ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 223-2 เหิมเกริม
หลี่ลิ่วปิดประตูใหญ่โรงงาน วิ่งตรงมาหน้าโรงเก็บมันฝรั่ง พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นาง ด้านนอกมีสาวใช้มาขอพบท่าน บอกว่าคุณหนูของนางต้องการเชิญท่านไปพูดคุยขอรับ”
ได้ฟังรายงานจากหลี่ลิ่ว เมิ่งเชี่ยนโยวให้เกิดความกังขา ตนเองรู้จักคุณหนูเพียงสองคน คนหนึ่งคือซุนฮุ่ย ที่แต่งงานกับเปาอีฝานไปนานแล้ว หากสาวใช้มาขอพบ จักต้องไม่ใช่คำเรียกว่าคุณหนู แต่เป็นฮูหยิน ส่วนอีกคนคือจางลี่ที่อยู่ในจังหวัด แต่หากนางจะมา เถ้าแก่จางจะต้องให้คนมาแจ้งข่าวให้ทราบก่อน
คิดอยู่เป็นนานก็คิดไม่ออกว่าเป็นคุณหนูท่านไหน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถามว่า “นางได้บอกชื่อแซ่คุณหนูของนางหรือไม่”
“พูดขอรับ นางบอกว่าคุณหนูของนางมีชื่อว่าหลิวลี่” หลี่ลิ่วตอบกลับ
แรกเริ่มเมิ่งเชี่ยนโยวยังคิดไม่ออกว่าหลิวลี่เป็นใคร เมิ่งเสียนที่ยืนจดจำนวนมันฝรั่งอยู่ข้างๆ พูดเตือนนาง “หลิวลี่ก็คือบุตรสาวคนเล็กของบ้านหลิวกุ้ย ทว่าถูกรับตัวไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จะเป็นนางหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่ามีบุคคลประเภทนี้ คร้านจะสนใจ สั่งการหลี่ลิ่ว “ไปบอกนางว่าข้าไม่ว่าง”
หลี่ลิ่วก็ได้ยินที่เมิ่งเสียนพูดแล้ว โมโหที่ตัวเองไม่สอบถามให้ดีก็เข้ามารายงาน หากรู้แต่แรกว่าเป็นน้องสาวหลิวต้าเป่า เขาคงไล่คนไปนานแล้ว ตอนนี้พอได้ยินคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว รีบวิ่งโกยแนบกลับมาหน้าประตูใหญ่ พูดกับสาวใช้อย่างไม่สบอารมณ์ “นายหญิงของพวกเรากำลังยุ่ง ไม่ว่างไปพบคุณหนูของพวกเจ้า”
สาวใช้รู้นิสัยของหลิวลี่ดี หากวันนี้นางเชิญเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปไม่ได้ ตนเองกลับไปจะต้องถูกลงโทษสถานเดียว จึงพูดวิงวอนขอร้องหลี่ลิ่ว “รบกวนเจ้าให้ข้าพบแม่นางเมิ่งหน่อยเถิดนะ”
หลี่ลิ่วเริ่มรำคาญ “นายหญิงของพวกเราไม่ใช่ว่าสาวใช้อย่างเจ้าอยากพบก็จะพบได้ รีบไปซะ อย่ามายืนตรงนี้ เกะกะรถม้าที่กำลังจะออกมาของพวกเรา”
สาวใช้เห็นเขาหงุดหงิดไม่พอใจ จำต้องถอยออกมาหลายก้าว อยู่ห่างจากประตูใหญ่ออกมา แต่ยังคงยืนไม่ไปไหน คอยชะเง้อมองไปทางโรงงาน
อย่างไรก็ไม่สร้างความยุ่งยาก หลี่ลิ่วจึงไม่สนใจนางอีก
บรรจุมันฝรั่งเสร็จแล้ว หัวหน้าพนักงานมอบตั๋วเงินให้เมิ่งเสียน แล้วนำคนงานบังคับรถม้ามาถึงหน้าประตูใหญ่ หลี่ลิ่วเปิดประตูใหญ่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวรอให้พวกเขาไปหมดแล้ว ถึงเดินไปโรงงานกระเป๋านักเรียนและโรงงานมันฝรั่งแผ่นทอด เห็นว่าทุกอย่างเป็นระบบระเบียบดี จึงหันหลังกลับบ้าน
เดินมาถึงหน้าประตู หลี่ลิ่วบอกว่า “นายหญิง สาวใช้คนนั้นยังไม่ไปเลยขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ออกมาจากโรงงาน
สาวใช้เห็นเด็กสาวคนหนึ่ง แต่งเนื้อแต่งตัวดีกว่าคนอื่นออกมาจากด้านใน รีบเดินขึ้นหน้า ทำความเคารพ ถามอย่างนอบน้อม “ไม่ทราบว่าท่านคือเมิ่งเชี่ยนโยวใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า หันมองนาง
สาวใช้หยิบเทียบเชิญของหลิวลี่ออกมา พูดว่า “นี่เป็นเทียบเชิญเยี่ยมเยือนจากคุณหนูของพวกเรา นางต้องการให้คุณหนูเข้าไปพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเทียบเชิญมาดู แล้วยิ้มถาม “นี่เป็นเทียบเชิญเยี่ยมเยือน แสดงว่าคุณหนูของพวกเจ้าต้องมาเยี่ยมเยือนข้ามิใช่หรือ? เหตุใดข้าต้องเข้าไปหาด้วย?”
สาวใช้มึนงง ตอบคำถามนางไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยววางเทียบเชิญกลับไปที่มือนาง พูดว่า “กลับไปบอกคุณหนูของพวกเจ้า บอกว่าข้ายุ่งมาก ไม่ว่างไปพบนาง”
สาวใช้แสดงอาการสั่นผวา “แม่นางเมิ่ง หากข้าเชิญท่านไปไม่ได้ คุณหนูของพวกเราจะตีข้าตาย ขอร้องท่าน ไปกับข้าสักครั้งเถิดนะเจ้าค่ะ”
“ที่นี่เป็นชนบท หากนางอยากสร้างภาพจำที่ดีให้คนที่นี่เห็น ย่อมต้องไม่ลงมือกับเจ้า เจ้าเพียงนำคำของข้ากลับไปบอกนางอย่าให้มีตกหล่นก็พอ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
สาวใช้ไม่เชื่อ ยังคิดจะวิงวอน อู๋ต้าเดินเข้ามาไล่นาง “เจ้าฟังที่นายหญิงของพวกเราพูดไม่เข้าใจหรือไร? นางไม่ว่างไปพบคุณหนูของพวกเจ้า หากเจ้ายังตามตอแยไม่เลิก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
สาวใช้หวาดกลัวถอยหลังไปหลายก้าว
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินกลับบ้าน
สาวใช้มองนางเดินไปไกล รวบรวมความกล้ากลับไปบ้านหลิวกุ้ย
หลิวลี่กำลังรออย่างหมดความอดทน เห็นนางกลับมา ร้องก่นด่าพลัน “ดีแต่กิน ทำงานเกียจคร้าน ให้ไปเชิญคนคนเดียวป่านนี้เพิ่งจะกลับมา เจ้าอยากโดนโบยใช่หรือไม่?”
“พลั่ก” สาวใช้ตกใจคุกเข่ากับพื้นดัง “คุณหนู ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ ข้ามิได้แอบอู้ เพราะที่บ้านแม่นางเมิ่งไม่มีคนอยู่ ข้าจึงตามไปที่โรงงาน ไม่คิดว่านางจะไม่ยอมให้พบ ข้ายืนรออยู่หน้าประตูโรงงานพักใหญ่ กระทั่งนางออกมา ข้าขวางนางไว้ มอบเทียบเชิญของคุณหนูให้นาง ไม่คิดว่านางกลับพูดว่าตนเองยุ่งมาก ไม่ว่างมาพบท่าน ข้าถึงได้เพิ่งกลับมาเจ้าค่ะ”
หลิวลี่ได้ฟังยิ่งให้เดือดดาล “เศษสวะไม่ได้เรื่อง เสียเวลาไปครึ่งค่อนวันกลับเรียกคนมาไม่ได้ ข้าจะเก็บเจ้าไว้เพื่ออะไรอีก กลับไปข้าจะเอาเจ้าไปขายทิ้ง”
สาวใช้ตกใจได้แต่โขกศีรษะวิงวอนขอร้อง
หลิวกุ้ยทนดูต่อไปไม่ไหว พูดว่า “นังเด็กบ้านเมิ่งคนนั้นจัดการยากยิ่งนัก การจะเรียกแล้วไม่มาเป็นเรื่องที่เดาได้ไม่ยาก เจ้าอย่าให้สาวใช้ต้องลำบากใจเลย”
หลิวลี่ยังพูดเสียงเขียว “เห็นแก่ที่บิดาข้าขอร้องแทนเจ้า ข้าจะอภัยให้เจ้าสักครั้ง หากยังมีครั้งหน้าอีก เจ้าคงรู้นะว่าจะมีจุดจบเช่นไร”
สาวใช้โขกศีรษะเต็มแรงให้นาง “ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
แล้วหันไปโขกศีรษะให้หลิวกุ้ย “ขอบคุณนายท่าน”
เป้าหมายขั้นแรกที่จะกดเมิ่งเชี่ยนโยวให้ต่ำกว่าไม่สำเร็จ หลิวลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ พลันลุกขึ้นพูดอย่างเคียดแค้น “ในเมื่อนางไม่ยอมมาพบข้า เช่นนั้นข้าจะไปหานาง ข้าจะประชันกับนาง ดูว่าใครกันแน่ที่จะเป็นคนมีหน้ามีตาที่สุดของหมู่บ้านนี้”
สะใภ้หลิวกุ้ยก็รู้สึกว่าตอนนี้สถานะของบุตรสาวโดดเด่นกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาก ลุกขึ้นพูดยุยงพลัน “ใช่ ไปหานาง ให้นางได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ตัวจริง คนอย่างนางให้มาถือรองเท้าให้เจ้ายังไม่คู่ควร”
เดิมหลิวลี่เพียงอายุยังน้อย มีนิสัยชอบเอาชนะ ตอนนี้ได้ยินสะใภ้หลิวกุ้ยกล่าวเช่นนี้ ลุกขึ้นพรวด ปฏิกิริยานั้นทำสาวใช้และบ่าวตกใจสะดุ้ง ได้ยินนางพูดเพียงว่า “พวกเจ้าไปกับข้า หากมีคนไม่ยอมรับความหวังดี พวกเจ้ารู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไร”
สาวใช้และบ่าวขานรับอย่างพร้อมเพรียง
ช่วงเวลานี้หลิวกุ้ยก็อัดอั้นใจจนสุดจะทนแล้ว ศีรษะร้อนวูบวาบ จึงไม่เข้าขัดขวาง
บ่าวบังคับรถม้าออกมา สาวใช้ประคองหลิวลี่เดินพ้นประตูบ้านออกมา ขึ้นบนรถม้า ไม่แม้แต่จะเชื้อเชิญสองสามีภรรยาหลิว ก็ให้สาวใช้คนเมื่อครู่เป็นคนนำทาง พาบ่าวบังคับรถม้าไปบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว
สองสามีภรรยาหลิวก็ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม เดินตามหลังรถม้าไปอย่างเบิกบานใจ
คนทั้งหมดเดินเป็นขบวนมุ่งหน้าไปบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว
ชาวบ้านเห็นพวกเขายกโขยงกันออกมาก็ให้ประหลาดใจ ต่างหันมองดู
สองสามีภรรยาหลิวเห็นชาวบ้านมองเข้ามา นึกว่าอิจฉาพวกเขา พากันแอ่นอกยืดหลังตรง ทำท่าจองหองพองขน ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาทั้งนั้น
ชาวบ้านลอบหัวเราะเยาะพวกเขา บุตรสาวตัวเองนั่งรถม้า ผู้เฒ่าสองคนกลับเดินตามต้อยๆ
หลิวลี่ที่อัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้น ไม่ได้สนใจสิ่งต่างๆ นี้
รถม้ามาถึงทางแยก กลับเลี้ยวไปทางบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว ชาวบ้านรู้สึกว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ทั้งชายหญิงลูกเด็กเล็กแดงต่างลุกขึ้นตามไปดูเรื่องสนุก
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะกลับถึงบ้าน เมิ่งอี้เซวียนก็เลิกเรียนกลับมาพอดี
เห็นใบหน้าอ่อนล้าของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างปวดใจ “วันนี้ข้าว่าง เจ้าอยากกินอะไร ข้าจะไปทำให้เจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนฝืนฉีกยิ้ม “เจ้าทำอะไรข้าก็กินอย่างนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เจ้าไปพักผ่อนในห้องก่อน ทำเสร็จแล้วข้าจะไปเรียกเจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนผงกศีรษะแผ่วเบา หันหลังกลับเข้าไปในห้องตัวเอง วางกระเป๋านักเรียนลง ทิ้งหัวตุบลงไปบนเตียงเตา ไม่อยากขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในครัวมองดูวัตถุดิบที่มีในบ้าน ตัดสินใจทำเนื้อหมูตุ๋นมันฝรั่งและอาหารจืดๆ อีกสองอย่าง
หลังจากคิดเสร็จ ก็เริ่มลงมือล้างวัตถุดิบ
เพิ่งจะล้างวัตถุดิบเสร็จ กำลังเตรียมจะทำอาหาร ได้ยินเสียงร้องท้าทายจากด้านนอกตะโกนเข้ามา “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”
นับตั้งแต่ที่ครอบครัวเปิดโรงงานเมื่อปีที่แล้ว ชาวบ้านเห็นตนเองต่างให้ความเกรงใจ ไม่มีใครใช้น้ำเสียงเช่นนี้เรียกนางอีก ได้ยินน้ำเสียงไม่ประสงค์ดีนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น วางสิ่งของในมือ เดินจากครัวออกมานอกประตู
สะใภ้หลิวกุ้ยกำลังเท้าสะเอวเตรียมจะตะโกนเรียกเป็นครั้งที่สอง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา ก็ไม่หวาดกลัว โก่งคอพูดเสียงลั่น “ก็แค่มีเงินเพียงหยิบมือ ถึงกับวางท่าอวดดี ต้องให้ลี่เอ๋อร์ของพวกเราเข้ามาหาเจ้าด้วยตัวเอง”
หากเป็นในอดีต เมิ่งเชี่ยนโยวคงมีแก่ใจตอบโต้พวกเขาไปบ้าง แต่เมื่อครู่เห็นสภาพอิดโรยของเมิ่งอี้เซวียน ตอนนี้สภาพจิตใจเมิ่งเชี่ยนโยวแย่มาก ชักสีหน้าพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์พลัน “ข้าไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้า ถนนอยู่ทางนั้น เชิญไม่ส่ง”
พูดจบ หันหลังคิดจะกลับไปที่ครัว
เสียงแหลมสูงของสะใภ้หลิวกุ้ยดังไล่หลัง “นังตัวดี ข้าจะบอกให้นะ ภายหน้าลี่เอ๋อร์ของพวกเราจะได้แต่งงานเป็นภริยาขุนนาง ตอนนี้มาหาเจ้าด้วยตัวเอง นั่นเพราะให้เกียรติเจ้า เจ้าอย่าได้ดีแล้วไม่รู้จักดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุดฝีเท้า เดินตรงเข้าไปในครัว
เสียงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟของหลิวลี่ดังลอยออกมาจากในรถม้า “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เมิ่งอี้เซวียนที่งัวๆ เงียๆ กำลังจะหลับสนิท ถูกเสียงแหลมแสบหูรบกวนจนตื่น เดินขยี้ตาออกมาจากในห้อง ถามเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินเข้ามาในลานบ้าน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไร เจ้ากลับเข้าไปนอนต่อเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “เสียงดังเกินไป นอนไม่หลับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหเลือดขึ้นหน้า ก้าวเท้าอาดๆ เดินไปหน้าประตู พูดกับหลิวลี่ที่กำลังให้สาวใช้ประคองลงจากรถม้า “รีบไปให้ไกลจากหน้าประตูบ้านข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจพวกเจ้าแล้ว”
หลิวลี่ลงจากรถม้าแล้ว ได้ฟังก็แสยะยิ้ม พูดอย่างดูแคลน “เจ้าจะไม่เกรงใจข้าอย่างไรเล่า พูดมาให้ฟังหน่อยเถิด?”
สะใภ้หลิวกุ้ยก็พูดรับเป็นลูกคู่ “ใช่ พวกเราไม่ไป เจ้าจะไม่เกรงใจอย่างไร รีบพูดมาให้ฟังสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ไฟโทสะกำลังลุกโหม ด้านหลังกลับมีเสียงอ่อนโยนของเมิ่งอี้เซวียนดังขึ้น “โมโหเพราะพวกเขาหาได้คุ้มค่าไม่ หากเจ้าไม่อยากรับมือกับพวกเขา ข้าจัดการเอง” หลิวลี่ที่พอเห็นโฉมหน้าของเมิ่งอี้เซวียนถึงกับสูดลมหายใจเข้าปาก เบิกตาลุกวาว มองเขาจนน้ำลายแทบหก
เมิ่งอี้เซวียนขมวดคิ้วยู่ย่นอย่างเดียดฉันท์ กลับยังพูดอย่างสุภาพว่า “ใกล้เที่ยงแล้ว พวกเราต้องทำอาหารแล้ว หากไม่มีเรื่องใด เชิญพวกท่านกลับไปเถอะ”
หลิวลี่มิได้ตอบกลับ เอาแต่มองเมิ่งอี้เซวียนตาไม่กะพริบ
สะใภ้หลิวกุ้ยเห็นหลิวลี่แสดงท่าทางบ้าผู้ชายจนออกนอกหน้า กระแอมเบาๆ สองครั้ง เตือนให้นางรีบได้สติคืนมา
หลิวลี่ไม่ได้ยิน ยังคงจ้องเมิ่งอี้เซวียนเขม็ง
สะใภ้หลิวกุ้ยตะโกนเรียกนางเสียงลั่น “ลี่เอ๋อร์”
หลิวลี่ตกใจสะดุ้งโหยง ได้สติกลับคืนมา โพล่งปากกล่าวตำหนิ “อยากตายหรือไร ตะโกนเสียงดังออกมาได้”
สะใภ้หลิวกุ้ยนิ่งอึ้ง
ชาวบ้านที่มุงล้อมส่งเสียงวิพากษ์เซ็งแซ่ทันที