แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1158 สงครามล่อเหยื่อด้วยเนื้อมนุษย์
สถานการณ์ตรงหน้าหยุดนิ่งชะงักไปชั่วขณะ…
หากเป็นอย่างนี้ต่อไปแล้วล่ะก็…
“เป้าหมายที่ฝ่ายตรงข้ามตั้งใจถ่วงเวลาก็จะสำเร็จ” นัยน์ตาของเฮยซือกลอกไปมาด้วยความร้อนใจ “ตะ…ต้องรีบหาตัวศัตรูให้เจอ!”
“แกซ่อนตัวอยู่ตรงไหนกันแน่!”
กึก…
อยู่ๆ เส้นไหมสีเงินหนึ่งเส้นก็สั่นสะเทือน
ดวงตาของเฮยซือเบิกโพลง รีบแหงนหน้ามองไปยังข้างบนทันที
“เขาอยู่บนนั้น!”
สวบ!
เส้นไหมสีเงินกลุ่มหนึ่งทะลวงออกจากเส้นผมของเฮยซือ พุ่งตรงไปยังฝ้าเพดานด้วยพลังรุนแรงถึงขีดสุด
“ใช่แล้ว ตรงนั้นล่ะ!”
ถึงแม้การสับมือจะไม่สามารถหยุดศัตรูได้ แต่เลือดสดสีแดงฉ่านที่ไหลออกมาก็ทำให้รู้ถึงตำแหน่งที่อยู่ของเขา
หยดเลือดที่ตกแหมะลงพื้นทำให้เกิดความสั่นไหวเล็กน้อย
ความเคลื่อนไหวที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้นี้ แน่นอนว่าไม่สามารถหลุดการตรวจจับของเส้นไหมสีเงินไปได้
“แม้ว่าเส้นไหมสีเงินจะจัดการกับจุดสำคัญของเขาได้อย่างแม่นยำไม่ได้ แต่ว่า…”
หลังจากที่เส้นไหมสีเงินปักลงฝ้าเพดาน เฮยซือไม่ได้รีบร้อนดึงเส้นไหมสีเงินพวกนั้นออกมา กลับร้องตะโกนอยู่ในความคิดแทน ‘ซือหราน! เร็วเข้า!’
“หา!”
อวี๋ซือหรานที่กำลังถอยหลังรีบเปลี่ยนเป็นกางแขนออกไปกดกำแพงข้างตัว
คล้อยหลังเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ผงปูนขาวกลุ่มใหญ่ก็ปลิวว่อนออกมา
อาศัยร่องรอยกรงเล็บที่ทิ้งไว้บนผนัง อวี๋ซือหรานหยุดแล้วแฉลบเปลี่ยนทิศทาง รีบพุ่งตัวไปทางเชิงกำแพงอย่างดุดันและรวดเร็ว
นี่เป็นทางผ่านที่เฮยซือเตรียมไว้ให้เธอ
พรึบ! พรึบ! พรึบ!
จู่ๆ เส้นไหมสีเงินก็ถูกดึงออก
สวบ!
อวี๋ซือหรานพุ่งพรวดขึ้นพร้อมกับสองมือที่ไขว้กันอยู่เหนือศีรษะ แล้วจึงหยุดลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา
ตูม…
เส้นไหมสีเงินกว่าร้อยเส้นบนพื้นสั่นสะเทือนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“ตกลงมาแล้ว”
เฮยซือมองพื้นที่ว่างเปล่าตรงนั้นพลางถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
เลือดสดหนึ่งหยดทำให้เธอระบุตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ ถ้าอย่างนั้นเลือดสดจำนวนมากที่พุ่งพรวดออกมา ก็ทำให้อวี๋ซือหรานกดล็อคร่างกายของอีกฝ่ายได้ทันที
เส้นไหมสีเงินนับไม่ถ้วนที่ทิ่มแทงร่างกาย ถ้าหากไม่ได้แทงโดนตำแหน่งสำคัญก็คงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
แต่การโจมตีของอวี๋ซือหรานกลับเป็นการฉีกอีกฝ่ายออก
ถ้าตอนนี้พวกเธอมองเห็นได้แล้วล่ะก็…ที่เกิดเหตุนี้คงจะสยดสยองน่าดู
แต่จะว่าไป…
“ฉันมีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจอยู่…หมอนี่ดูไม่เหมือนมนุษย์ แต่ถ้าเป็นซอมบี้ทำไมระบบการแข็งตัวของเลือดถึงแย่ขนาดนี้ล่ะ?” อวี๋ซือหรานถามขึ้นหลังจากที่มองไปที่พื้น
เฮยซือดึงเอาเส้นไหมสีเงินที่ปักอยู่บนพื้นออกมาทั้งหมด พวกมันจับกลุ่มกันแน่นและหดตัวลงหายไปในเส้นผมอย่างรวดเร็ว เธอเหยียดมือเล็กๆ ขึ้นตบเหนือศีรษะให้เส้นผมเข้ากันแหมะๆ ก่อนเอ่ยว่า “นี่เป็นสิ่งที่ฉันก็ยังหาคำตอบไม่ได้”
“พี่ฉีเหรอ? นี่จะเกี่ยวข้องกับพี่เขาหรือเปล่า?” อวี่ซือหรานถามด้วยความสงสัย
“ไม่ มันไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด…”
เฮยซือขมวดคิ้วมองไปที่ออฟฟิศเหล่านั้นพร้อมเอ่ย “ดูจากแผนการของอีกฝ่าย เขาคงเป็นศัตรูคนเดียวที่ถูกส่งมาให้ซุ่มโจมตีเรา แต่ตอนนี้ศัตรูตายไปแล้ว เป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนถูกส่งมาอีก ตอนแรกฉันคิดจะรีบออกไปจากที่นี่เพื่อไปช่วยสบทบหลิงม่อ แต่การต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ฉันเปลี่ยนใจ”
“เธอจะนั่งแอบลอบดูเสือกัดกันอย่างนั้นเหรอ?” เสียงอวี๋ซือหรานเปล่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น
“มองอะไรไม่เห็นสักอย่างจะลอบดูอะไรล่ะ?” เฮยซือตอบด้วยน้ำเสียงสุดจะทน “ฉันหมายความว่า ในเมื่อการกำจัดศัตรูไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าเราทำอะไรแบบไม่วางแผนก็เสี่ยงแต่จะมีอันตราย แบบนี้ไม่เพียงจะช่วยอะไรหลิงม่อไม่ได้ มิหนำซ้ำยังจะเพิ่มภาระให้เขาอีก อีกอย่าง…ใช่ว่าการไปรวมตัวเป็นทางเดียวที่ช่วยเขาได้ ที่เราต่อสู้กับศัตรูเมื่อครู่ก็เป็นหนึ่งในโอกาสสร้างความวุ่นวายให้ศัตรูสับสนเหมือนกัน ถือเป็นการช่วยเหลืออีกทางหนึ่งแล้วล่ะ”
“ฮู่ว์… ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี”
“ไม่ใช่เรื่องแปลก ดูจากรอยหยักในสมองเธอแล้วล่ะก็ การต่อสู้เมื่อครู่คงสุดความสามารถที่มีอยู่ของเธอแล้ว การสรุปให้ฟังหลังจบเรื่องไม่เหมาะกับเธอสักเท่าไหร่” เฮยซือเอ่ย
“นี่…แล้วมันใครกันที่ยึดสมองอีกซีกของฉันไปหน้าตาเฉยน่ะ…”
“ยังไงก็ตาม พวกเราใช้แผนนี้ต่อไปได้”
เฮยซือเอ่ยต่อว่า “ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเรามีแผนออกไปช่วยหลิงม่อ พวกเขาก็จะส่งคนมาขัดขวางเรา แล้วเราจะทำยังไงน่ะเหรอ? มาหนึ่งก็กำจัดหนึ่งไง! แบบนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภาระให้หลิงม่อ แถมยังเป็นการปกป้องมนุษย์พวกนี้ไปในตัวอีกด้วย”
“จะว่าไปก็ฟังดูมีเหตุผลดี” อวี๋ซือหรานพยักหน้าหงึกๆ เธอที่เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วเราจะทำยังไงดี? เธอพูดเองว่าอาจมีคนถูกส่งมาอีก ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเราจะหยุดเขายังไง? หากเรายังต่อสู้โดยที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบแบบนี้ต่อไป อีกไม่ช้าเราต้องตกอยู่ในวิกฤตแน่”
แม้ว่าชัยชนะของพวกเธอจะไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ระหว่างการปะทะกันพวกเธอก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างต่อเนื่อง
จุดนี้อวี๋ซือหรานที่รับผิดชอบการต่อสู้ระยะประชิดรู้ซึ้งดี แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงที่เปล่งออกมาของเธอก็ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวเจือปนอยู่เลยสักนิด
“หืม… ดูเหมือนว่าสมองซีกที่เหลือครึ่งหนึ่งยังไม่หดเหี่ยวเฉาตายนี่ ถึงจะเหลือครึ่งซีกแต่ก็ยังพัฒนาอยู่สินะ…” เฮยซือตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะ “แผนการสู้รบที่ดีที่สุดสำหรับเรา… แน่นอนว่าเราต้องเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน!”
“หา? จะทำแบบนั้นได้ยังไง?” อวี๋ซือหรานถามออกไปด้วยความงุนงง ในสถานการณ์ที่ศัตรูยังคงวางกับดักป้องกันแบบนี้ พวกเธอจะเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อนได้อย่างไร แค่ต้องป้องกันการซุ่มโจมตีของอีกฝ่ายก็เกินกำลังแล้ว…
ซอมบี้โลลิแม้จะไม่มีความเกรงกลัว แต่เธอก็มองเห็นข้อเสียเปรียบได้อย่างชัดเจน
“ใช่ ดูผิวเผินแล้วเราไร้ซึ่งหนทาง หลังการต่อสู้เมื่อครู่ก็คงทำให้ศัตรูคิดอย่างนี้ ดังนั้นยิ่งเป็นแบบนี้ อีกฝ่ายก็จะยิ่งใช้แผนการซุ่มโจมตี แต่การจะฆ่าเราไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าเป็นเธอ…เธอจะทำยังไงล่ะ?” เฮยซือถามกลับ
อวี๋ซือหรานโพล่งตอบโดยทันที “ทิ้งแผนการนั่งรอปลางับเหยื่อที่ชั้นสอง แล้วเปลี่ยนไปใช้แผนซุ่มโจมตีคนที่อยู่ชั้นหนึ่งแทน…” เธอที่เริ่มเข้าใจสถานการณ์รีบซักไซ้ต่อ “นี่…ยัยหมาน้อย เธอคงไม่ได้จะ…”
“ใช่แล้ว! แผนของฉันก็คือ…” เฮยซือพยักหน้าหงึกหงักด้วยความภาคภูมิใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังด้วยสีหน้าแววตาขุ่นเคือง “เรียกใครว่าหมาน้อยน่ะหา!”
“เธอไม่ใช่หมาเหรอ?” อวี๋ซือหรานถามอย่างไร้เดียงสา
เฮยซือเสียศูนย์ไปแวบหนึ่ง “นั่นมันก็…ชะ ใช่…”
“แล้วทำไมฉันถึงเรียกเธอว่าหมาน้อยไม่ได้ล่ะ?”
“เพราะไม่ชอบไง!”
“งั้นเอาแบบนี้…ยอมความคนละครึ่งทาง จะเรียกเธอว่าเจ้าโฮ่งโฮ่งแทนแล้วกันนะ” อวี๋ซือหรานพูดพลางพยักหน้าหงึกๆ
“อย่าพูดเองเออเองสิ! นึกไม่ถึงเลยนะ…ที่เธออุตส่าห์อดทนโดนรังแกข่มเหงมาตั้งนานก็เพราะจะมาเอาคืนตอนฉันไม่ทันตั้งตัวแบบนี้งั้นเหรอ…”
“ฮิๆ…กลัวหรือยังล่ะเจ้าโฮ่งโฮ่ง?”
“นะ นี่…ช่างเถอะ! มีเรื่องสำคัญกว่าให้ทำ” เฮยซือกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “แผนของฉันก็คือ…สงครามล่อเหยื่อด้วยเนื้อมนุษย์!”
……………………………………….