Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี - ตอนพิเศษที่ 2
ตอนพิเศษที่ 2 – ความรักของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาช่างเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างที่คิดเลย
“ฟู่”
ในช่วงทุกวันนี้สทิคเป็นกังวลอย่างมาก หลังจากที่ยูอิลฮานได้เข้าเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องปวดหัวจากการจัดการดูแลโลกอีกต่อไป ในตอนนี้งานของเธอได้ลดน้อยลงมามากจนทำให้เธอได้มีเวลาคิดสิ่งต่างๆมากมาย
ทำไมเธอถึงได้เกิดมา เป้าหมายชีวิตของเธอคืออะไร เธอเป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยความคิดมากมากทำให้เธอไม่อาจจะไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสงบสุข
[ท่านเอิร์ธ ฉันเกิดมาทำไมกัน?]
[เธอได้เกิดขึ้นมาเพื่อเป้าหมายในการฆ่ายูอิลฮานที่ทำให้โลกล่มสลายลง ไม่มีเป้าหมายอื่นหรือแรงจูงใจอื่นอีกแล้ว]
นี่คือคำตอบของเอิร์ธ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดกับคนอื่นมากนักนอกจากช่วยยูอิลฮานกับคิมเยซอล เขาก็รู้สึกสนิทกับมิสทิคเล็กๆน้อยๆ เพราะมิสทิคเดิมทีมาจากเขา และเมื่อเธอเป็นกังวลแบบนี้เขาก็ไม่อาจจะปล่อยเธอทิ้งไว้ได้
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็สร้างฉันขึ้นมาโดยไม่คิดถึงอนาคตเลย”
[ฉันมีอยู่หนึ่งเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ว่าฉันไม่ได้หวังอะไรจากเธอหลังจากที่เธอจะทำหน้าที่สำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ในตอนนี้ทุกๆอย่างได้ถูกจัดการแล้ว เธอก็แค่ต้องใช้ชีวิตไปตามที่เธอเห็นสมควร]
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าชีวิตคืออะไร”
อย่างที่เอิร์ธได้ตอบกลับมา เธอเกิดขึ้นมาแค่เพื่อฆ่ายูอิลฮาน เธอได้ถูกยูอิลฮานฆ่าไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย หลังจากนั้นเธอก็ถูกยูอิลฮานชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ แต่ว่าเธอก็มีแต่ช่วยสนับสนุนให้กับชีวิตของยูอิลฮาน เธอไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำอีกเลย เพราะงั้นบางทีแล้วในด้านการใช้ชีวิตเธอก็เหมือนกับเด็กทารก
[ไม่มีใครรู้หรอกว่าชีวิตเกี่ยวกับอะไร ต่อให้เธอจะไปถามนายท่านยูอิลฮาน เธอก็จะไม่ได้คำตอบที่มีประโยชน์กลับมาอยู่ดี]
“ตอนนี้ฉันเข้าไปหานายท่านไม่ได้เลย นายท่านยังคงเป็นห่วงฉัน แม้ว่าตัวเขาจะปฏิเสธก็ตาม เขารักในทุกๆสิ่งที่เขาสร้างหลังจากกลายเป็นพระเจ้า พวกตรงๆแล้วมันอึดอัดน่ะ”
[เธอกลัวว่าเธอจะตกหลุมรักเขา?]
“ฉันไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไร แล้วก็…”
เมื่อเป็นเรื่องความรักได้มีคนๆหนึ่งเข้ามาในความคิดเธอ ในตอนแรกเธอก็แค่เพลิดเพลินไปกับการพูดคุยกับเขาเนื่องจากทั้งคู่มีสถานการณ์คล้ายๆกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปอารมณ์เธอก็เปลื่ยนไปเป็นบางสิ่งที่คล้ายเดิม แต่ก็ต่างจากเดิม
“มันเหมือนกับว่า… หัวใจฉันจะเต้นแรงในทุกๆทีที่เห็นเขาและฉันจะรู้สึกรำคาญเขาโดยไร้เหตุผล ฉันรู้ว่านี่มันไม่ปกติเลย ทำไมกันล่ะ? พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน นี่มันกระทันหันเกินไป”
[นี่เธอกำลังพูดอะไรอยู่]
เอิร์ธได้เยาะเย้ยเธอออกมา
[ในโลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ เธอกำลังจะหาคำอธิบายจากโลกใบนี้งั้นหรอ? พวกเราได้แต่ยอมรับมัน พวกเราได้แต่อยู่กับปัจจุบัน พวกเราก็ต้องก้าวต่อไป…. และนี่แหละคือชีวิต]
เธอไม่รู้ว่าเธอเกิดมาทำไม เธอไม่รู้ว่าเธอจะไปที่ไหร่ เพราะงั้นเธอก็แค่ไปในที่ที่เธออยากจะไปและทำในสิ่งที่เธออยากจะทำ มันคงจะน่าอายหากว่าเธอไม่รู้ถึงสิ่งที่เราจะบอก
[เหตุผลที่เธอเป็นแบบนี้มันก็เพราะงูนั่นใช่ไหมล่ะ? หยุดปฏิเสธความรู้สึกตัวเองและหลบหนีมันได้แล้ว ก็แค่ยอมรับอย่างที่เป็นก็พอแล้ว]
“ถ้าท่านเอิร์ธเป็นฉัน…”
[ฉันไม่ใช่เธอ]
เอิร์ธได้พูขัดคำถามออกมาอย่างไร้ปราณี จากนั้นก็พูดเสริมขึ้นมา
[ฉันไม่สามารถจะช่วยอะไรเธอได้ เพราะงั้นทำไมไม่ลองไปถามคนที่คล้ายๆกับเธอในเรื่องนี้กันล่ะ?]
“…จริงด้วย โอเค ฉันจะไปถามพวกเธอ”
มิสทิคได้ยื่นขึ้น เธอได้กดหมวกฟางที่ยูอิลฮานมอบให้กับเธอมาและออกไปหาคนที่น่าจะช่วยเธอได้
***
“อืมม นี่เป็นคำถามที่ยากมาก”
ผู้ถูกถามคาริน่า สมิธสันได้ส่งเสียงออกมา เด็กหนุ่มรูปหล่อได้จับนิ้วของมิสทิคเอาไว้ด้วยแขนเล็กๆของเขา
“อุแง๊!”
“เธอรู้เรื่องความรักไหมนิค?”
“ลูกเราไม่ได้รู้เรื่องอะไรแบบนั้นหรอกนะ”
คาริน่าได้ลูบผมของนิคและเริ่มพูดออกมา
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวมากเลยนะ เธอจะไม่เป็นไรหรอมิสทิค?”
“แน่สิ ฉันอยากจะได้ข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”
“ถ้างั้นก็… ที่จริงในตอนแรกที่ฉันได้เจอกับชายคนนั้น ฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่หน้าด้านที่สุดในชีวิตเลย”
มิเชล สมิธสันคือชายที่เต็มไปด้วยความดื้นด้านและความโลภ เขาเห็นแต่ตัวเอง กลุ่มของเขา ประเทศของเขา และเป้าหมายของคนอื่นๆนอกจากของเขาคือสิ่งที่ผิด
“ยังไงก็ตามเมื่อเวลาได้ผ่านไปและสภาพแวดล้อมก็ได้เริ่มเปลื่ยนแปลงเขา ในตอนแรกพวกเราก็แค่เป็นพันธมิตรกันเพราะว่ามีศัตรูเหมือนกัน เขายังคงหยิ่งยโสอยู่ แต่ในมุมๆหนึ่งเขาก็ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษ เดิมทีเขาเป็นคนที่หัวรั้นมากๆแม้แต่กับพวกเดียวกันเอง แต่ในเวลาต่อมาเขาได้เริ่มที่จะสนใจคนอื่นมากขึ้น”
ถึงจะน่าหงุดหงิด แต่คาริน่าคิดว่าจุดเปลื่ยนของเขาก็น่าจะเป็นในตอนที่เขาได้เริ่มหลงรักคังมิเรย์ เมื่อได้มีคนนอกเข้ามาอยู่ในสายตาเขาทำให้เขาเริ่มสนใจคนนอกมากยิ่งขึ้น
“เนื่องจากเขาอยากที่จะเห็นคนนอก เขาก็เลยยอมรับในตัวเองที่อยู่ในสายตาคนอื่นทำให้เขาได้เริ่มถ่อมตัวขึ้นมาเล็กน้อย ฉันคิดว่าฉันคือคนที่ได้เห็นการเปลื่ยนแปลงนี้อย่างใกล้ชิด ฉันคิดว่าเขาเป็นไอโง่แท้ๆเลยล่ะ แต่ว่ามันก็น่าผิดหวังในตัวฉันเองเหมือนกันเนื่องจากฉันก็รู้สึกตัวว่าฉันนั้นคล้ายกันกับเขา แต่ฉันก็ภาคภูมิใจนะที่ได้เห็นเขาเติบโตขึ้น… และพอเป็นแบบนี้ ฉันก็ตกอยู่ในวงจรของการเฝ้ามองแตเขาและคิดถึงแค่เรื่องของเขา”
“อืมมม”
เมื่อได้ยินเรื่องของเธอ มิสทิคได้เริ่มเปรียบเทียบสถานการณ์ของตัวเองกับของคาริน่า คาริน่าได้ยิ้มออกมาและพูดเรื่องราวของเธอให้จบ
“ฉันได้เห็นตัวเองในตัวเขา และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ฉันรู้สึกกับเขามากขึ้นตามที่ฉันได้เห็นการเปลื่ยนแปลงของเขา มิสทิคเธอก็เหมือนกันใช่ไหม?”
“ฉะ ฉัน”
เมื่อคิดไปถึงโอโรจิส เธอก็รู้สึกขกลุกในใจ โอโรจิกับมิสทิคได้ประสบกับการเปลื่ยนแปลงมากมายในระหว่างยอยู่กับยูอิลฮาน พวกเขาต่างล้อเลียนกันและกัน บางครั้งก็พึ่่งพากันและกัน… และในระหว่างนั้นมิสทิคก็รู้สึกได้ว่ามีความรู้สึกใหม่แตกหน่อขึ้นมา
“ขอบคุณสำหรับคำตอบนะ ฉัคิดว่านี่เป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีเลย”
“มิสทิค”
“ว่าไง?”
“เมื่อมีโอกาสนะ…”
คาริน่าได้เอามือปิดหูนิคไว้และกระซิบกับมิสทิค หลังจากได้ยินเรื่องนี้หน้ามิสทิคก็เปลื่ยนเป็นสีแดง
“โอเคนะ?”
“ดะ ได้เลย”
มิสทิคได้เดินออกไปด้วยท่าทางที่เหมือนกับหุ่นย์กระป๋อง คาริน่าได้หัวเราะออกมาทันทีที่เห็นเธอเดินจากไปและก้มลงมาลูบหัวนิค เขาดูคล้ายกันกับมิเชลและไม่อาจจะน่ารักไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
หนึ่งในคนที่มิสทิคไปหาอีกคนนั่นก็คือยูเรียล น่าบังเอิญที่เธอกำลังอยู่กับกาเบรียล
“คิมเยซอลอยู่ไหนล่ะ?”
“เธอไปหาอิลฮานพร้อมข่าวใหญ่สองเรื่องน่ะ”
“ข่าวใหญ่?”
เมื่อมิสทิคได้แสดงความสงสัยออกมา กาเบรียลก็หยักหน้าพูดออกมา
“อิลฮานจะมีน้อง”
“น้อง?”
“อิลฮานจะมีน้องอีกคนหนึ่ง…”
“…”
มิสทิคได้หรี่ตามองไปที่กาเบรียล ยูเรียลที่อยู่ข้างได้ลูบที่หน้าท้องของเธออย่างพึงพอใจ
“นายมันแย่มาก…”
“เธอกำลังเข้าใจผิดมิสทิค พวกเราเพิ่งจะแต่งงานกันมาเมื่อเร็วๆนี้เอง”
คิมเยซอลได้มีงานแต่งไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็กลังมีงานแต่งอีกอย่างหนึ่งพร้อมๆกันกับยูเรียลด้วย เธออยากที่จะใส่ชุดแต่งงานอะไรแบบนั้น
แน่นอนว่ากาเบรียลก็ไม่ได้มีสิทธิ์ค้านอะไรอยู่แล้ว และยูเรียลก็พึงพอใจที่ได้ยืนเคียงข้างเขา
“ยูเรียล”
มิสทิคได้นึกในใจว่ากาเบรียลคือชายที่มีศักยภาพเหมือนยูอิลฮาน และเมินเขาไปก่อนจะหันไปมองยูเรียล
“ทำไมเธอถึงได้ตกหลุมรักคนๆนี้?”
“การจะตกหลุมรักใครต้องมีเหตุผลด้วยหรอ?”
นี่คือคำตอบของยูเรียล เธอได้ยิ้มออกมาอย่างงดงาม
“ฉันก็แค่ชอบเขามาก ชอบตอนที่เขาเล่นมุกกับฉันบนสวรรค์ ตอนที่เขารู้สึกเจ็บปวดจากอนาคตที่ได้เห็น ตอนที่เขาต้องถอนหายใจออกมาเพราะความขัดแย้งด้านความคิดของลูซิเอลกับมิคาเอล และในตอนที่เขาเฝ้าดูแลคนอื่นๆ…”
“อย่ามาชมกันต่อหน้าสิยูเรียล”
กาเบรียลรู้สึกเขินขึ้นมา แต่นี่ยิ่งทำให้รอยยิ้มยูเรียลกว้างยิ่งขึ้น
“ฉันได้พูดอยู่เสมอ ความรักไม่ใช่สิ่งที่น่าอายเลย มันคือพรที่ทรงคุณค่า เจิดจ้าและงดงาม ความรักได้เกิดขึ้นมาโดยที่ฉันไม่รู้เลยและเมื่อฉันรู้ตัว ฉันก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจความรักแล้ว แน่นอนว่าก็มีคนหลีกหนีไปจากอารมณ์นี้ได้ แต่ว่าฉันก็อยากที่จะรักเขาต่อไปและในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นความจริง”
“นับหมื่นๆปีน่ะหรอ?”
“ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวเลยที่ฉันจะหยุดรักเขา แต่ว่านะ… ใช่แล้ว ต่อให้ความรู้สึกฉันจะเปลื่ยนไป ฉันก็ไม่เสียใจไปกับช่วงเวลานั้นอยู่ดี การเฝ้ารอคอยเขาไม่เคยเลยที่ฉันจะไม่มีความสุข”
“…”
“ไม่ต้องกลัวมิสทิค”
ยูเรียลได้ยื่นมือออกมาลูบแก้มมิสทิคเพื่อหยอกเธอและในตอนนี้เธอก็มอบความมั่นใจมาให้
“ความรู้สึกของเธอมันไม่ใช่สิ่งที่ต้องซ่อนไว้ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องเผยมันออกมา อย่ากลัวเรื่องในอนาคตสิ อย่าเสียศรัทธาในตัวเองและยอมรับสิ่งที่เธอเป็น แค่นี้กพอแล้ว”
“ยอมรับในตัวเอง…”
มิสทิคได้หยักหน้าออกมาอย่างแข็งทื่อ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นใจกับการที่ยูเรียลใช้ชีวิตมาหลายต่อหลายปีมากกว่าเธอ แต่ว่าคำพูดของยูเรียลก็ได้กระแทกเข้าใจเธออย่างแท้จริง
“ขอบใจนะที่ช่วย ตอนนี้ฉันจะไปแล้ว โอ้ แล้วก็ยินดีด้วยนะที่ท้อง”
“ตอนนี้ฉันอยากจะมีลูกสาว แค่ลูกชายคนเดียวก็เกินพอแล้ว”
“ฉันอยากได้ลูกชายกาเบรียล ลูกชายที่ยอดเยี่ยมเหมือนคุณ”
“อ๊าา ฉันไม่ต้องการอิลฮานอีกคน!”
มิสทิคได้เดินออกไปที่สวนพร้อมคิดที่จะบอกถึงสิ่งที่กาเบรียลตะโกนออกมากับยูอิลฮาน เธอได้ดินไปอย่างสงบและจัดการความคิดของตัวเอง แต่แล้วก็มีใครบางคนอยู่ที่นี่ก่อนหน้าเธอ
“โอ้ มิสทิค”
“คังฮาจิน”
“นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่เราเจอกัน แต่ว่าเธอก็ยังดูประหม่าอยู่ดี”
คังฮาจินได้ยิ้มแห้งๆออกมา มิสทิคแค่ส่งเสียงหึออกมา
“นายไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลยจนจบ”
“ใช่แล้ว ฉันได้หาวิธีที่จะไปถึงสิ่งมีชีวิตชั้นสูงแล้ว แต่ว่าฉันไม่มีพรสวรรค์ใดๆในการทำแบบนั้น”
คังฮาจินได้สารภาพออกมาตรงๆ อย่างที่เขาได้พูดมา ชีวิตปัจจุบันในตอนนี้ของเขาไม่ได้มีอะไรต้องทำที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้เลย
เนื่องจากว่าเขาได้อยู่กับยูอิลฮานในตอนโลรวมเป็นหนึ่ง ทำให้เขาได้ใช้ความฉลาดสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมาในช่วงที่คนอื่นๆกำลังอยู่ในช่วงปรับตัวเข้ากับโลกใหม่นี้ เขาได้เริ่มธุรกิจรถไฟเพื่อเชื่อมต่อภูมิภาคทั้งหมดบนโลก
คำว่า ‘รถไฟ’ นี่จริงๆแล้วคือสิ่งที่ได้ยูอิลฮานสร้างให้มีความทนทานอย่างมากและไม่ได้รับผลใดๆจากสภาพแวดล้อม รถไฟนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้สามารถจะวิ่งไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้! ยูอิลฮานได้มีส่วนช่วยอย่างมากในธุรกิจครั้งนี้ทำให้ธุรกิจของคังฮาจินได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ทั้งปลอดภัยและรวดเร็ว รวมไปถึงยังมีคำอธิบายว่า ‘เกิดจากความร่วมมือกับพระเจ้า’ อีกด้วย! เพราะแบบนี้ทำให้เขาได้กลายมาเป็นหัวหน้าองค์กรขนาดใหญ่ที่แม้แต่พ่อของเขาคังชานยังไม่อาจจะเทียบได้
ยูอิลฮานก็เป็นผู้จัดการร่วมเช่นกัน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างเปิดเผย เพราะงั้นแล้วในทางปฏิบัติคังฮาจินคือหัวหน้า
“แม้ว่านี่จะไม่ได้อยู่ในความเห็นของเรา แต่ว่าชื่อเสียงนายก็เกือบจะเทียบได้กับนายท่านเลยนี่?”
“อีกไม่นานฉันก็จะแต่งงานแล้วเหมือนกัน พ่ออยากจะให้ฉันแต่งงานกับชาวเกาหลี แต่ว่ามันไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันต้องการเนี้ยสิ”
เรปิน่าโลกที่เจอกับมหาภัยพิบัติครั้งที่สามและเป็นหนึ่งในโลกที่ถูกดึงเขามาหลอมรวม คู่หมั้นของคังฮาจินก็คือลูกสาวของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเรปิน่า
“แน่นอนว่านี่คือการแต่งงานทางการเมือง นี่ต้องไม่ใช่แค่การแต่งงานธรรมดาๆเท่านั้นแน่”
“นาย… รักนายูนาไม่ใช่หรอ?”
“ใช่แล้ว”
คังฮาจินได้ยอมรับออกมา มิสทิคได้ถามขึ้น
“เจ็บใจไหม?”
“เจ็บสิ ยังไงก็ตามในตอนที่ฉันรู้ตัวมันก็สายเกินกว่าจะทำอะไรได้แล้ว เพราะแบบนั้นฉันถึงได้จัดการกับความรู้สึกตัวเองไงล่ะ นี่เป้นสิ่งที่บางคนก็ทำได้ง่ายๆในขณะที่บางคนก็ทำมันได้ยาก แต่โชคดีที่ดูเหมือนว่าฉันจะเคยทำมันมาเมื่อนานมาแล้ว”
จริงๆแล้วเขาก็ยังดูขมขื่นอยู่ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะปลอบเขาได้ เพราะงั้นเธอก็เลยอยู่เงียบๆ แต่ว่าคังฮาจินก็ได้พูดเรื่องราวของเขาต่อ
“ฉันคิดว่าฉันมีโอกาสที่ได้เธอมา ยังไงก็ตามฉันทำตัวเหลาะแหละและยิ่งยโส ในท้ายที่สุดก็ต้องเสียเธอไป ไม่สิมันไม่เกี่ยวกับเรื่องอะไรพวกนั้นเลย ฉันเป็นชายเพียงคนเดียวที่ใกล้ชิดกับยูนา แต่ว่านายูนาน่าจะคิดกับฉันในฐานะพี่ชายมาแต่แรกแล้ว”
“อืมม….”
หลังจากเธอได้แต่งงานกับยูอิลฮาน นายูนาก็ได้ยิ่งสวยกว่าเดิมอีก มันไม่ใช่เพราะรอยยิ้มที่ไม่เคยหายไปจากใบหน้าเธอทำนั้น แต่ว่าก็ยังเพราะเลียร่ากับนายูนากเป็นเทพธิดาที่มีอำนาจในด้านความรักกับความงานกันอยู่แล้ว ทำให้พวกเธอยิ่งงดงามมากยิ่งขึ้นตามช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปกับยูอิลฮาน
มิสทิคได้คิดว่าหากนายูนาได้รักกับคังฮาจินจะเป็นยังไง แต่แล้วทั้งหมดนั่นก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะนี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“มิสทิค”
“ว่าไง?”
“เมื่อไหร่ที่เธอคิดว่ามันถึงเวลาได้พุ่งชนเข้าไปเลยนะ การทำแบบนี้จะทำให้เธอไม่ต้องมาคิดย้อนเสียใจทีหลังแบบฉัน”
คังฮาจินได้พูดออกมา นี่คือคำพูดที่จริงใจจากเขา
“ก่อนที่มันจะสายเกินไป ไม่ว่าใครจะคิดอะไรยังไง เธอจะต้องมุ่งตรงไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริงของเธอและเธอจะได้รับคำตอบที่เหมาะสมกลับมาเอง ต่อให้ปลายทางจะเป็นความพ่ายแพ้แต่ในท้ายที่สุดมันก็จะดีขึ้นเอง”
มิสทิคได้ยอมรับคำแนะนำของเขา
“โอเค… แล้วก็นะนายูนาน่าจะไม่ได้ชอบนายแม้แต่นิดเลย! เพราะงั้นนายก็ไม่ต้องเสียใจนะ!”
“ฉันรู้แล้วน่ายัยโง่” ฉันก็แค่อยากจะโม้ซักหน่อยเท่านั้นเอง”
คังฮาจินได้ส่งเสียงหึขึ้นพร้อมหันหน้าไปทางอื่น มิสทิคที่ได้รับคำตอบมาแล้วได้วิ่งออกไปอย่างไม่ลังเล ที่ที่เธอมุ่งไปคือเมืองลอยฟ้าที่ในตอนนี้ไม่ลอยฟ้าแล้ว ที่ที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเด็กๆที่สูญเสียครอบครัวไป
“ตรงนั้น เร็วเข้า!”
“ครับอาจารย์ใหญ่”
โอโรจิได้เฝ้าคอยดูแลเด็กๆในที่แห่งนี้ เขารับหน้าที่ในการให้การศึกษาและฝึกฝนเด็กๆร่วมกันคนอื่นๆ และได้เริ่มถูกเด็กๆเรียกว่า ‘อาจารย์ใหญ่’
“โอโรจิ!”
“หืม?”
โอโรจิได้สังเกตเห็นมิสทิคและหันไปมองด้วยสีหน้ารำคาญ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของมิสทิคสีหน้าเขายิ่งดูรำคาญมากขึ้นกว่าเดิม
“โอโรจิ!!!!!”
มิสทิคได้โยนหมวกฟางของเธอออกไป การทำงานของโลกได้หยุดลงชั่วคราว แต่เธอก็เชื่อว่าในระหว่างนั้นยูอิลฮานจะจัดการแทนเธอเอง เธอได้ส่งพลังเวทย์ทั้งหมดไปที่ขาและทีบตัวออกไป
“ยัยบ้า เด็กๆทนคลื่นมานาไม่ไหว….!!!?”
จากนั้นเธอก็กระแทกโอโรจิจนล้มลงกับพื้นโดยไม่ยอมหยุดลงทำให้ปากของเธอกระแทกเข้ากับปากโอโรจิ นี่คือวิธีที่คาริน่าได้สอนเธอมา! เธอได้ดูดวิญญาณโอโรจิออกมาด้วยจูบที่รุนแดงไร้ซึ่งเทคนิคหรือเวลาให้หายใจ หลังจากการจูบที่ยาวนานผ่านไปแล้วเธอก็ตะโกนออกมา
“ฉันรักนาย!”
“นะ นี่ ยัยผู้หญิงบ้า จู่ๆนี่เธอมาพูดบ้า… อ๊ะ!?”
“กรี๊ดดด!”
“กำลังจูบกันล่ะ! อาจารย์ใหญ่กำลังถูกจูบ!”
ความวุ่นวายของเด็กๆได้เกิดขึ้นมา ไม่ใช่แค่เด็กที่กำลังฝึกเท่านั้น แต่กระทั่งเด็กที่อยู่ภายในบ้านก็ยังวิ่งออกมาดู โอโรจิได้พยายามที่จะหยุดเอาไว้แต่ว่ามิสทิคได้ใช้พลังเวทย์ของเธอจัดการเขาจนไม่อาจจะทำอะไรได้เลย
“มาแต่งงานกันเถอะ!”
“ทีล่ะขั้นตอนสิ! จะกระทันหันก็มีขีดจำกัด…!”
“มาแต่งงานกัน!”
“กรี๊ดดดดดดด!”
“เจ๋งจัง!”
โอโรจิได้พยายามใช้พลังเวทย์หลบหนีไปจากมิสทิค แต่มิสทิคก็ได้จับตามองเป้าหมายไว้แล้วและเธอจะไม่ยอมถอยง่ายๆอีกด้วย
“ห้ามหนีไปไหนนะ ตอบฉันมาเจ้างู”
“นี่เธอไปกินบ้าอะไรมา….”
เมื่อเห็นเธอมองเขาด้วยสีหน้าตั้งใจทำให้เขาต้องเกาหัวออกมา ถึงเขาจะรู้เรื่องนี้ก่อนอยู่แล้วก็ตามที แต่เธอคือคนที่ไม่อาจจะอ่านอารมณ์ออกได้เลย
“โอโรจิได้ไหม?”
“…ฟู่”
ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้เกลียดเธอ ความรักเป็นอารมณ์ที่แปลก บางทีต่อให้เป็นพระเจ้าก็อธิบายมันออกมาไม่ได้ ใช่แล้ว พระเจ้านั่นคือยูอลฮานนี่ โอโรจิได้จัดลำดับความคิดแล้วพูดออกมา
“ฉันไม่อยากแต่ง”
“อะไรนะ!?”
มิสทิคได้แสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมาราวกับเธอถูกทำลายล้างทั้งประเทศ โอโรจิได้พูดเสริมขึ้น
“ฉันยังไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่ารัก เพราะงั้น… ทำไมเราไม่เริ่มจากการเดทก่อนล่ะ”
“…เจ้าบ้า! บ้าที่สุด!”
มิสทิคได้สะอื้นออกมาและเข้าโจมตีโอโรจิอีกครั้งหนึ่ง โอโรจิที่แทบจะรับเธอไม่ไหวก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาจากรอบๆและถอนหายใจออกมา