหน
คนส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ 9 ของขอบเขตปฐพี และแม้ว่าพวกเขาอาจไม่มีความสามารถในการบินได้เหมือนนักสู้ขอบอขตสวรรค์ แต่พวกเขาก็ยังสามารถกระโดดในแนวตั้งได้สูง แต่ภูเขาโชคชะตาดารามีหน้าผาสูงชันและมีความสูงหลักพันเมตร ไม่มีใครสามารถเดินทางในแนวดิ่งได้ด้วยการกระโดดเพียงอย่างเดียว แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตครึ่งก้าวสวรรค์ก็ไม่สามารถทำได้และยังต้องยืมใช้ความแข็งแกร่งจากภายนอกเข้าช่วย
แน่นอนว่าหน้าผาอาจจะสูงชัน แต่ด้วยเทคนิคตัวเบาที่น่ากลัว เราก็ยังสามารถยืมความแข็งแกร่งจากมันมาใช้ได้ เนื่องจากมันขึ้นอยู่กับทักษะของพวกเขา
ตอนนี้เบื้องหน้าทุกคนคือหน้าผา ซึ่งมีความสูงประมาณสามถึงสี่พันเมตร มันกว้างขวางมากและขยายออกไปมากกว่าสิบไมล์ หากพวกเขาจะไปเลือกหน้าผาอื่นก็จะเสียเวลาไม่น้อย
“ข้าจะไปเป็นคนแรก”
ผู้เข้าร่วมขอบเขตปฐพีระดับที่ 9 เขามั่นใจในเทคนิคตัวเบายของตัวเองมาก เขาทะยานขึ้นไป หลังจากวิ่งไปหลายร้อยเมตร เท้าของเขาเหยียบลงบนหน้าผา และก็พุ่งขึ้นไปอีกครั้ง เขาเร็วมาก และเขาก็ใช้เทคนิคของเขาตนเองอยู่ซ้ำๆ กว่าเขาจะปีนขึ้นไปได้มากกว่าหนึ่งพันเมตร
“เขากำลังจะหยุดในไม่ช้า”
หลี่ฟู่เฉินมีวิสัยทัศน์ที่มองได้ไกลและเขาสามารถเห็นได้ว่าอัจฉริยะผู้นี้กำลังสูญเสียความแข็งแกร่งทุกครั้งที่เขาเหยียบลงบนหน้าผา เขาคิดว่าอัจฉริยะผู้นี้จะสามารถปีนขึ้นไปได้ประมาณ 2,000 เมตรก่อนที่จะหยุดลง
ตามที่คาดไว้ ที่ความสูงประมาณ 2,000 เมตร อัจฉริยะคนนั้นหมดพลังฉีและก็ร่วงลงมา โชคดีที่ความสูงนี้ไม่เพียงพอสำหรับที่จะทำให้เขาตกใจ แต่เขาก็ดูทุกลักทุเลอย่างยิ่ง
เมื่อเขาลงบนพื้น อัจฉริยะคนนี้ก็มองหาเส้นทางอื่นทันทีโดยไม่ใช้ทางลัด
คนที่มีความมั่นใจน้อยกว่าบางคนไม่กล้าที่จะลองทำ หลังจากได้เห็นใครบางคนล้มเหลว พวกเขากลับทำคล้ายกันคือไปเพื่อมองหาเส้นทางอื่น ฉะนั้นแล้วทุกคนที่อยู่ข้างหลังจึงเป็นคนที่ค่อนข้างมั่นใจในทักษะของพวกเขา
“ฮ่า ฮ่า ให้ข้าลองดูหน่อยสิ” อัจฉริยะอีกคนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
บุคคลนี้อยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตปฐพีและมีพลังฉีมากมาย
ฟึบ ฟึบ ฟึบ!
หลังจากก้าวขึ้นไปบนหน้าผามาแล้วกว่าสิบครั้ง อัจฉริยะผู้นี้แทบจะไม่สามารถปีนขึ้นไปบนหน้าผาได้
“ให้ข้าลอง”
หน้าผากว้างมากและมีพื้นที่เพียงพอสำหรับคนหลายร้อยคนที่จะปีนขึ้นไปได้โดยไม่มีความแออัด
หลี่ฟู่เฉินสามารถเห็นได้ว่าราชาอัสนี สือตูเหล่ย เริ่มปีนหน้าผา
สือตูเหล่ยคู่ควรกับการเป็นราชาดาราอันดับ 1 ระดับการฝึกฝนของเขาไม่ได้สูงเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น แต่เทคนิคตัวเบาของเขาก็น่าประหลาดใจเช่นกัน เขาใช้เวลาเพียงนิดเดียวเพื่อก้าวไปยังความสูงหนึ่งพันเมตร เขาก้าวขึ้นไปบนหน้าผาเพียงสามครั้งและก็หายไปจนถึงจุดสูงสุด การกระทำทั้งหมดให้ความรู้สึกราวกับว่ามันเหมือนกับสายฟ้าที่กระพริบแวบผ่านไป
ราชาดาราไร้เคลื่อนไหว ฉีเหิง และราชาดาราแส้ทองคำ จินซูตงอาจจะดูช้ากว่า แต่การกระโดดครั้งแรกของพวกเขาก็พาพวกเขาไปที่ความสูงประมาณหนึ่งพันเมตรได้แล้วเช่นกัน
นายน้อยดาบทะยาน หลั่วเฟ่ยหยุน เทคนิคตัวเบาของเขาอยู่ในระดับเดียวกับ สือตูเหล่ย มันอาจไม่เร็วและแรงเท่า สือตูเหล่ย แต่มันกลับดูสง่างามมากกว่า
เป็นอย่างที่ทุกคนคิด เทคนิคตัวเบาของสือตูเหล่ยและหลั่วเฟ่ยหยุนนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่ทุกคนก็เริ่มเดาะลิ้นของพวกเขาเมื่อพวกเขาเห็นเทคนิคตัวเบาของเทพธิดาไตรสิกขา เจียงหรัวหลิว
เจียงหรัวหลิวดูเหมือนกับหงส์ขณะที่เธอบินขึ้นไป ไม่มีใครเห็นว่าเธอยืมพลังจากทักษะใด ในขณะที่เธอยังคงลอยขึ้นไปบนหน้าผาและขั้นไปราวกับนางฟ้า
ทันทีหลังจากนั้น เทคนิคตัวเบาของหยานฉิงหวูเองก็น่ายกย่องเช่นกัน
หยานฉิงหวูมีระดับการฝึกนเช่นเดียวกับหลี่ฟู่เฉิน ซึ่งอยู่ในระดับที่ 8 ของขอบเขตปฐพี และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่อยู่ระดับล่าง แต่นอกเหนือจากเทคนิคตัวเบาที่น่าหวั่งเกรงนี้แล้ว เธอก็ยังมีเทคนิคลับตัวเบาที่เป็นเทคนิคลับที่น่ากลัวเช่นกัน
หากเจียงหรัวหลิวเป็นเหมือนกับหงส์ หยานฉิงหวูก็คงจะเป็นนกนางแอ่น หลังจากทะยานขึ้นหน้าผาได้ประมาณสี่ครั้ง เธอก็ปีนขึ้นไปจนสุดหน้าผาได้อย่างง่ายดาย
“อัจฉริยะชั้นยอดทั้งหมดเหล่าคู่ควรกับตำแหน่งของพวกเขา แม้กระทั่งเทพธิดาระบำแสง หยานฉิงหวูที่อ่อนแอที่สุด ก็น่าเหลือเชื่อมากแล้ว”
มีผู้คนมากมายที่รู้สึกด้อยกว่า เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าศักยภาพโดยกำเนิดของพวกเขานั้นแย่เกินไปเมื่อเทียบกับอัจฉริยะชั้นยอดเหล่านี้
“หลี่ฟู่เฉินผู้นี้ยังไม่ได้ปีนหน้าผา เขาขาดความมั่นใจและรู้สึกกลัวใช่หรือมั้ย!?”
“จากที่ข้าเห็น โครงกระดูก 1 ดาวท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงโครงกระดูกระดับ 1 ดาว ข้าคิดว่าเขาคงมีข้อจำกัดบางอย่าง แต่ข้าแค่สงสัยว่าทำไมเขาถึงสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกและได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ส่วนตัวภายใต้ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกได้กัน”
“เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับไม่สามารถแสดงถึงสิ่งใดได้ บางทีเขาอาจจะเหมาะกับการทดสอบเช่นนั้นก็เท่านั้น”
ทุกคนเริ่มสงสัยหลี่ฟู่เฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้รู้ว่าเขาเป็นเพียงโครงกระดูก 1 ดาว พวกเขาทั้งหมดไม่มั่นใจ และทุกคนกำลังรอให้หลี่ฟู่เฉินแสดงความสามารถที่น่าอับอายของเขาออกมา
สาเหตุที่หลี่ฟู่เฉินอยู่ข้างหลัง ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขาต้องการดูความสามารถของคนอื่นๆ
ในแง่ของเทคนิคตัวเบา เทพธิดาไตรสิกขาเป็นอันดับที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย สือตูเหล่ยและหลั่วเฟยหยูอยู่ในอันดับที่สอง ในขณะที่คนอื่นๆ มีข้อดีและข้อเสียเป็นของตัวเอง หยานฉิงหวูยังขาดวุฒิภาวะ เทคนิคร่างกายเบาของเธออาจมีความสามารถ แต่การฝึกฝนของเธอค่อนข้างต่ำ
“ตาข้าบ้างแล้ว”
สุดหายใจเข้าลึกๆ หลี่ฟู่เฉินโคจรเทคนิคสามวายุทมิฬลอกเลียน เขาเหยียบลงบนพื้นดินและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า 500เมตร 800 เมตร 1000เมตร 1200 เมตร
จากด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็นคนที่สังเกตหรือคนที่ยังปีนหน้าผา ทุกคนอ้าปากค้างและพูดไม่ออก
1500 เมตร
การกระโดดเพียงครั้งเดียวเพียงพอที่หลี่ฟู่เฉินจะขึ้นไปยังความสูง 1,500 เมตรแล้ว และนั่นก็ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเขา
เขาอาจจะไม่ได้ฝึกฝนเทคนิคตัวเบาระดับลึกลับขั้นสูง แต่เขาก็ฝึกฝนวิชาระดับลึกลับขั้นกลาง สามวายุทมิฬลอกเลียนไปจนถึงแก่นแท้ของมัน การฝึกฝนเทคนิคสามวายุทมิฬลอกเลียนของเขาอยู่ในสมบรูณ์แบบแล้ว ซึ่งทำให้เขาเคลื่อนไหวได้เหมือนกับสายลมโดยที่เขาไม่รู้สึกถึงการต่อต้านใดๆ