พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 131
“อะไรนะเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินหันมาในทันใด ร้องอย่างตกใจด้วยความไม่อยากเชื่อ
ต้วนไห่เทาพูดความลับอันน่าตกใจออกมาแล้ว คำพูดกลับลื่นไหลขึ้นมา “หลานชิงเฉิน เจ้าไม่ต้องตกใจ เชิงเกอนางมีร่างหยินบริสุทธิ์จริงๆ มิเช่นนั้น ด้วยพรสวรรค์สามรากวิญญาณของนาง จะบำเพ็ญเพียรได้เร็วเช่นนี้ได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินเข้าใจในทันใด ใช่สินะ ตนมีขวดน้ำเต้าเซียนในมือ ซ้ำยังมีเพลิงแก้วใจกระจ่างที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรใฝ่หา พริบตาเดียวผ่านไปหลายปีเช่นนี้ ไม่เพียงมาตรฐานในการหลอมโอสถเพิ่มขึ้นอย่างมาก โอสถยิ่งไม่เคยขาดมาก่อน ตบะจึงรุดหน้าดั่งติดปีกบินเช่นนี้ ส่วนต้วนชิงเกอคาดไม่ถึงว่าจะสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่มากับตนได้ หากบอกว่าเป็นเหตุมาจากร่างหยินบริสุทธิ์ ก็อธิบายได้แล้ว
ทันใดนั้นมีความคิดหนึ่งแวบผ่าน ท่านอาจารย์อาท่านนั้นมีร่างหยางบริสุทธิ์พอดี เช่นนั้นพวกเขาสองคนมิใช่คู่สร้างคู่สมหรอกหรือ…คิดถึงตรงนี้ก็แอบถุยเสียงหนึ่ง กดความคิดเหลวไหลของตนลงไป
ความลับนี้ดูเหมือนกลายเป็นหินยักษ์ก้อนหนึ่งทับอยู่ในใจต้วนไห่เทามาหลายปี เมื่อได้พูดออกมาก็เปรียบเหมือนเขื่อนแตก คำพูดต่อจากนั้นจึงทะลักออกมาไม่ขาดสาย “ตามข่าวคราวที่หลานชิงเฉินได้มา ข้าคิดว่าชิงเกอนางคงถูกนักพรตหานจางผู้นั้นพบความลับเรื่องร่างหยินบริสุทธิ์เข้า ถึงได้ก่อให้เกิดเคราะห์กรรมในครั้งนี้
มั่วชิงเฉินในใจเห็นด้วยกับคำพูดของต้วนไห่เทา เพราะมีเพียงเช่นนี้ถึงอธิบายการกระทำที่ผิดปกติของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งได้
ร่างหยินบริสุทธิ์ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่ติดอยู่ที่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นมาร้อยกว่าปี ใจจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร
“ท่านลุง เช่นนั้นเหตุใด เหตุใดหลายปีมานี้ ศิษย์พี่ชิงเกอนาง…” มั่วชิงเฉินถาม
ต้วนไห่เทายิ้มด้วยความขมขื่นว่า “พูดแล้วก็เพราะโชคดี ข้าได้คาถาลับมาด้วยความบังเอิญ สามารถปิดบังสภาพร่างของนางได้ชั่วคราว เพียงแต่ตบะมีจำกัด คาถาลับนี้จึงรักษาได้เพียงหนึ่งปี ถึงเวลาหากไม่เสกคาถาซ้ำก็จะหมดฤทธิ์ ดังนั้นชิงเกอนางจึงกลับมาวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนเจ็ดของทุกปี ปีนี้เดิมทีนางก็สายอยู่แล้ว ข้าจึงเป็นห่วง เพียงแต่คิดว่าคงไม่บังเอิญเช่นนั้นหรอกกระมังที่จะเจอผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงกว่าก่อแก่นปราณ ใครจะรู้ว่า…”
นี่ก็ช่างบังเอิญจริงๆ เลย! ทางโถงปฏิบัติงานนั้น ยามปกติผู้ที่ไปมากที่สุดคือศิษย์ผู้ดูแลระดับสร้างรากฐานและศิษย์ระดับหลอมลมปราณ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแทบจะไม่ย่างกรายไปถึง กลับเฉพาะเจาะจงถูกต้วนชิงเกอพบเข้าแล้ว
มั่วชิงเฉินถอนใจในใจเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านลุง เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ากลับไปแล้วจะลองสืบดู หากนักพรตหานจางจับศิษย์พี่ชิงเกอไปที่พำนักของเขาจริง ข้าจะคิดหาวิธีช่วยนางออกมาให้จงได้เจ้าค่ะ”
ในฐานะหญิงสาวด้วยกัน เมื่อคิดไปถึงเคราะห์กรรมที่ต้วนชิงเกออาจได้รับมากที่สุด มั่วชิงเฉินก็อกสั่นขวัญแขวน หันหลังจะจากไป
ต้วนไห่เทากลับห้ามไว้ว่า “ช้าก่อน หลานชิงเฉิน ลุงขอบคุณเจ้าแทนบุตรสาวแล้ว เพียงแต่ในเมื่อนางถูกผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณในสำนักพวกเจ้าจับไป เรื่องนี้ก็ช่างเถอะ”
“ท่านลุง!” มั่วชิงเฉินตกใจ
ต้วนไห่เทาหน้าตาดูเหมือนชราขึ้นมากในชั่วพริบตา ทว่ากลับเอ่ยต่อว่า “ชิงเกอภายนอกอ่อนโยน กลับเพราะความลับนี้ ในใจจึงชอบเอาชนะมาก มักบำเพ็ญเพียร เข้าร่วมภารกิจอย่างสุดชีวิต ข้าเป็นห่วงเด็กคนนี้จะได้รับบาดเจ็บระหว่างภารกิจมากที่สุด บัดนี้ในเมื่อถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพบเข้า อย่างน้อยที่สุดไม่ต้องห่วงชีวิตนางแล้ว แล้วจะให้เจ้าเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตไปล่วงเกินยอดคนระดับก่อแก่นปราณได้เช่นไร”
“ท่านลุง…หลานสาวไม่ค่อยเข้าใจ…” มั่วชิงเฉินพึมพำว่า นางเพียงแต่ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีร่างหยินบริสุทธิ์หยางบริสุทธิ์ไม่เพียงตนเองบำเพ็ญเพียรได้เร็ว ยังสามารถทำให้คู่บำเพ็ญเพียรต่างเพศบำเพ็ญเพียรได้เร็วด้วย ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นหรูติ่งของต่างเพศได้ง่ายเป็นพิเศษ สำหรับประโยชน์ที่มากกว่านี้กลับไม่รู้แล้ว
ต้วนไห่เทาถอนใจว่า “ร่างหยินบริสุทธิ์ สามารถทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของผู้บำเพ็ญเพียรชายรุดหน้าอย่างมาก ทว่าตบะของชิงเกอและนักพรตหานจางอย่างไรเสียก็ต่างกันเกินไป หากเขากระทำการอย่างบุ่มบ่าม กลับจะได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นเขาต้องไม่ทำร้ายชิงเกอจนถึงแก่ชีวิตเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้น ประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของร่างหยินบริสุทธิ์ ไม่ใช่จะสำเร็จทันที หากแต่ค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณต้องแบ่งแยกส่วนได้ส่วนเสียหนักเบาได้แน่ หลานชิงเฉิน เจ้ากลับไปเถอะ หากวันหลังมีโอกาสเจอชิงเกอ ก็ปลอบประโลมนางหน่อย”
มั่วชิงเฉินงงงันอยู่ตรงนั้น ชั่วเวลาหนึ่งไม่รู้ควรพูดเช่นไร นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบิดาของต้วนชิงเกอรู้ว่าบุตรสาวของตนถูกผู้บำเพ็ญเพียรชายลักพาไปเป็นหรูติ่ง กลับมีปฏิกิริยาเช่นนี้
เห็นสีหน้าของมั่วชิงเฉิน ต้วนไห่เทายิ้มอย่างขมขื่นว่า “หลานชิงเฉิน ไม่ปิดเจ้าหรอกนะ พวกเราพ่อลูกรักษาความลับนี้ด้วยความอกสั่นขวัญแขวนมาหลายปี ได้เตรียมใจไว้สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้นานแล้ว พูดไปแล้ว ชิงเกอสามารถติดตามผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้ ก็ไม่นับว่าแย่นัก…”
พูดถึงตรงนี้กลับพูดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นการปลอบใจตนเอง หรือว่ารับไม่ไหว
บรรยากาศหนักหน่วงเล็กน้อย ต้วนไห่เทาพูดถึงขนาดนี้แล้ว มั่วชิงเฉินก็ไม่สะดวกพูดอะไรอีก จึงคำนับแผ่วเบาหนึ่งที แล้วร่ำลาจากไป
เสกคาถาเหยียบลม มั่วชิงเฉินค่อยๆ เร่งเดินทางไปทางพรรคเหยากวง ในใจกลับติดพันอยู่กับเรื่งของต้วนชิงเกอ
ท่านลุงต้วนบอกว่า นักพรตหานจางไม่ทำร้ายศิษย์พี่ชิงเกอ
ท่านลุงต้วนบอกว่า พวกเขาพ่อลูกได้เตรียมใจไว้สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้นานแล้ว
ท่านลุงต้วนบอกว่า ศิษย์พี่ชิงเกอติดตามยอดคนระดับก่อแก่นปราณ ก็นับว่าเป็นเรื่องโชคดี
ท่านลุงต้วนยังบอกว่า แม้นักพรตหานจางไม่ทำร้ายศิษย์พี่ชิงเกอ กลับจะทำเพื่อรักษาความลับนี้ โดยลงมือฆ่าตน ให้ตนอย่าไปเสี่ยงอันตราย…
มั่วชิงเฉินความคิดโบยบินอยู่ ชั่วเวลาหนึ่งไม่ทันระวังใต้เท้ารู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนส่งผ่านมา
นางนั่งยองๆ ลงไป ถึงพบว่าที่แท้เพราะไม่ระวัง เท้าเหยียบถูกก้อนหินแหลมก้อนหนึ่ง ถูกบาดเป็นแผลแล้ว
มั่วชิงเฉินนั่งลงมา ถอดรองเท้าถุงเท้าทำความสะอาดบาดแผล ทันใดนั้นก็นึกถึงหลายปีก่อนในหุบเขานั้น ตนก็ขาพลิกบาดเจ็บ ไม่อาจไม่เงยหน้ามองอาจารย์อาเยี่ยที่โกรธอยู่
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินสะดุดในใจ อาจารย์อาเยี่ยท่านนั้น เพียงถูกตนเห็นขณะอาบน้ำ ก็โกรธถึงเพียงนั้น เช่นนั้นชิงเกอล่ะ นางที่ตั้งใจไล่ตามหนทางการเป็นเซียนถูกบังคับลักพาตัวไปเป็นหรูติ่งของผู้บำเพ็ญเพียร ความรู้สึกของนางจะเป็นเช่นไรอีกนะ?
มั่วชิงเฉินหัวเราะเยาะตนเองหนึ่งที ยิ่งนานวันตนก็ยิ่งเห็นแก่ตัวจริงๆ แล้วสินะ ความคิดพวกนั้นเมื่อครู่ ก็เพียงแค่หาเหตุผลสักข้อ ให้ตนไม่ไปช่วยต้วนชิงเกอได้อย่างสบายใจเท่านั้น
ทว่า ละทิ้งสหายสนิทที่เป็นดั่งพี่น้องโดยไม่ไยดี ตนในภายภาคหน้าจะสามารถสบายใจได้จริงหรือ?
มั่วชิงเฉินไม่ได้ใช้ยามังกรเหลือง แต่กลับยืนขึ้นมา เสกคาถาเหยียบลมเร่งไปที่พรรคเหยากวงต่อ นางจะให้ความเจ็บปวดที่ส่งผ่านมาจากฝ่าเท้าเป็นระยะนั้นเตือนสติตนเองไม่ให้เดินทางผิดบนหนทางอายุยืนยาวอันยาวไกลนี้
การบำเพ็ญเพียรแน่นอนคือเพื่อให้มีอายุยืนยาว ทว่าเป้าหมายในการมีอายุยืนยาวของนาง กลับเพื่อให้ได้ประจักษ์ฟ้าดินที่ยิ่งกว้างใหญ่ยิ่งยอดเยี่ยม สัมผัสความสุขมากยิ่งขึ้น หากละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพียงแค่เพื่อการมีชีวิตอยู่เท่านั้นจึงมีชีวิตอยู่ หนึ่งวันกับหนึ่งหมื่นปี จะต่างกันตรงไหนล่ะ?
นี่ก็คือความคิดชั่วแล่นจึงเป็นเซียน ความคิดชั่ววูบจึงเข้าสู่ทางมารที่ว่าสินะ
รอใกล้ถึงประตูพรรคเหยากวง มั่วชิงเฉินหยุดลง เปลี่ยนมาเดินเท้า
นี่ก็เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้ระบุไว้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสำนัก
ประตูของพรรคเหยากวงมีค่ายกลพิทักษ์ภูผาคอยพิทักษ์ไว้ จำเป็นต้องมีป้ายประจำตัวและคาถาที่สอดคล้องกันถึงสามารถส่งสารให้ศิษย์เฝ้าประตูเปิดค่ายกลปล่อยเข้าไปได้
มั่วชิงเฉินล้วงป้ายประจำตัวสีควันเขียวออกมา นิ้วมือขยับแผ่วเบากำลังจะเสกคาถา ก็เห็นแสงสายหนึ่งวาดผ่านขอบฟ้า จากนั้นคนสองคนกระโดดลงมา
หนึ่งในนั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน เกล้าผมทรงนักพรต ใบหน้าสวยงามประณีตและสุขุม แต่กลับดูออกว่าเหน็ดเหนื่อยจากการตะลอนเดินทางอยู่บ้าง
เห็นคนผู้นั้นมองมา มั่วชิงเฉินรีบคำนับหนึ่งที แล้วเหลือบมองคนข้างกายเขาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงปราดหนึ่ง แต่แล้วร่างกายกลับต้องหยุดชะงัก
คนที่อยู่ข้างๆ หน้าตาคล้ายผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอยู่หลายส่วน ตาโตคู่นั้นกะพริบแล้วกะพริบอีก ดูแล้วนิสัยเหมือนเด็ก รอยยิ้มที่มุมปากเปรียบเหมือนอาทิตย์ยามเช้า อบอุ่นกำลังดี
พี่เสี่ยวซย่า!
ปีนั้นยามที่จากลากับนางที่เมืองเทียนเหยา เสี่ยวซย่าก็เป็นหนุ่มแล้ว มั่วชิงเฉินย่อมจำได้ในปราดเดียว เพียงแต่นางไม่ใช่เด็กผู้หญิงในปีนั้นอีกแล้ว จึงไม่ได้ตะโกนออกมาอย่างบุ่มบ่าม
เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอายุน้อยคนหนึ่งมองตนอยู่ เสี่ยวซย่ายิ้มแผ่วเบา ยื่นมือชี้เท้าของมั่วชิงเฉินว่า “ศิษย์พี่น้อย เท้าเจ้าเลือดไหลแล้ว”
กาลเวลาสิบกว่าปี ตกลงเขายังคงจำนางไม่ได้ ทว่ายังคงมีน้ำใจเช่นเดิม
“เสี่ยวซย่า เข้าไปเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานข้างๆ เอ่ย
“ขอรับ” เสี่ยวซย่าแสยะยิ้มให้คนผู้นั้น
มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มแผ่วเบา เอียงกายรอให้พวกเขาไปเคาะประตูสำนักก่อน ในเมื่อวันนี้เขาจำตนไม่ได้ เช่นนั้นก็รอวันหลังค่อยว่ากันเถอะ อย่างไรเสียเรื่องที่ตนจะทำยามนี้ ยิ่งมีคนสนใจตนน้อยยิ่งดี
ทันใดนั้นเสี่ยวซย่าที่อยู่ข้างหน้ากลับหันหน้ามา จ้องลักยิ้มข้างปากมั่วชิงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงแหบแห้งว่า “น้องสาว?”
เริ่มแรกคือถามด้วยความสงสัย ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นความแน่ใจ
มั่วชิงเฉินอมยิ้มมองเขาพลาง พยักหน้าเบาๆ
เสี่ยวซย่าเหมือนถูกสกัดจุดก็ไม่ปานชะงักอยู่ที่เดิม มุมปากยิ่งแสยะยิ่งกว้าง ถึงสุดท้ายยิ้มอย่างสดใส แล้ววิ่งเข้ามาในทันใด กอดมั่วชิงเฉินไว้แน่น
“น้องสาว เจ้ามาพรรคเหยากวงตั้งแต่เมื่อไร เหตุใด เหตุใดไม่ไปหาข้า ยายเด็กบ้า!” เสียงติเตียนลอยมาชุดใหญ่ ปนด้วยกลิ่นอายเฉพาะตัวของชายหนุ่ม
มั่วชิงเฉินกลับไม่รู้สึกเขินอาย ราวกับนี่เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรธรรมดาไปกว่านี้แล้ว
“น้องสาว เหตุใดเจ้าไม่พูดล่ะ?” ผ่านไปเนิ่นนาน เสี่ยวซย่าถามเสียงต่ำ
มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่งเหมือนเมื่อสิบปีก่อน “ข้าจะถูกเจ้ารัดจนจะตายแล้ว จะพูดอย่างไร?”
มองดูท่าทางโมโหของมั่วชิงเฉิน เสี่ยวซย่าเกาศีรษะหัวเราะคิกคัก ผมทรงนักพรตที่เดิมทียังนับว่าเรียบร้อย ถูกเกาจนกลายเป็นรังนกในพริบตา
ผู้บำเพ็ญเพียรข้างๆ ไอแค่กๆ สองที
เสี่ยวซย่าหัวเราะแหะๆ สองสามเสียง รีบลากมั่วชิงเฉินพูดกับคนผู้นั้นว่า “พี่ใหญ่ นี่ก็คือน้องสาวที่ข้ารับไว้ เมื่อก่อนข้าเคยบอกท่านแล้ว” พูดจบดึงมั่วชิงเฉินอีกว่า “น้องสาว นี่คือพี่ใหญ่ข้า”
ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นเห็นเสี่ยวซย่าฉุดกระชากลากถูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอายุน้อยคนหนึ่งท่าทางดูไม่ได้เลย จึงเบิ่งตาใส่เขาปราดหนึ่ง จากนั้นพูดกับมั่วชิงเฉินว่า “มักได้ยินเสี่ยวซย่าพูดถึงเจ้า ไม่คิดว่าน้องสาวที่เขาพูดถึง ตบะยังสูงกว่าเขามากนัก”
ฟังน้ำเสียงของผู้บำเพ็ญเพียรคนนี้ยังนับว่าเป็นมิตร มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ท่านอาจารย์อาชมเกินไปแล้ว เพียงแต่เขาไล่ตามมาไม่ทันเสียทีเท่านั้น”
ผู้บำเพ็ญเพียรชะงัก ตามด้วยเสียงหัวเราะกังวานว่า “ฮ่าๆ ข้าถึงว่าเหตุใดถามถึงตบะของเจ้าทีไร เสี่ยวซย่ามักไม่ยอมพูด ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
เสี่ยวซย่าเบิ่งตาใส่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วโบกหมัด เห็นมั่วชิงเฉินไม่สนใจเขา กลับเขยิบเข้ามายิ้มร่าว่า “น้องสาว ถ้ารู้ว่าเจ้าอยู่พรรคเหยากวง ข้าก็ไม่ออกไปกับพี่ใหญ่แล้ว”
ที่แท้แรกสุดเสี่ยวซย่า ยังมัวแต่หวังว่ามั่วชิงเฉินจะสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ที่สิบปีมีครั้งหนึ่งของพรรคเหยากวงได้ ทว่าจนถึงการคัดเลือกสิ้นสุดก็สืบหาชื่อนางไม่ได้เสียที ถึงตอนหลังมั่วชิงเฉินกลายเป็นศิษย์จิปาถะ ไม่ออกจากที่พำนักหลายปี เสี่ยวซย่าจึงไม่รู้ ต่อมาตามพี่ใหญ่ออกไป กลับไปทีหนึ่งก็เป็นเวลาหลายปี พลาดยามที่ชื่อของมั่วชิงเฉินถูกลืออย่างเอิกเกริกไป
“น้องสาว ท่านปู่ล่ะ?” เสี่ยวซย่าถาม
มั่วชิงเฉินหลุบเปลือกตาลง เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่อยู่แล้ว”
เสี่ยวซย่าขยับริมฝีปาก กลับไม่ได้พูดอะไร แล้วยื่นมือตบไหล่อันบอบบางของมั่วชิงเฉิน
“เสี่ยวซย่า ตามข้าไปกราบอาจารย์ก่อนเถอะ รอกลับมาค่อยเชื้อเชิญน้องบุญธรรมเจ้ามาเที่ยว” ผู้บำเพ็ญเพียรพูดแทรก
เสี่ยวซย่ามองพี่ชายปราดหนึ่ง พูดกับมั่วชิงเฉินอย่างไม่เต็มใจว่า “น้องสาว เช่นนั้นข้าตามพี่ใหญ่ไปก่อนแล้ว ตอนบ่ายเจ้าก็มาหาข้าที่เขาต้วนจินดีหรือไม่ เราจะได้คุยกันดีๆ อ้อ หากเจ้าไม่สะดวกออกมา ข้าไปหาเจ้าก็ได้”
มั่วชิงเฉินเกิดความคิดในใจทันที ปากว่า “สะดวกแน่นอน”