ความลับแห่งจินเหลียน - ตอนที่ 47 งานเลี้ยงรุ่น (2)
เซียวเหอมีความรู้สึกอึดอัดใจ เหมือนจะไม่เคยได้ยินว่าเพื่อนคนนั้นจะร่ำรวยขนาดนี้นี่นา? ถึงจะมีเงินซื้อเครื่องประดับพวกนั้น แต่ก็น่าจะเก็บไว้ในตู้เซฟที่บ้านเป็นทรัพย์สมบัติไว้สิ ไม่ใช่มาสวมใส่ประดับไว้บนตัวอย่างนี้
เขาสังเกตรูปลักษณ์ภายนอกของซีเหมินจินเหลียนอย่างละเอียด เหมือนว่าจะเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่ว่าคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเธอชื่ออะไร
“เธอ?” เซียวเหอทักทายไปอย่างสงสัย
“อ๊ะ?” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นมา เห็นใบหน้าที่ค่อนข้างจะคุ้นเคย แน่นอนว่าเธอไม่รู้จักกับเซียวเหอ เลยถามไปอย่างสงสัยว่า “มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันขอนั่งด้วยได้ไหม” เซียวเหอมองเป็นนัยน์ไปที่โซฟาข้างๆ ของเธอแล้วถามขึ้น
“อ่อ?” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าลง ก่อนจะขยับที่นั่งรักษาระยะห่างเอาไว้ “ตามสบายเลย”
เซียวเหอกล่าวขอบคุณแล้วก็นั่งลงถามเธอ “เธอ…เหมือนฉันรู้สึกว่าเธอหน้าคุ้นๆ แต่ก็คิดไม่ออกสักที”
“ฉันชื่อซีเหมินจินเหลียน อยู่ภาคภาษาจีน!” ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ของเขาก็ไม่รู้ว่าเขามีเรื่องอะไร เช่นนั้นจึงถามไปว่า “ฉันก็ไม่รู้จักชื่อของนายเหมือนกัน”
“ฉันชื่อเซียวเหอ” เซียวเหอรู้สึกแปลกใจ เขาไม่รู้จักซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลกอะไร แต่เธอกลับไม่รู้จักเขาอย่างนั้นเหรอ? ย้อนไปตอนสมัยเรียน เขาก็เรียกได้ว่าเป็นคนดังของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ เป็นทั้งประธานนักเรียน โค้ชทีมบาสของโรงเรียน อีกทั้งทักษะการเล่นบาสที่โดดเด่น รวมกับความหล่อเหลาที่เปล่งประกายในตัว ทำให้มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาจีบเขา
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินชื่อก็รู้สึกว่าคุ้นหูอยู่บ้าง เมื่อคิดทบทวนดีๆ แล้วจึงคิดได้ว่าเขาเคยเป็นประธานนักเรียน เธอรู้จักชื่อนี้เพราะว่าเพื่อนร่วมหอของเธอเคยตามจีบเขามากว่าสองปีเต็ม เพียงแต่ว่าเขารูปหล่อเลยแค่มองเธอผ่านสายตาแวบเดียวเท่านั้น ทำให้เพื่อนผู้หญิงคนนั้นเสียใจร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด จนถึงตอนเรียนจบก็ยังคงลืมเซียวเหอชื่อนี้ไม่ได้ กลายเป็นเรื่อเล่าของหอเธอไป
“นี่เป็นนามบัตรของฉัน” เซียวเหอหยิบนามบัตรแล้วส่งไปให้
ซีเหมินจินเหลียนยังรู้สึกงงๆ แต่ก็รับมาแล้วมองไปที่นามบัตร ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการขาย บริษัทเสียงเฟิงจิวเวลรี่ ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าบริษัทเสียงเฟิงจิวเวอรี่นี้ เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้ มีประวัติยาวนานมาหลายร้อยปีแล้ว หยกสีแดงทองของเธอก็มาจากประธานสวี่จากบริษัทเซียงเฟิงเป็นคนทำให้รูปร่างกลายเป็นเครื่องประดับได้
ฝ่ายการขายเหรอ? คิดแล้วเขาคงจะต้องมีลูกค้าอยู่ในมือไม่น้อยเลย? ซีเหมินจินเหลียนคิดถึงเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ซีเหมิน ตอนนี้เธอทำงานอยู่ที่ไหนเหรอ” เซียวเหอถามอย่างสงสัย
“คือ…” ซีเหมินจินเหลียนไม่พูดอะไร เมื่อสักครู่เธอคิดอยากจะหามุมเงียบๆ นั่งคนเดียว คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะถามคำถามนี้ขึ้นมา
นอกจากนี้เธอยังไม่ได้ซื้อหุ้นจากบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ อยากจะถามอย่างขุดลึกก็ไม่กล้า เอาเถอะ อย่างไรก็รับนามบัตรไว้ก่อน อนาคตอาจจะต้องได้ใช้
เห็นซีเหมินจินเหลียนเงียบไม่พูดจา เซียวเหอจึงได้แต่ส่งยิ้มไป เป็นฝ่ายการขายเขาค่อนข้างจะมีความใส่ใจในลูกค้า ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่อยากพูด เขาก็ไม่ได้ถามซอกแซกต่อ เลยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ซีเหมินจินเหลียน ถ้าเธอสนใจที่จะซื้อเครื่องประดับก็มาหาฉันได้นะ ฉันให้ราคาที่ถูกกว่าในตลาดเลย”
“จริงเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนปรับสีหน้า แล้วถามว่า “รายได้ของนายคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดการขายเครื่องประดับหรอกนะ”
เซียวเหอได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ อย่าพูดถึงฝ่ายการขายเลย ไม่ว่าจะธุรกิจสายไหน เงินเดือนย่อมขึ้นกับผลงานที่ทำออกมาไม่ใช่เหรอ
“เพชรหนึ่งกระรัต ราคาประมาณเท่าไหร่เหรอ” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็ถามขึ้นมา เธอมีหยกมากมายแต่ไม่เคยมีเครื่องประดับจำพวกเพชร ครั้งที่แล้วที่ในกระทู้หยก เธอก็เห็นแหวนเพชรวงหนึ่งสวยมาก ในใจได้แต่อิจฉา
เซียวเหอมองไปที่กำไลของเธอแล้วพูดขึ้นว่า “เพชรก็ต้องดูจากน้ำและสี ไหนจะแหล่งกำเนิด การตัดการเจียระไนต่างๆ…”
ซีเหมินจินเหลียนคิดไปคิดมา เธอชอบสีแดงเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนที่เคยดูหนัง ภายในมีเพชรสีเลือดสดที่สะดุดตาเธอเลยถามไปว่า “มีเพชรสีเลือดไหม?”
เซียวเหอตกตะลึงอยู่บ้าง เมื่อเธอเริ่มพูดออกมาก็อยากได้ของที่อยู่ในตำนานเลย? ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงจะดูถูกเหยียดหยามไปแล้ว ถ้าพูดแค่สองประโยคสั้นๆ ยังพอรับได้ แต่ถ้าฟาดมายาวแล้วคงจะด่าไปสักประโยค แต่นี้เขาไม่กล้าที่จะหุนหันพลันแล่น
สายตาของเขาตกไปอยู่บนเครื่องประดับที่ราคาประเมินไม่ได้บนเรือนร่างของซีเหมินจินเหลียน เขาก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขารู้ว่าเธอคงจะมีกำลังซื้อ คนที่สวมใส่หยกที่มีมูลค่าหลักร้อยล้าน แถมยังต้องการเพชรสีเลือดยังพอเข้าใจได้ คนที่เห็นโลกมาเยอะสายตาย่อมที่จะรู้ลึกเป็นธรรมดา…
เมื่อย้อนคิดกลับไปตอนที่เขาเข้ามาทำงานฝ่ายขายที่บริษัทเซียงเฟิงจิวเวอรี่ครั้งแรก เพื่องานเขาเลยต้องศึกษาเรื่องเครื่องประดับหยกอย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งที่เขาพบเจอย่อมมีขอบเขตที่จำกัด เขาเป็นแค่ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายตำแหน่งเล็กๆ ปกติเคยเห็นแต่หยกระดับกลางก็ถือว่าพึงพอใจแล้ว หยกชั้นดีแน่นอนไม่ได้วางไว้ในตู้กระจกเพื่อจัดโชว์ นอกเสียจากมีงานนิทรรศการเครื่องประดับอัญมณีครั้งใหญ่ที่บริษัทเครื่องประดับอัญมณีหลากหลายแห่งจะนำสินค้าหยกชั้นดีที่เก็บสะสมกันมาเปิดเผย แต่ของแบบนี้โดยปกติไม่ได้มีไว้เพื่อขาย หรือจะพูดก็คือไม่มีช่องทางที่จะมีไว้ในครอบครอง ไม่มีทางที่จะซื้อได้
“มีหรือเปล่า?” ซีเหมินจินเหลียนยังคงค้างคาใจ จึงถามไปอีกครั้ง “หรือไม่ก็สีแดงกุหลาบก็ได้ ฉันเคยเห็นแหวนเพชรสีแดงกุหลาบ รู้สึกว่าสวยมากเหมือนกัน…” เสียดายที่นั่นเป็นของหมั้นในอนาคตของหลินเซียนเอ๋อร์ ของสะสมของบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ หลินเสวียนหลานก็เคยให้เธอดูมาแล้ว
แน่นอนสำหรับของหมั้นประจำตระกูล ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ได้โง่เง่าที่จะถามราคาไปโต้งๆ
“เพชรแบบนี้ต้องสั่งทำน่ะ” เซียวเหอส่ายหัวแล้วพูด “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันจะลองถามให้นะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว ถ้าหากเธอต้องการให้บริษัทอัญมณีเซียงเฟิงเป็นคนออกแบบให้ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกหาผู้ช่วยฝ่ายขายอย่างเขา สู้ไปหาประธานสวี่โดยตรงง่ายยิ่งกว่า
“เซียวเหอ…” ในขณะที่เซียวเหอกำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้นนั้น ก็มีผู้หญิงหน้าตาดี หุ่นเพรียวคนหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดที่นำแฟชั่น สวมใส่รองเท้าส้นสูงเดินส่ายเอวไปมาเข้ามาหาเขา
“หลิงหลิง” เซียวเหอลุกยืนขึ้น “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เธอสวยขึ้นกว่าเดิมอีกนะเนี่ย!”
สายตาของซีเหมินจินเหลียนมองไปที่เรือนร่างของเธอ ถ้าเธอจำไม่ผิด เธอน่าจะชื่อว่าหลิงซูฟาง ตอนนั้นเป็นดาวคณะภาควิชาการเงินและการธนาคาร สวยจริงอย่างที่คนพูดไว้ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ตอนนี้เป็นผู้หญิงสวยดึงดูดคนไปแล้ว หลังจากที่เรียนจบกันไปก็ได้สลัดความสวยหวานกลายเป็นหญิงมั่น แถมยังมีเสน่ห์ที่น่าค้นหา
ซีเหมินจินเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของจ่านป๋ายตอนที่ส่งดอกกุหลาบให้เธอ สีน้ำเงินเย้ายวน ไม่ผิดจริงๆ กระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนปลิวปราย เผยให้เห็นความงามของเรือนร่าง
“ผู้หญิงคนนี้คือ?” สายตาของหลิงซูฟางมองไปที่กระโปรงผ้าไหมปักของเธอ ในใจได้แค่สงสัย กระโปรงจากซิ่วฟางราคาไม่ใช่แพงหู่ฉี่หรอกเหรอ กระโปรงยาวๆ ตัวหนึ่งราคาต่ำสุดก็หลักหมื่นแล้ว
จากงานปักมาถึงงานผ้า เธอเคยเห็นมาก่อน น่าจะเป็นสินค้ามาจากซิ่วฟาง ไม่ใช่สั่งทำจากข้างนอกแน่
“ฉันชื่อซีเหมินจินเหลียน ภาคภาษาจีน สวัสดี!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้ายิ้มให้เธอ นี่ก็ถือเป็นการทักทายใช่ไหมนะ
หลิงซูฟางตอบกลับเธอด้วยรอยยิ้มดึงดูดใจ “สวัสดีซีเหมิน ชื่อของเธอดูมีเอกลักษณ์ดีนะ!”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างเก้อเขิน ไม่รู้ทำไมตอนนั้นคุณยายถึงต้องตั้งขื่อที่ทำให้คนรู้สึกถึงชีวิตความยากลำบากด้วย แซ่ซีเหมินไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่ชื่อ ‘จินเหลียน’ นี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี
“หลิงหลิง นี่ ขอกอดหน่อยสิ นับวันเธอยิ่งสวยนะเนี่ย!” ข้างๆ นั้นมีผู้หญิงรูปร่างอ้วนท้วมคนหนึ่งทักทายเธอ รอยยิ้มที่สดใสนี้ ซีเหมินจินเหลียนเหมือนจะจำได้ว่าเขาคือเป่าเอ๋อร์ แต่แซ่อะไรนั้นคิดยังไงก็คิดไม่ออก
เป่าเอ๋อร์ก็ไม่ได้เรียกว่าอ้วนขนาดนั้น เพียงแต่มองแล้วมีชั้นไขมันน้อยๆ เนื้อเยอะหน่อย เมื่อเห็นแล้วอดไม่ได้ที่อยากจะเดินเข้าไปบีบเล่น นิสัยสดใสร่าเริง ซีเหมินจินเหลียนจำได้ว่าเธอก็เรียนคณะภาษาจีนเหมือนกัน
“ซีเหมินจินเหลียนเหรอ?” สายตาของเป่าเอ๋อร์มองมาที่ซีเหมินจินเหลียน พร้อมกระแอมชมว่า “เป็นอย่างที่บอกไว้ว่าผู้หญิงมักเปลี่ยนไปตลอดจริงๆ เธอก็สวยขึ้นนะเนี่ย สวยกว่าหลิงหลิงอีกก็ว่าได้!” เมื่อเป็นเพื่อนร่วมคณะเดียวกัน เป่าเอ๋อร์จึงจำเธอได้ในแวบแรก
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นได้แต่ยิ้ม “เป่าเอ๋อร์อย่าพูดจาไร้สาระเลย หลิงหลิงเป็นผู้หญิงที่ใครทุกคนก็ยอมรับว่าสวยกันทั้งนั้น ฉันจะเทียบได้ยังไงกัน”
“จินเหลียน” หลิงหลิงยืนมือมาแตะบ่าของเธอ “เป่าเอ๋อร์พูดไม่ผิดหรอก ฉันพูดตามตรงนะ สมัยเรียนเมื่อก่อนเธอก็แต่งตัวเฉิ่มเกินไป เลยทำให้ปกปิดความสวยในตัวเธอ คนเราย่ะไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ถ้าตอนเรียนเธอแต่งตัวได้ทันสมัยแบบนี้ ดาวคณะภาษาจีนคงไม่ตกไปอยู่ที่คนอื่นหรอก ว่าไหมเป่าเอ๋อร์?”
“ใช่ๆๆ ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าจินเหลียนจะสวยขนาดนี้ เธอซ่อนรูปนะเนี่ย” เป่าเอ๋อร์พูดเสริมทัพขึ้นมา พลางเบ้ปากมองตัวเอง “ไม่เหมือนกับฉัน ทั้งอ้วนทั้งเตี้ย ใส่เสื้อผ้าอะไรก็ไม่สวย”
ซีเหมินจินเหลียนพูด “เป่าเอ๋อร์เธอก็น่ารักนะ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”
เป่าเอ๋อร์ยิ้ม “เธออย่าปลอบให้ฉันดีใจเลย ฉันเหรอจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นยังไง”
เมื่อผู้หญิงอยู่ด้วยกัน หัวข้อสนทนาก็มักจะพูดถึงความสวยความงาม เรื่องไดเอท เสื้อผ้า เครื่องประดับและผู้ชาย…
เมื่อสามคนสนทนาอยู่ด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นเพื่อนเก่ากันทำให้วงสนทนาคึกครื้นขึ้นมา ลืมเซียวเหอที่ถูกทอดทิ้งไว้อีกด้าน หลิงซูฟางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาถามขึ้นว่า “เป่าเอ๋อร์เหมือนมีคนบอกฉันว่าเธอจะแต่งงานแล้วเหรอ แล้วทำไมวันนี้ไม่พาผู้ชายคนนั้นมาให้พวกเรารู้จักล่ะ”
“เขายุ่งมากน่ะ วันนี้ก็ต้องทำโอทีต่อ” เป่าเอ๋อร์เบ้ปากอีกรอบพลางส่ายหัว “จะมีเวลาว่างมากับฉันที่ไหนกัน จริงสิ หลิงหลิง เธอมีแฟนแล้วหรือยัง”
หลิงซูฟางได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าถอนหายใจ แฟนหรือ? คนที่ชอบเธอเธอกลับไม่ชอบเขา ส่วนคนที่เธอชอบเขา เขากลับไม่ชอบเธอ เมื่ออายุมาถึงขั้นหนึ่งแล้ว การเลือกแฟนก็ไม่ใช่เหมือนการเล่นเกมให้จบง่ายๆ ไปด่านหนึ่ง ต้องคิดทบทวนพิจารณาหลากหลายด้าน ไหนจะรูปร่างหน้าตาเอย บุคลิกเอย เธอต้องเลือกให้ดี
แต่ว่าเมื่อเธอมีสเป็คสูงในการเลือกแฟน คนอื่นก็ย่อมมีสเป็คสูงในการเลือกเธอเช่นกัน สองสามปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้มีแฟนเลยด้วยซ้ำ
“แล้วจินเหลียนล่ะ มีแฟนแล้วหรือยัง” หลิงซูฟางถามต่อ
“ไม่มีหรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ฉันเลิกกับแฟนเก่าไปได้หลายเดือนแล้วล่ะ ตอนนี้โสดน่ะ”