รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 163 ไม่ยอมซื้อ
หลินหว่านพูดไปน้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาโดยไม่รู้ตัว
เซียวจิ่งสือเห็นแล้วปวดใจมาก เข้าไปเช็ดน้ำตาให้หลินหว่านอย่างเบามือ เขากอดเธอไว้ปลอบว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ หว่านๆ อย่าร้องไห้ไปเลย เราไม่พูดเรื่องพ่อแม่ของคุณกันดีไหม”
หลินหว่านซบกับไหล่ของเซียวจิ่งสือ สะอื้นพลางพูดว่า “ขอโทษนะ…”
“ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้พ่อแม่ของคุณไม่อยู่กับคุณ คุณก็ยังมีผมไม่ใช่เหรอ ผมจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไปเลย”
“ขอบคุณนะ” หลินหว่านได้ฟังก็สะเทือนใจมาก แต่พรุ่งนี้เธอจะต้องไปจากที่นี่แล้ว ไม่อาจอยู่ข้างกายเซียวจิ่งสือตลอดเวลาได้อีก
“เซียวจิ่งสือ…”
“หืม? ทำไมเหรอ” เซียวจิ่งสือได้ยินเสียงหลินหว่านเรียกชื่อเขาด้วยเสียงเศร้า เขาคลายมือจากหลินหว่าน มองดูเธออย่างไม่เข้าใจ
“เราไปทานข้าวกันเถอะค่ะ วันนี้ฉันอยากจะทำกับข้าวให้คุณทานสักมื้อ”
ในเมื่อกำลังจะไปจากเซียวจิ่งสือแล้ว หลินหว่านตัดสินใจว่าจะตามใจตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
“ได้เลยครับ” พอรับฟังความต้องการของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือก็ไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านเอกสารอะไรอีก เขาจูงมือเธอออกจากห้องทำงานไปอย่างดีใจ “ขอบคุณนะ หว่านหว่าน เราไปกันเถอะ”
เซียวจิ่งสือขับรถพาหลินหว่านมาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง พวกเขามาที่แผนกขายผักด้วยกัน จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันอย่างชื่นมื่นพลางเลือกซื้ออาหารไปมากมาย จากนั้นกลับมาที่บ้านของเซียวจิ่งสือด้วยกัน
หลินหว่านสวมผ้ากันเปื้อน สาละวนอยู่ในห้องครัว ส่วนเซียวจิ่งสือก็คอยเป็นลูกมืออยู่ด้านข้าง ตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะมองเห็นชีวิตคู่ของเขากับหลินหว่านเมื่ออยู่ด้วยกันในอนาคต
หลังจากยุ่งวุ่นวายพักหนึ่ง อาหารเย็นแสนอร่อยและดูเลิศหรูอลังการก็ทยอยถูกนำขึ้นโต๊ะอาหาร เซียวจิ่งสือมองดูอาหารค่ำฝีมือหลินหว่านแล้วรู้สึกมีความสุขที่สุด เพื่อเป็นการเพิ่มบรรยากาศ หลินหว่านให้เซียวจิ่งสือหยิบไวน์แดงขวดหนึ่งออกมา
อาหารเย็นบรรยากาศรื่นรมย์สุดๆ หลินหว่านดื่มไปค่อนข้างมากโดยไม่รู้ตัว เธอหมุนแก้วไวน์ไปมา แล้วหัวข้อสนทนาก็ย้อนกลับมาที่เรื่องของพ่อแม่เธออีกครั้ง “เซียวจิ่งสือคะ คุณรู้ไหม พ่อแม่ของฉันล้วนแต่เป็นคนดีมากเลยนะ พวกท่านต้องไม่ใช่คนประเภทที่ยอมทำร้ายคนอื่นเพื่อผลประโยชน์เด็ดขาด…”
“ผมรู้…” เซียวจิ่งสือพอฟังว่าหลินหว่านพูดถึงพ่อแม่ของเธออีก ก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เขาตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะให้ผู้ช่วยไปสืบดูว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่
“เซียวจิ่งสือ คุณเชื่อฉันไหมคะ เชื่อในตัวพ่อแม่ของฉันไหมคะ”
“ผมเชื่อสิ ทำไมผมจะไม่เชื่อคุณล่ะ” เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่เมาจนเลอะเลือน เธอพูดมาคำหนึ่ง เขาก็รับคำหนึ่ง เขาไม่เคยสงสัยคำพูดของหลินหว่านอย่าว่าแต่เป็นเรื่องพ่อแม่ของเธอเลย
เพียงแต่เขากลับรู้สึกว่าหลินหว่านเหมือนมีความในใจอะไรสักอย่าง ตอนนี้เขามองเธอไม่ออกเอาซะเลย
หลินหว่านดื่มไวน์แดงในแก้วที่เหลือรวดเดียวจนหมด ชั่วครู่หนึ่ง เธอเอ่ยปากอีกว่า “แต่คราวที่แล้ว อันโฮ่วสยงกลับใช้เรื่องของพ่อแม่ฉันมาข่มขู่ฉัน ให้ฉันขอให้คุณอย่าซื้อเทียนซิงกรุ๊ป…”
เซียวจิ่งสือฟังแล้วไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ระหว่างการซื้อเทียนซิงกรุ๊ปกับหลินหว่าน เขาไม่รู้ว่าจะเลือกฝ่ายไหนจริงๆ
การซื้อเทียนซิงกรุ๊ปเป็นคำสั่งของพ่อเขา ตอนแรกเขาก็ทำตามอย่างกระตือรือร้น เพราะการล้มบ้านตระกูลอันได้ก็เท่ากับหลินหว่านได้แก้แค้น เขายังเข้าใจว่าหลินหว่านจะดีใจเสียอีก
แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว หลินหว่านดูเหมือนจะไม่รู้สึกดีใจเพราะเรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้น เขายังจะเดินหน้าซื้อเทียนซิงกรุ๊ปต่อไปอีกไหม
หลินหว่านมองดูเซียวจิ่งสือ เขาขมวดคิ้ว เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลินหว่านมองไล่ไปตามคิ้วคางทั่วใบหน้าของเขาอย่างละเอียด จากนั้นพูดงึมงำด้วยอาการมึนเมาว่า “เซียวจิ่งสือ ลาก่อนนะ รักษาตัวดีๆ ล่ะ”
เซียวจิ่งสือกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับการซื้อเทียนซิงกรุ๊ป จึงไม่ทันได้สนใจ และแน่นอนว่าไม่ทันได้ฟังคำพูดนี้ของหลินหว่าน
หลังอาหารค่ำ เซียวจิ่งสือส่งหลินหว่านกลับบ้าน พอเห็นหลินหว่านกลับเข้าบ้านแล้ว เซียวจิ่งสือก็ขับรถกลับบ้านตัวเองด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
เขาครุ่นคิดตลอดเวลา ระหว่างการซื้อเทียนซิงกรุ๊ปกับหลินหว่านเขาควรจะเลือกอย่างไหนกันแน่?
แต่เขาคิดตลอดคืนก็ยังนึกหาวิธีการที่ดีพร้อมทั้งสองฝ่ายไม่ได้
รุ่งเช้า เซียวจิ่งสือมาถึงบริษัท พลิกดูเอกสารที่เมื่อวานอ่านค้างไว้ต่อจนจบ ตอนนั้นเอง ผู้ช่วยก็มาที่ห้องทำงานเขา รายงานว่า “ท่านประธานเซียวครับ การประชุมเพื่อเร่งดำเนินการซื้อเทียนซิงกรุ๊ปกำลังจะเริ่มแล้วครับ”
เซียวจิ่งสือฟังแล้วนิ่งงันไปชั่วครู่ จากนั้น เหมือนกับเขาจะตัดสินใจได้ในที่สุด เขาพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ยกเลิกการประชุม ต่อไปหยุดเรื่องการซื้อกิจการเทียนซิงกรุ๊ปทั้งหมด”
ความคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน แต่เขายังไม่อาจตัดสินใจได้ แต่ตอนนี้ เขาตัดสินใจแล้ว เพื่อหลินหว่าน ต้องหยุดการซื้อกิจการเทียนซิงกรุ๊ป
ผู้ช่วยตกใจมาก การซื้อกิจการเทียนซิงกรุ๊ปเป็นแผนการดำเนินงานที่สำคัญที่สุดของบริษัทในระยะนี้ การดำเนินงานก็ราบรื่นดีมาก ทำไมจู่ๆ ประธานเซียวจึงสั่งหยุดกะทันหันนะ
แม้ว่าผู้ช่วยจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความอะไร การเชื่อฟังเป็นคุณสมบัติที่ลูกน้องพึงมี ในเมื่อประธานเซียวสั่งมาแบบนี้แล้ว ภารกิจของเขาก็คือถ่ายทอดคำสั่งของประธานเซียวให้กับทุกคนทราบ
“ได้ครับ ท่านประธานเซียว” ผู้ช่วยรับคำอย่างนอบน้อม ขณะกำลังจะออกจากห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ ก็ถูกเขาเรียกตัวเอาไว้
“ส่งคนไปสืบเรื่องของพ่อแม่หลินหว่าน ต้องสืบให้ได้เรื่องว่าในตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรกันแน่” เรื่องนี้เขารู้สึกสงสัยตั้งแต่เมื่อวานที่หลินหว่านพูดเรื่องพ่อแม่เธอกับเขา เขาอยากจะรู้ว่าทำไมเมื่อวานหลินหว่านจึงพูดถึงพ่อแม่ของเธอไม่หยุด และอยากจะรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นด้วย
ผู้ช่วยจากไปพร้อมกับคำสั่งของเขา เซียวจิ่งสือพลิกดูเอกสารในมือที่เมื่อวานอ่านไม่จบ เป็นเรื่องการซื้อกิจการเทียนซิงกรุ๊ป เขากระแทกปิดอย่างแรง ไม่อยากจะดูอีก ตอนนั้นเอง เขาได้ยินเสียงเรียกจากมือถือ จึงหยิบขึ้นมาดู พ่อเขาโทรหานั่นเอง
พ่อเขาโทรมาหาเขาในเวลานี้ทำไมกันนะ เซียวจิ่งสือรับสาย เสียงพ่อของเขาดังผ่านโทรศัพท์มา “จิ่งสือ เรื่องซื้อกิจการเทียนซิงกรุ๊ปดำเนินการไปถึงไหนแล้ว”
เป็นดังคาด เพราะเรื่องของเทียนซิงกรุ๊ป เซียวจิ่งสือฟังแล้วเอนร่างพิงกับพนักเก้าอี้ พูดกับพ่อเขาเสียงเย็นว่า “พ่อครับ ผมตัดสินใจ หยุดการซื้อกิจการเทียนซิงกรุ๊ปไปแล้ว”
“แกพูดอะไรนะ” เซียวเฉียงถามอย่างเหลือเชื่อ
เซียวจิ่งสือพูดย้ำไปอีกครั้ง เซียวเฉียงตวาดอย่างโมโหว่า “ฉันไม่อนุญาตให้แกหยุดการซื้อกิจการเทียน
ซิงกรุ๊ป! ตอนนี้เป็นเวลาที่กิจการภายในของพวกเขาอ่อนแอที่สุด แกต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ซื้อกิจการมาด้วยเวลาอันสั้นที่สุด ไม่อย่างนั้น ถ้าพลาดโอกาสนี้ก็เท่ากับรอให้บ้านตระกูลอันฟื้นตัวอีกครั้ง คราวหน้าจะไม่มีโอกาสดีแบบนี้อีก!”
พ่อของเขาพูดได้ถูกต้องมาก นาทีนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะซื้อกิจการของเทียนซิงกรุ๊ป แม้ว่าตระกูลอันจะยืนหยัดรับการโจมตีจากบ้านตระกูลเซียวไปรอบหนึ่ง แต่บริษัทเสียหายอย่างหนัก ย่อมจะรับการโจมตีระลอกสองจากบ้านตระกูลเซียวไม่ได้แน่ ตอนนี้ถ้าจะซื้อกิจการของเทียนซิงกรุ๊ป เขามีความมั่นใจถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
แต่ว่า เขาต้องซื้อกิจการของเทียนซิงกรุ๊ปงั้นเหรอ
เซียวจิ่งสือกำมือถือแน่น พูดกับพ่อของเขาว่า “พ่อครับ พ่อไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ผมตัดสินใจไปแล้ว”
พูดจบ เขาก็วางสายไปอย่างเฉยชา