รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 265 ทะเลาะ
เสี่ยวเสี่ยวไม่ใช่ของเซียวจิ่งสือ เธอเป็นของผม เสี่ยวเสี่ยวเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น
ฮั่วเทียนอวี่กัดฟัน ข่มความโกรธเอาไว้ พูดด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “หว่านเอ๋อร์สนิทกับผมจริง พวกเราทานข้าวด้วยกัน คุยกันบ่อยๆ จะว่าไปแล้ว ตอนแรกพวกเรายังอยู่ด้วยกันเลย แต่ตอนหลัง…”
ฮั่วเทียนอวี่หรุบตาลงต่ำ ท่าทางเจ็บปวด ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ปล่อยช่องว่างเอาไว้ให้คนอื่นได้จินตนาการ ผู้คนรอบข้างสบตากัน เขานี่มันยอมได้ทุกอย่างเพราะรัก เฮ้อ ไม่รู้หลินหว่านคิดยังไงถึงได้ยอมทิ้งฮั่วเทียนอวี่
แต่มาคิดๆ ดูฮั่วเทียนอวี่แม้จะดีแต่เซียวจิ่งสือก็เป็นถึงประธานบริษัท หน้าตาหล่อเหลา เป็นคนหนุ่มที่ร่ำรวย หลินหว่านเลือกเซียวจิ่งสือก็ไม่แปลก
“เทียนอวี่ อย่าคิดเรื่องพวกนี้แล้ว หลายวันมานี้เรื่องที่คุณถามฉัน คุณทำความเข้าใจกับรู้วิธีจัดการแล้วหรือยัง จะให้ฉันสอนคุณอีกรอบไหม” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มกลอกตาแล้วเข้ามาพูด
“ใช่ๆ ใช่แล้ว เทียนอวี่ฉันซื้อของกินมาใหม่ คุณจะลองชิมดูหน่อยไหม”
เพื่อนร่วมงานรอบข้างพากันพูดขึ้น คิดจะปลอบใจเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของพวกเขา
“ขอบใจนะ” ฮั่วเทียนอวี่ยิ้มพลางตอบรับคำพูดของพวกเขา
เรื่องนี้ผ่านไปไม่นาน ก็เล่าลือกันไปทั่วบริษัทว่าหลินหว่านทิ้งฮั่วเทียนอวี่ไปหาเซียวจิ่งสือ ทุกคนต่างก็พากันซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์กันว่าสมัยนี้คนอ่อนโยนมีความสามารถเทียบไม่ได้กับคนมีเงิน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะนึกดูถูกหลินหว่านอยู่บ้างที่เธอเหยียบเรือสองแคม
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลุดปาก เสียงเล่าลือขยายวงกว้างออกไป ต่อมาถึงกับมีนักข่าวหลายคนได้ยินเข้า รู้สึกว่าน่าจะเป็นที่สนใจ จึงสัมภาษณ์คนจำนวนหนึ่ง เติมไข่ใส่สีแล้วเร่งเขียนเป็นข่าวออกมา เพียงไม่นานข่าวที่หลินหว่านเหยียบเรือสองแคมก็แพร่กระจายออกไป
กว่าเซียวจิ่งสือจะรู้เรื่องข่าวนี้ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว
เขาให้ผู้ช่วยไปซื้อนิตยสารมาหลายเล่มด้วยสีหน้าไม่ดีนัก แล้วนั่งรออยู่ในห้องทำงานอย่างสงบ
พอผู้ช่วยมาถึง ผลักประตูเปิด เห็นสีหน้าของเซียวจิ่งสือ ก็แอบคิดว่าคราวนี้คุณหลินคงตกที่นั่งลำบาก ทางหนึ่งก็พูดว่า “ท่านประธานครับ นิตยสารซื้อมาแล้ว”
“วางไว้แล้วออกไปเถอะ” เซียวจิ่งสือพูดแล้วกวาดตามองผู้ช่วยแวบหนึ่ง
ผู้ช่วยพอวางหนังสือนิตยสารลงก็รีบเผ่นออกไปจากสถานที่ความกดอากาศต่ำนี้โดยเร็ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เซียวจิ่งสือได้สติกลับคืนมา เขาเดินมาที่หน้าโต๊ะ หยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านช้าๆ ยิ่งอ่านสีหน้าเขาก็ยิ่งคล้ำเครียดลงไปทุกที พออ่านจบเขาก็เหวี่ยงหนังสือลงบนโต๊ะ นึกถึงหลินหว่านที่หลายวันมานี้ทำตัวห่างเหินจากเขา ก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่นิตยสารพูดนั้นถูกต้อง เขาอ่านนิตยสารอีกหลายเล่ม โกรธจนทำอะไรไม่ถูก
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ เซียวจิ่งสือถึงกับคิดว่าหรือว่าหลินหว่านรักฮั่วเทียนอวี่เข้าแล้ว? ตอนนี้แค่ฝืนใจอยู่กับเขาเท่านั้น
เฮอะ กล้าสวมเขาให้คนอย่างเซียวจิ่งสือ หลินหว่านนับเป็นคนแรกเลยทีเดียว
เซียวจิ่งสือหยิบนิตยสารขึ้นมา เดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่เรียกคนขับรถ เขาไปที่โรงรถหารถมาคันหนึ่ง คิดจะขับไปหาหลินหว่านเพื่อคุยกับเธอด้วยตัวเอง
เขาก็อยากดูว่าเธอจะอธิบายยังไง
เซียวจิ่งสือขับรถซิ่งมาตลอดทาง ไม่นานก็ถึงบ้านหลินหว่าน พอเข้าไป เขาเห็นหลินหว่าน ยิ้มแข็งทื่อออกมา พูดว่า “หลายวันนี้มีความสุขดีไหม?”
“คุณเป็นอะไรไปคะ?” หลินหว่านเห็นสีหน้าเซียวจิ่งสือไม่ค่อยดีนัก แล้วยังถามคำถามประหลาดแบบนี้อีก จึงย้อนถามอย่างสงสัย
“ผมเป็นอะไรไป? งั้นคุณบอกสิว่าคุณเป็นอะไรไป คุณดูเองเถอะ” เซียวจิ่งสือขี้เกียจจะพูดมาก โยนนิตยสารลงบนโต๊ะ หลินหว่านเห็นท่าทางเซียวจิ่งสือพลุ่งพล่านดาลเดือดมาก็รู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง พอเธอได้อ่านเรื่องของตัวเองในนิตยสารแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องไปมายังไง และแน่ใจได้เลยว่าเขาคงโกรธเพราะข่าวลือพวกนี้ซะแปดในสิบส่วน แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เลิกคิ้วพลิกอ่านเรื่องของเธอตามเลขหน้าที่ระบุไว้ เธอก็แปลกใจอยู่ว่าสื่อพวกนี้พูดถึงเธอว่าอย่างไรบ้าง
เซียวจิ่งสือก็มองดูหลินหว่านเงียบๆ ยืนพิงผนัง รอให้หลินหว่านอ่านจบ
“พวกเขาพูดมั่วน่ะ ชิ คุณเชื่อจริงๆ หรือคะ?” หลินหว่านอ่านนิตยสารเล่มนี้จบ ก็รู้แล้วว่านิตยสารเล่มอื่นๆ จะเขียนว่าอย่างไร เธอก็ไม่มีอารมณ์จะอ่านต่อไปแล้ว มองเซียวจิ่งสือแล้วพูดอย่างไม่สนใจ
“พูดมั่วเหรอ?” เซียวจิ่งสือพอฟังคำนี้ของหลินหว่าน ข่มเพลิงโทสะไว้ไม่อยู่ ก้าวพรวดๆ เข้ามาเห็นหลินหว่านมีท่าทีไม่ใส่ใจก็คว้าแขนหลินหว่านเอาไว้ ไม่สนว่าเธอจะดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ดึงเธอเข้ามาหา พูดว่า “นิตยสารตั้งหลายเล่มพูดแบบนี้กันทั้งนั้น ตอนนี้มีคนรู้เรื่องตั้งมากมาย พวกเขาพากันหัวเราะเยาะว่าผมถูกสวมเขา”
“ปล่อยนะ” หลินหว่านพยายามดิ้นให้หลุด เซียวจิ่งสือไม่อยากทำร้ายเธอ จึงคลายมือออก แขนหลินหว่านตำแหน่งที่ถูกเซียวจิ่งสือคว้าไว้แดงช้ำเป็นแถบ รอยนิ้วมือปรากฏบนผิวสีขาวอย่างถนัดชัดตา หลินหว่านนวดแขนไปพลาง ก้มหน้าลงพูดเสียงเรียบว่า “พวกนิตยสารนั่นเขาเขียนตามลมกัน เรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังเขียนซะตื่นตาอลังการออกมาได้ เรื่องนี้คุณไม่รู้หรือไงกันคะ? แค่พวกนั่งเทียนเขียนออกมา คุณก็เชื่องั้นเหรอ?”
“แต่หลังจากคุณกลับมา ก็เย็นชากับผมจริงๆ ตอนนี้ผมสับสนมึนงงไปหมด หลินหว่าน ผมไม่รู้ว่าช่วงที่คุณกับฮั่วเทียนอวี่อยู่ด้วยกันนั้น ได้คิดถึงผมหรือเปล่า คุณกับเขาเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ผมไม่รู้เลยสักนิด บางทีผมยังคิดว่าคุณจะชอบเขาเข้าจริงๆ หรือเปล่า? คุณเข้าใจผมไหม?” เซียวจิ่งสือหลับตาลง ถามอย่างเหนื่อยล้า
“ฉันชอบหรือไม่ชอบเขา คุณดูไม่ออกหรือคะ?” หลินหว่านรู้สึกน้อยใจสุดๆ เซียวจิ่งสือในตอนนี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี คิดมากแล้วยังดื้อดึงดันแบบกู่ไม่กลับอีก พอเห็นท่าทางเซียวจิ่งสือตั้งท่าอาละวาด หลินหว่านย้อนถามกลับว่า “คุณบอกว่าคุณพลาดช่วงเวลานั้นของฉัน คุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แล้วฉันล่ะ? ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณงั้นสิ? ฉันยังไม่ได้พูดอะไรคุณเลย ในเมื่อคุณถามฉันแบบนี้ งั้นฉันก็ต้องถามคุณบ้าง คุณบอกมาซิ ระหว่างที่ฉันสูญเสียความทรงจำ คุณได้ทำอะไรเกินเลยไปกับตัวปลอมของฉันหรือเปล่า? คุณกล้ายืนยันไหมคะ”
“ผมไม่ใช่คุณนี่ ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นอยู่แล้ว” เซียวจิ่งสือเบิกตากว้าง สองแขนกอดอก พูดกับหลินหว่านด้วยรอยยิ้มเย็น
“เหอะ คุณบอกว่าไม่มีก็ไม่มีรึ?” หลินหว่านถากถางกลับ คำพูดของเซียวจิ่งสือไปสะกิดบาดแผลของเธอเข้า หลินหว่านมองเซียวจิ่งสือแล้วพูดว่า “คุณพิสูจน์ได้ไหม?”
“อ้อ คุณเป็นถึงท่านประธานใหญ่เซียว พวกนักข่าว พนักงานพวกนั้น จะพูดอะไรได้ พูดอะไรไม่ได้ ก็ต้องเชื่อฟังคุณอยู่แล้วนี่”
“คุณ…” เซียวจิ่งสือพูดไม่ออก
“พูดไม่ออกใช่ไหมเล่า คำตอบของฉัน ก็เหมือนกับคุณนั่นล่ะ” หลินหว่านตอบ เห็นว่าเซียวจิ่งสือยังคิดจะดึงดันอาละวาดต่ออีก หลินหว่านหยิบกระเป๋าถือ พูดกับเซียวจิ่งสือว่า “ฉันว่าตอนนี้พวกเราไม่ควรจะคุยกันต่อแล้ว สงบสติอารมณ์สักหน่อยเถอะ ฉันไปก่อนล่ะ”
พูดพลาง หลินหว่านลุกขึ้นจะออกไป เซียวจิ่งสือเข้ามาคว้าเธอไว้ พูดยั่วโมโหว่า “โมโหแล้วรึไง? คิดจะไปหาฮั่วเทียนอวี่ละสิ?”
“คุณอย่าเกินไปนักนะ” หลินหว่านถลึงตาใส่เซียวจิ่งสือ พูดจบก็ผลักเซียวจิ่งสือออก หันกายจากไป
ทิ้งให้เซียวจิ่งสืออยู่ที่เดิมเพียงลำพัง มองตามทิศทางที่หลินหว่านจากไปด้วยสีหน้าไม่ดีนัก