ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 222-3 เจ้าเป็นใคร?
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกสิ่งก็สงบราบรื่น ช่วงแรกเมิ่งเชี่ยนโยวยังคอยเตรียมพร้อมรับมือทุกเมื่อ ทว่าเรื่องที่คาดการณ์ไว้กลับไม่เกิดขึ้นเลย เวลาผ่านไปนานเข้า คิดว่าตัวเองคงคิดมากเกินไป จึงยอมวางใจลง
ไม่นานผลผลิตในแปลงดินก็สุกงอม เมิ่งเอ้ออิ๋นพาคนทั้งครอบครัวเข้ามาภายใต้สายตาอิจฉาของคนทั้งหมู่บ้าน ใช้เวลาเพียงสองวันก็เก็บเกี่ยวทั้งหมดกลับบ้าน แล้วใช้เวลาอีกหนึ่งวันทำการหว่านไถอีกครั้ง
ช่วงเวลาปลูกมันฝรั่งฤดูกาลที่สองก็มาถึงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการทุกคนให้ปลูกมันฝรั่งให้เต็มที่ดินทั้งหนึ่งร้อยกว่าหมู่ ครั้งนี้ต้องการคนมาก จึงให้เมิ่งต้าจินไปรับสมัครคนจำนวนมากจากหมู่บ้านใกล้เคียงทั้งสองหมู่บ้านเข้ามา ผู้ใหญ่บ้านทั้งสองต่างดีอกดีใจ เลือกเฟ้นแต่คนเอาการเอางานของหมู่บ้าน ใช้เวลาไม่กี่วัน ก็ปลูกมันฝรั่งทั้งหมดเสร็จ
มันฝรั่งของเถ้าแก่หวังเปิดตลาดได้ดี ทุกสองสามวันจะส่งรถม้าจำนวนหนึ่งเข้ามารับมันฝรั่งจำนวนมาก มันฝรั่งในโรงงานเพียงมองด้วยสายตาลดน้อยลงไปมาก
การค้ากระเป๋านักเรียนของเถ้าแก่จางก็ไปได้สวย ต้องการสินค้าไม่ขาด กลุ่มหญิงสาวในโรงงานกระเป๋านักเรียนทำไม่ทัน เมิ่งชื่อจึงหาผู้หญิงที่มีฝีมือเย็บปักดีมาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง หญิงสาวสิบกว่าคนต่างไม่มีเวลาพูดคุยหยอกเย้า ล้วนก้มหน้าก้มตาเย็บกระเป๋านักเรียนในมือตัวเองอย่างขะมักเขม้น
จูหลานก็ให้คนส่งจดหมายถึงเมิ่งเชี่ยนโยวหนึ่งฉบับ บอกว่าเรื่องงานแต่งงานกับจางลี่ถูกกำหนดแล้ว คงเพราะทั้งสองคนได้คบหากัน เข้าใจกันและกันมากขึ้น เนื้อความในจดหมายของจูหลานล้วนเต็มไปด้วยความชื่นบาน
การค้ามันฝรั่งแผ่นทอดยิ่งไม่ต้องพูดถึง โรงงานต้องรับสมัครหญิงสาวเพิ่มอีกสิบกว่าชีวิตก็น่าจะรู้แล้ว
ทุกวันที่เมิ่งอี้เซวียนเลิกเรียนกลับมา ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
เมิ่งชื่อเห็นแล้วก็ให้ปวดใจ กลับไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงคอยผลัดเปลี่ยนทำอาหารหลากหลายให้เขากินทุกวัน
การเรียนของซุนเหลียงไฉก็เข้ารูปเข้ารอยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่คอยตรวจสอบเขาทุกคืนอีก
วันเวลาผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่ก็เต็มตื้น ใบหน้าของคนทั้งครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นมีแต่รอยยิ้มเบิกบานทุกวัน ชาวบ้านยิ่งทวีความอิจฉา ทุกวันจะต้องไปเดินวนหน้าประตูโรงงานหลายรอบ ดูว่ายังต้องการรับสมัครคนหรือไม่ ตัวเองจะได้เข้าไปสมัครเป็นคนแรก
ทั้งหมู่บ้านมีเพียงสองครอบครัวที่ไม่ได้ทำเช่นนี้ หนึ่งคือครอบครัวหนิวโกวจื่อ ถือดีว่าในมือตัวเองมีเงินที่ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด ให้ดูถูกดูแคลนกับการรับสมัครงานของสกุลเมิ่ง
อีกครอบครัวคือบ้านหลิวกุ้ย นับแต่ที่หลิวกุ้ยร้องเท็จเมิ่งต้าจินไม่สำเร็จ กลับถูกผู้ว่าการตำบลโบยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด คนทั้งครอบครัวต่างก็อยู่อย่างสงบ ไม่กล้าแผลงฤทธิ์เดชอะไรอีก หลิวต้าเป่าออกไปทำงานรับจ้างในตำบลลำพัง สะใภ้หลิวต้าเป่าคอยเลี้ยงลูกสองคนอยู่ที่บ้าน สะใภ้หลิวกุ้ยก็ไม่เหลือความหยิ่งผยองโอหังนั้นแล้ว นอกจากไปทำงานที่แปลงดิน ก็แทบจะไม่ออกไปไหน หดหัวอยู่แต่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยม แม้แต่เด็กน้อยทั้งสองคนก็ไม่ออกมาเล่น
ช่วงแรกชาวบ้านยังวิพากษ์อยู่บ้าง ภายหลังเวลาผ่านไปนานเข้า หมดความน่าสนใจ หากไม่เพราะมีวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีรถม้าที่หรูหรากว่ารถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแล่นมาจอดเทียบหน้าประตูบ้านนาง ชาวบ้านคงลืมพวกเขาไปแล้ว
ในวันนี้ ทำการหว่านไถเสร็จแล้ว ชาวบ้านที่ว่างงานต่างออกมาตากแดดข้างนอกตามปกติ รถม้าหรูหราโอ่อ่าคนหนึ่งแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน สองฝั่งของรถม้ายังมีสาวใช้และบ่าวรับใช้อีกจำนวนหนึ่งติดตามมาด้วย
ชาวบ้านไม่เคยเห็นรถม้าหรูหราสวยงามและขบวนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ต่างถลึงตาโต จับจ้องตาเป็นมัน ต่างแอบคาดเดาในใจ รถม้าคันนี้จะต้องไปที่บ้านเมิ่งเอ้ออิ๋น
ไม่คิดว่าหลังจากรถม้าแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่แม้แต่จะสอบถาม พอถึงทางแยก ก็เลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง
ชาวบ้านต่างประหลาดใจ ลุกขึ้นตามหลังไป ดูว่าจะไปบ้านใครกันแน่
ชาวบ้านต่างคาดไม่ถึงว่า รถม้าจะมาจอดหน้าประตูบ้านหลิวกุ้ย
รถม้าจอดสนิท สาวใช้คนหนึ่งเดินขึ้นหน้า พูดอย่างอ่อนน้อม “คุณหนู ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงนุ่มละมุนหวานหนึ่งลอยดังออกมาจากในรถม้า “เจ้าไปเคาะประตูก่อน บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าข้ากลับมาแล้ว ด้านนอกแดดแรงเกินไป จะทำให้ผิวข้าคล้ำดำได้ รอให้พวกเขาออกมาแล้ว เจ้าค่อยมาประคองข้าลงรถม้า”
สาวใช้รับคำ ก้าวเท้าถี่ไปหน้าบ้านหลิวกุ้ย ใช้มือเคาะประตูเบาๆ
หลังจากที่หลิวกุ้ยไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนมาบ้านตัวเองอีก ได้ยินเสียงเคาะประตู สะใภ้หลิวกุ้ยที่ซักเสื้อผ้าอยู่ในลานบ้านตกตะลึงเล็กน้อย นึกว่าหลิวต้าเป่าไปก่อเรื่องในตำบล มีคนตามมาหาเรื่องถึงบ้านอีก ใช้น้ำเสียงสั่นผวาและเกรี้ยวกราดถามกลับ “ใครกัน?”
สาวใช้ที่เคาะประตูตอบอย่างอ่อนน้อม “ฮูหยิน คุณหนูของพวกเรากลับมาแล้ว เชิญท่านเปิดประตูด้วยเจ้าค่ะ”
สะใภ้หลิวกุ้ยพูดโดยไม่ต้องคิด “คุณหนูของพวกเจ้ากลับมาเกี่ยวอะไรกับบ้านข้า เจ้าเคาะประตูผิดแล้ว”
สาวใช้มองดู พูดด้วยความแคลงใจ “คุณหนูหลิวชุ่ยของพวกเราบอกว่าที่นี่คือบ้านของนาง จะผิดได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เสื้อผ้าในมือสะใภ้หลิวกุ้ยร่วงใส่ถังซัก นางผงาดลุกขึ้นมา ถามอย่างไม่เชื่อ “คุณหนูของพวกเจ้าเป็นใคร?”
สาวใช้ตอบเสียงละมุน “ก็คือคุณหนูหลิวชุ่ยเจ้าค่ะ”
สะใภ้หลิวกุ้ยดีใจจนลืมตัว ด้านหนึ่งตะโกนบอกคนในบ้าน “พ่อเอ๊ย ชุ่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว” ด้านหนึ่งสาวเท้าวิ่งไปหน้าประตู เปิดประตูใหญ่ออกเร็วรี่ ร้องถามเสียงหลง “ชุ่ยเอ๋อร์อยู่ที่ไหน รีบมาให้แม่ดูหน้าหน่อยเถิด”
สาวใช้หน้าประตูทำความเคารพนาง พูดว่า “ท่านก็คือฮูหยินกระมั้ง คุณหนูของพวกเรายังอยู่บนรถ ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปประคองนางมาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ปัดโธ่ เป็นชุ่ยเอ๋อร์ของข้ากลับมาแล้วจริงๆ รีบลงมา มาให้แม่ดูให้เต็มตาหน่อย” สะใภ้หลิวกุ้ยวิ่งไปข้างรถม้าอย่างอดใจรอต่อไปไม่ไหว เปิดม่านบังรถออก ตอนที่เห็นว่าด้านในเป็นหลิวชุ่ยจริงๆ ก็พูดด้วยอารามดีใจระคนตกใจ
หลิวชุ่ยขมวดคิ้วมุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็น และไม่ได้เรียกมารดา ใช้น้ำเสียงเจือความเคืองขุ่นร้องพูด “ชิวจวี๋”
สาวใช้ที่เคาะประตูเมื่อครู่เดินเข้ามา ปัดมือที่เลิกม่านรถของสะใภ้หลิวกุ้ยออกอย่างแผ่วเบา พูดว่า “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยิน ม่านรถของคุณหนูพวกเราทำมาจากผ้าไหมชั้นดี มือท่านหยาบกร้าน จะทำไหมบนเนื้อผ้าหลุดขาดได้”
สะใภ้หลิวกุ้ยตะลึงค้าง ยืนอึ้งข้างรถม้า มองหลิวชุ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ
สาวใช้เดินขึ้นหน้า เบียดนางออกอย่างไม่ให้รู้สึกตัว ยื่นมือออกไป ประคองหลิวชุ่ยลงจากรถม้าอย่างนอบน้อม
รอบรถม้าล้อมรอบไปด้วยชาวบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุก เห็นหลิวชุ่ยใส่เครื่องประดับทองบริสุทธิ์ สวมชุดผ้าไหมแพรพรรณออกมาจากรถม้า ต่างส่งเสียงร้องอุทาน
หลิวชุ่ยเห็นสะใภ้หลิวกุ้ยยังคงสวมเสื้อผ้ามอซอ นัยน์ตาสะท้อนแววดูแคลน ทว่าเพื่อหน้าตา จึงแสร้งบีบน้ำตาหลายหยด พูดด้วยน้ำเสียงละมุนหวาน “ท่านแม่ ไม่ได้อยู่บ้านเป็นเวลานาน ลูกคิดถึงท่านยิ่งนัก”
สะใภ้หลิวกุ้ยได้สติกลับมาจากอาการตะลึงค้าง เห็นปฏิกิริยาของบุตรสาว พลันลืมเรื่องเมื่อครู่ไปสิ้น พูดอย่างยินดี “แม่ก็คิดถึงเจ้า กลับมาก็ดีแล้ว”
หลิวชุ่ยคิดจะยื่นมือออกไปจับสะใภ้หลิวกุ้ย ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้หดมือกลับเข้ามา เสแสร้งปาดเช็ดน้ำตา “ช่วงเวลาที่ข้าอยู่หัวเมืองเสิ่ง ได้แต่คิดถึงท่านพ่อท่านแม่ ร่างกายซูบผอมไปหลายเท่า ท่านป้ากลัวข้าจะตรอมใจจนป่วย ตั้งใจให้ข้ากลับมาพักอยู่บ้านหลายวัน”
สะใภ้หลิวกุ้ยยิ่งให้ดีอกดีใจ “ดีๆๆ หลายวันนี้แม่จะทำทุกวิธีทำของอร่อยให้เจ้ากิน เอาเนื้อที่หายไปของเจ้ากลับคืนมา”
ร่างหลิวชุ่ยผงะเล็กน้อย
หลิวกุ้ยได้ยินเสียงตะโกน ก็วิ่งพรวดพราดออกมาจากในบ้าน
สะใภ้หลิวต้าเป่าพาลูกน้อยสองคนเดินรั้งท้ายออกมา
หลิวชุ่ยหันหลังกลับ ย่อตัวคำนับหลิวกุ้ย ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือของเก๊ น้ำเสียงฟังดูแล้วเจือแววสั่นเครือ “ท่านพ่อ ข้ากลับมาหาท่านแล้ว”
พอคิดว่านับตั้งแต่ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ตอนนี้ดีแล้ว บุตรสาวกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ตัวเองจะได้เงยหน้าอ้าปากได้เสียที หลิวกุ้ยน้ำตารื้น พูดพร่ำด้วยความตื้นตันใจ “ดีๆๆ กลับมาก็ดีแล้ว”
หลิวชุ่ยมองไปที่สะใภ้หลิวต้าเป่า ร้องทักอย่างสนิทสนม “พี่สะใภ้”
สะใภ้หลิวต้าเป่าพยักหน้ายกยิ้ม เร่งเร้าเด็กน้อยทั้งสอง “รีบเรียกท่านน้า”
เด็กน้อยสองคนร้องเรียกอย่างเกร็งๆ พร้อมกัน “ท่านน้า”
หลิวชุ่ยพยักหน้า สั่งชิวจวี๋ “ตบรางวัล”
ชิวจวี๋ขานรับคำ เดินขึ้นหน้า ล้วงเงินหนึ่งตำลึงสองก้อนออกมาจากถุงผ้าแพร ยื่นให้เด็กน้อยทั้งสอง “คุณหนูตบรางวัลให้พวกเจ้า ยังไม่รีบขอบคุณคุณหนูอีก”
เด็กน้อยทั้งสองรับเงินมาด้วยความยินดี กล่าวขอบคุณอย่างเชื่อฟัง
สะใภ้หลิวต้าเป่าเผยอปากค้าง กลับไม่ได้พูดอะไร
สะใภ้หลิวกุ้ยชะงักอึ้ง ใบหน้าเริ่มมีอาการไม่สู้ดี
หลิวชุ่ยสังเกตสีหน้าท่าทางพวกเขา รีบพูดตวาดสาวใช้ “พวกเขาเป็นหลานแท้ๆ ของข้า ต้องขอบคุณอะไร หากเจ้ายังไม่รู้ความเช่นนี้ ทำลายความสัมพันธ์ของข้ากับคนในครอบครัว ก็รีบไสหัวกลับไปหัวเมืองเสิ่ง ดูว่าท่านป้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”
สาวใช้สั่นผวากล่าวยอมรับผิด “ผู้น้อยจำได้แล้ว ขอคุณหนูอย่าส่งผู้น้อยกลับไปเลยนะเจ้าคะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลิวชุ่ยจงใจอวดโอ้บารมีต่อหน้าชาวหน้าหรือไม่ น้ำเสียงยิ่งให้ทวีความแข็งกร้าว “จำคำเจ้าเอาไว้ให้ดี หากยังกระทำผิดอีก ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าแล้ว”
สาวใช้ร่างสั้นเทิ้ม ก้มศีรษะรับคำอย่างหวาดกลัว
หลิวชุ่ยไม่สนใจนางอีก
เห็นชิวจวี๋ถูกตวาดใส่ สาวใช้อีกนางหนึ่งรีบเดินขึ้นหน้า พูดอย่างพินอบพิเทา “คุณหนูเจ้าคะ ด้านนอกร้อนระอุ ข้าประคองท่านเข้าไปเองเจ้าค่ะ”
หลิวชุ่ยยื่นมือออกมา มองนางด้วยแววชื่นชม “กลับไปข้าจะตบรางวัลให้”
สาวรับมือนางด้วยความระแวดระวัง ประคองนางค่อยๆ เดินเข้าไปในด้านใน แล้วกล่าวขอบคุณอย่างชื่นบาน “ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
ภายใต้การประคองของสาวใช้ หลิวชุ่ยเดินกรีดกรายพาร่างกายที่ได้รับน้ำเลี้ยงดี เดินนวยนาดเข้าไปในบ้าน
ชาวบ้านเห็นนางเดินบิดไปบิดมา ต่างเบิกตาโพลงกันเป็นแทบ
สะใภ้หลิวกุ้ยเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา นึกว่าเป็นความริษยา กลับคือสู่สภาพจองหองอวดดี พูดกับชาวบ้านที่มามุงดูด้วยน้ำเสียงป่าวประกาศ “ชุ่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว บ้านพวกเรามีหลักให้พึ่งพิงแล้ว พวกที่เคยดูแคลนพวกเราช่วงที่ผ่านมา กลับไปแอบร้องไห้ในบ้านเถอะ”