ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 182 ถงหลิงเป่าอวี้
“ถ้าไม่มีอะไรทำ และพอจะแยกได้ว่าอันไหนเป็นน้ำตาลหรือเกลือก็เข้ามาช่วยหน่อย!” หลินเสวียนหลานชะโงกหน้าโผล่มาจากในครัว พูดขึ้นด้วยหน้าตาไร้อารมณ์ “หรือจะไม่อยากจะช่วยก็ได้ แต่คืนนี้ก็ไม่ต้องกินที่นี่!”
“ผมช่วย!” สวี่อี้หรานได้ยินแบบนั้นแล้วก็รีบถอดเสื้อแจ็คเก็ตตัวนอกออกและพาดไว้ที่โซฟาพร้อมยิ้มทันที “ฝีมือผมก็ไม่เลวเลยนะ แต่แค่ไม่ได้โชว์ฝีมือมานานแล้ว”
“คุณแยกระหว่างน้ำตาลกับเกลือออกเหรอ?” จ่านมู่ฮวาไม่ลืมถามขึ้นอย่างเย้ยหยัน
“อย่างน้อยผมก็แยกระหว่างน้ำตาลกับสารหนูออกแล้วกัน!” สวี่อี้หรานพูดประโยคนี้จบก็รีบแล่นเข้าไปในห้องครัว
ซีเหมินจินเหลียนเริ่มเป็นกังวล มื้อเย็นนี้ยังจะกินได้ใช่ไหม? เขาคงไม่โรยสารหนูในกับข้าวใช่หรือเปล่า?
“จินเหลียน ตอนกลางคืนผมยังมีธุระ คงไม่ได้อยู่กินข้าวด้วยกันที่นี่ เดี๋ยวผมต้องไปติดต่อธุระก่อน เรื่องนี้ค่อนข้างด่วนน่ะ” จ่านมู่ฮวารีบลุกขึ้นยืน
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ข้อดีของจ่านมู่ฮวาก็คือ เขาไม่นำเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน แต่แยกกันออกได้อย่างชัดเจน แถมประสิทธิภาพในการทำงานของเขาก็สูงมาก ดังนั้นในทุกๆ เรื่อง เธอจึงยินดีที่จะร่วมมือกับคนอย่างเขา
เมื่อหันไปส่งจ่านมู่ฮวาเสร็จ ซีเหมินจินเหลียนก็ลงไปที่ห้องใต้ดินและกำชับจ่านป๋ายว่า “ถึงเวลากินข้าวแล้วค่อยเรียกฉันนะ”
จ่านป๋ายพยักหน้าตอบรับ ซีเหมินจินเหลียนเดินลงไปยังห้องใต้ดินและเปิดไฟครบทุกดวง ทำให้ห้องใต้ดินทั้งหมดพลันสว่างไสว เธอนั่งลงบนเก้าอี้และมองไปที่หยกหลากหลายชนิดที่วางกองกระจัดกระจายตามพื้น อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา การลงทุนถ่ายภาพยนตร์ครั้งนี้ ในเมื่อเป็นการโฆษณาวัฒนธรรมหยกของจีน อุปกรณ์ประกอบฉากในนั้นคงหนีไม่พ้นหยกชั้นดี
แน่นอนว่าตามปกติแล้ว อัญมณีที่ใช้ในการถ่ายภาพยนตร์ทั้งหมดส่วนมากจะเป็นของปลอม
ซีเหมินจินเหลียนก็เตรียมตัวไว้อย่างนั้น แม้ส่วนใหญ่จะใช้ของปลอมเลียนแบบ แต่เธอก็อยากให้มีหยกจริงๆ สักหนึ่งหรือสองชิ้น สายตาพลันเลื่อนตกไปที่หยกสีเลือดก้อนใหญ่ด้านบน หยกสีเลือดนี้เป็นหยกที่ได้มาหลังจากที่เธอรู้จักผู้อาวุโสหู ผู้อาวุโสใช้ธูปเทียนให้เธอกราบไหว้บูชาหิน ให้เรียกสิ่งต่างๆ เข้ามา
หยกสีแดงก้อนนี้เธอขบคิดมาตลอดว่าจะแกะสลักเป็นอะไรดี? ตัดเอามาทำเป็นเครื่องประดับมันก็ดูจะฟุ่มเฟือยไป
ตอนแรกเธอกับจ่านป๋ายเคยปรึกษากันว่าอาจจะทำเป็นฐานรองนั่งดอกบัว เพราะชิ้นใหญ่ขนาดนี้คนน่าจะนั่งได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่มีเวลาว่าง เธอก็เคยได้วาดภาพสเก็ตร่างคร่าวๆ ออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เหลือก็คืองานประณีตอย่างเช่นการแกะสลัก
หยิบชุดมีดแกะสลักหลากหลายขนาดมาวาง ซีเหมินจินเหลียนก็เริ่มตั้งใจแกะสลักฐานรองนั่งดอกบัวสีเลือดเป็นพิเศษ…ของแบบนี้ เกรงว่าแม้จะแกะสลักออกมา เธอคงไม่เอาไปขาย เก็บไว้เล่นเองนี่แหละ
หวังว่าจะรีบทำให้เสร็จในเร็วๆ นี้ นอกจากนั้นเธอยังอยากจะทำหยกก้อนใหญ่และแกะสลักออกมาเป็นเตาเผาฟ้าดิน ด้านบนแกะสลักเป็นเรื่องราวของหินปิดฟ้าของเทพธิดาหนี่วา[1]…
ในใจคิดแบบนั้น สายตาของซีเหมินจินเหลียนกวาดไปรอบทิศ และเริ่มค้นหาหยกที่เหมาะสม
น่าเสียดายหยกชั้นดีของเธอมีตั้งมาก หยกก้อนใหญ่ก็มีไม่น้อย แต่หินหยกที่สามารถแกะสลักออกมาเป็นเตาเผาฟ้าดินได้นั้นไม่มีสักก้อน
…ฉันคิดว่าฉันมีพร้อมแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะยังไม่พอ!
ซีเหมินจินเหลียนลอบถอนหายใจ หรือเธอจะใช้โอกาสที่ยังไม่ถ่ายภาพยนตร์ไปดูที่พม่าสักครั้ง? หยกสีเดียวธรรมดา แม้จะจัดอยู่ในมาตรฐานที่เธอต้องการ แต่เธอก็ยังไม่พอใจ ถ้าให้ดีที่สุดต้องเป็นสามสีสิ หรืออาจจะมากกว่านั้นถึงจะสามารถแกะสลักเป็นเตาเผาฟ้าดิน
เมื่อคิดได้อย่างนี้ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่เพียงแต่นิ่งงัน สิ่งที่เธอต้องการคงไม่มากเกินไปใช่ไหม? แต่ก่อนไม่มีความคิดนี้ก็ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้พอคิดถึงขึ้นมา เธอก็เก็บความคิดนี้ไว้ในใจไม่อยู่แล้ว หากใช้หยกสักสามสี่สีมาแกะสลักเป็นเตาเผาฟ้าดินคงไม่ห่างไกลจากในตำนานนัก
“จินเหลียน…จินเหลียนครับ…คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ” จ่านป๋ายนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าเธอและเขย่าไหล่ของเธอไปมา “สายตาของคุณเมื่อกี้ มันก็…แปลกมาก…”
“หา?” ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งได้สติกลับมา ก่อนที่เธอจะมองไปที่จ่านป๋าย “ทำไมเหรอ เมื่อกี้ฉันก็ดูแปลกไปเหรอ?”
“ผมเองก็บอกไม่ถูก แต่ดู…สว่างมาก!” จ่านป๋ายขมวดคิ้วพูด
เมื่อครู่ตอนที่เขาเข้ามาในห้องใต้ดินก็อยากจะถามเธอว่ามีอะไรให้เขาช่วยไหม แต่กลับเห็นว่าเธอกำลังมองหยกสีเลือดด้วยความเลื่อนลอย และในดวงตาของเธอก็สว่างใสราวกับดาวในคืนที่หนาวเย็น เขาก็ไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด ดวงตาของเธอเหมือนส่องแสงได้จริงๆ
“แสงไฟที่นี่ก็สว่างแบบนี้แหละ คุณเห็นเข้าเลยอาจจะคิดว่ามันสว่างก็เท่านั้น” ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งตั้งสติกลับมาได้และยิ้ม “นี่ก็เห็นแล้วใช่ไหมว่าดวงตาของฉันสวยมาก”
“ดวงตาของคุณก็สวยมาตั้งนานแล้วครับ” จ่านป๋ายพูด
“แล้วยังจะบอกว่าแปลกอีกเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตาใส่เขา ก่อนจะยืนขึ้นบนหยกสีเลือด พร้อมอ้าสองแขนออกกว้างพร้อมพูดว่า “ฉันจะไปพม่า!”
“คุณจะไปทำอะไรที่พม่าครับ?” จ่านป๋ายถามแปลกใจ “ระยะเวลาในงานประมูลหยกที่พม่ายังอีกตั้งนานนะ!”
“ไปซื้อหินหยก” ซีเหมินจินเหลียนพูด “คุณลองดูบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่สิ มีหินหยกที่สวยตั้งเท่าไหร่ แต่ฉันน่าสงสาร หินหยกที่เดิมพันกับอวิ๋นอวิ้นก้อนนั้นก็ชนะจากการนำของเธอมา ไหนจะตัดจนน่าสังเวช!”
“ชนะได้ก็ดีมากแล้ว! คุณลงมาเถอะ ระวังจะลื่นล้มนะ” จ่านป๋ายอ้าสองแขนสื่อให้ซีเหมินจินเหลียนลงมาจากหยกสีแดง
“ไม่เอา ฉันจะต้องไปหาเพิ่มว่ามีหินหยกขนาดใหญ่อีกไหม ถ้าดีต้องเป็นหยกฮกลกซิ่ว!” ซีเหมินจินเหลียนเดินรอบอยู่บนหยกสีแดงและพูด “ฉันอยากได้หินปิดฟ้า ฉันจะทำเตาเผาฟ้าดิน!”
“อะไรคือเตาเผาฟ้าดิน?” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว เธอไปเอาคำพูดแปลกประหลาดแบบนี้มาจากที่ไหนกัน?
“ก็คือเตาเผาที่เทพธิดาใช้ฝึกหินเพื่อปกปิดฟากฟ้าไง นั่นเรียกว่าเตาเผาฟ้าดิน!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ฉันอยากได้เตาเผาฟ้าดิน!”
“จินเหลียน อย่าล้อเล่นสิ ที่ไหนจะมีเตาเผาฟ้าดินกันครับ?” จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น เธอคิดออกมาได้อย่างไรกัน!
“เพราะว่าไม่มี ฉันก็เลยอยากจะทำขึ้นมาไง” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “คุณลองคิดดูนะ ทำเตาขนาดใหญ่ อืม…ใหญ่เท่านี้!” เธอพูดพลางใช้มือทำท่าประกอบ “ชนิดของหยกอย่างดีก็อยากให้เป็นเนื้อแก้ว แน่นอนต้องมีหลายสีด้วย หยกฮกลกซิ่วหรือฮกลกซิ่วสี่สี แน่นอนหากเป็นสีบริสุทธิ์ ให้ดีก็ต้องเป็นสีดำ…”
“มีหยกสีดำด้วยเหรอ?” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ
“มีสิ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “แต่แค่สีดำธรรมดา ชนิดและสีของมันไม่ค่อยดีมาก หากต้องการชนิดเนื้อน้ำแข็งหรือเนื้อแก้ว สีต้องเป็นสีดำที่บริสุทธิ์…ไม่พอสิ ฉันคิดว่าหยกฮกลกซิ่วดีกว่า อย่างดีต้องมีแหล่งกำเนิดแสงเย็น”
“คุณกำลังฝันหรืออย่างไรกันครับ” จ่านป๋ายพูดราวกับสาดน้ำเย็นให้เธอตื่น “หยกแบบหยกประกายดาวนั่น ไม่ใช่อยากจะเจอก็จะได้เจอง่ายๆ นะ มีก้อนหนึ่งในชีวิตนี้ก็ถือว่าเป็นวาสนาจากฟากฟ้าที่มอบให้แล้ว คุณยังอยากจะทำเตาเผาฟ้าดินอีกเหรอ?”
“ฉันก็แค่อยากจะลองทำดู” ซีเหมินจินเหลียนยู่ปาก “คุณไม่ให้ฉันฝันกลางวันหน่อยเลยเหรอ?”
“โอเคๆๆ คุณพูดถูก ไม่ว่าอย่างไรคุณก็สามารถเปลี่ยนหินให้เป็นทองได้!” จ่านป๋ายฝืนยิ้ม แม้จะเป็นความฝัน อย่างน้อยก็ให้เข้าใกล้ความจริงหน่อยเถอะ ทำเตาเผาฟ้าดินเนี่ยนะ เธอคิดได้อย่างไรกัน นี่เธอจะทำอะไรกันแน่? ทำตามเทพธิดาเล่นหินปิดฟ้าเหรอ?
“ถึงจะไม่มีแหล่งกำเนิดแสงเย็น แต่มีเกร็ดทองก็ดีเหมือนกัน!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ “ยังไงแบบนั้นก็สวยกว่า จริงไหม!”
“อืม!” จ่านป๋ายผงกศีรษะ คิดถึงเธอพรรณาเรื่องลักษณะของเตาเผาฟ้าดินแล้ว เขาก็พยักหน้าพูด “ความจริง หากมีเกร็ดสีทองเสริมด้วยกันคงจะสวยมาก แต่หยกขนาดใหญ่แบบนั้น หายากอยู่แล้ว แถมยังอยากได้หยกมหัศจรรย์อีก?”
“รอให้ฉันทำดอกบัวหยกสีเลือดเสร็จแล้ว พวกเราก็ไปพม่ากัน ไปหาให้ดีๆ หน่อย!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ “แม้จะหาหยกแบบนั้นไม่เจอ แต่หากได้ซื้อหินหยกกลับมาสักหน่อยก็ดีแล้วเพราะยังไงบริษัทก็ยังต้องการ หินหยกจะมีน้อยลงไม่ได้! หากภาพยนตร์ของพวกเราออกโรง บวกกับที่คุณสมิธท่านนั้นเปิดงานเดิมพันหินที่อเมริกาพอดี ธุรกิจหินหยกทางพม่าคงได้พากันเพิ่มราคาแน่! หากไม่ใช้โอกาสนี้ซื้อสักหน่อย ฉันคงต้องรู้สึกแย่กับตัวเองแล้ว”
“ที่คุณพูดถูกมาก!” จ่านป๋ายพยักหน้า “ใช้โอกาสนี้ไปซื้อหินหยก มันเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่อย่างนั้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า หินหยกคงพากันขึ้นราคาเป็นเท่าตัว ถึงเวลานั้นหากจะซื้อหินคงไม่คุ้มค่า”
“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนกระโดดลงมาจากหยกสีแดง มองจ่านป๋ายที่กำลังเป็นกังวล นี่เธอใส่รองเท้าส้นสูงอยู่นะ
แน่นอนว่าบนโลกใบนี้คงมีแค่เธอคนเดียวที่สวมใส่รองเท้าส้นสูงเหยียบหยกสีเลือดชั้นดีชนิดแก้วโดยไม่สนใจว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร คนทั่วไปหากมีหยกสีเลือดชนิดเก่าแก่ก้อนเล็กคงเก็บไว้ในตู้เซฟข้างในเพื่อเป็นมรดกตกทอด
จ่านป๋ายเอื้อมมือไปประคองเธอและขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “คุณใส่รองเท้าส้นสูงอยู่นะ ระวังหน่อยสิครับ!”
“ไม่เป็นไร แค่ความสูงเท่านี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก!” ซีเหมินจินเหลียนกระโดดโลดเต้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน “คุณไปตั้งหลายวัน ฉันก็แกะสลักอะไรบางอย่างให้คุณ!”
“อะไรเหรอ” จ่านป๋ายถามอย่างแปลกใจ
“คุณหลับตาก่อนสิ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างมีลับลมคมใน
“อืม!” จ่านป๋ายปิดตาอย่างเชื่อฟัง
ซีเหมินจินเหลียนวุ่นวายอยู่ตรงลิ้นชักโต๊ะทำงานสักพัก หยิบพู่ห้อยหยกสามสีกระจ่างใสใส่เข้าไปในมือเขา “ลืมตาดูสิ!”
“ครับ?” จ่านป๋ายลืมตาดูพู่ห้อยหยกในมือ หยกฮกลกซิ่วสามสี ดูเงียบสงบ แต่ข้างบนมีแกะสลักอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขาไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี
“ห้ามสูญหาย ห้ามหลงลืม ปลอดภัยชั่วนิรันดร!” จ่านป๋ายอ่านประโยคนั้น เหมือนว่าจะคุ้นหูอยู่บ้าง เหมือนจะเคยได้ยินมาจากที่ไหน เมื่อพลิกกลับมาดูอีกด้านก็มีแกะสลักคำสี่คำไว้ว่าถงหลิงเป่าอวี้!
ในที่สุดเขาก็เข้าใจความเป็นมาของประโยคนั้นแล้ว
“ผมไม่ใช่ผู้อาวุโสเจี่ยคนรักหยกนั่นสักหน่อย” จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น ในใจคิดถึงประโยคของซีเหมินจินเหลียนคำนั้น สัมผัสที่ไร รู้สึกว่าอ่อนโยนเหมือนหยก
ในใจคิดเหลวไหลไปไกล เธอเก็บเขาเอาไว้เพราะอะไร เพราะว่าสัมผัสเขาแล้ว…อ่อนโยนเหมือนหยกหรือ?
[1] เจ้าแม่หนี่วา เป็นเทพธิดาตามความเชื่อของชาวจีน เชื่อกันว่าเป็นเทพธิดาที่ให้กำเนิดมนุษย์โลก