พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 148
“ศิษย์พี่ชิงเกอ!” มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
ต้วนชิงเกอยิ้มนิ่งเรียบว่า “อยู่ที่นี่ตลอดก็ไม่มีสิ่งใดดีขึ้น ก็ให้ข้าลองดูเถอะ”
ตามด้วยส่งเสียงทางจิตว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ตั้งแต่ที่ข้าไปเขารั่วสุ่ย ได้แก้ไขวิชายุทธ์ธาตุน้ำที่ไม่เลวชุดหนึ่ง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วพยักหน้า รากวิญญาณธาตุน้ำของต้วนชิงเกอแต่เดิมก็โดดเด่นอยู่แล้ว ไปถึงเขารั่วสุ่ยแก้ไขวิชายุทธ์ธาตุน้ำ ก็เป็นเรื่องในความคาดหมาย
ท่ามกลางการจับจ้องของทุกคน ต้วนชิงเกอค่อยๆ ยืนที่จุดเริ่มต้นที่มั่วหลีลั่วชี้ให้ จากนั้นยิ่งเดินยิ่งสูงตามการชี้แนะของมั่วหลีลั่ว
ในระหว่างทาง เจอเหมือนที่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเจอ มีมังกรไฟยาวๆ ระเบิดขึ้น แต่กลับถูกต้วนชิงเกอรับมืออย่างใจเย็นหลบพ้นไป แล้วเดินไปถึงก้อนหินสีแดงที่อยู่สูงที่สุดอย่างค่อยๆ
เดิมทีถึงตรงนี้ ก็ตรงกับจุดตรงกลางขนาดเท่ากำปั้นที่มั่วชิงเฉินเห็น ต้วนชิงเกอเพิ่งเหยียบขึ้นไปสงบจิตใจทีหนึ่ง ทันใดนั้นหินสีแดงใต้เท้าก้อนนั้นหมุนกลับ นางจึงล้มลงไปทั้งตัว
หินหลอมเหลวเดือดพล่านที่อยู่ข้างล่างราวกับรู้ ทันใดนั้นพ่นเปลวไฟออกมาหลายสาย และยังมีเสียงปูดๆ อันน่ากลัว
“ศิษย์พี่ชิงเกอ…”
“ศิษย์น้องต้วน!”
ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของพวกมั่วชิงเฉินสองคน เห็นเพียงต้วนชิงเกอสะบัดแส้ในมือออก พันหินสีแดงก้อนนั้นอย่างแม่นยำ มือออกแรง ยืมแรงเหวี่ยงสายนี้กระโดดขึ้นไปอีก
และในยามนี้ ทันใดนั้นก้อนหินที่ลอยอยู่อย่างสงบนิ่งแต่เดิมพวกนั้นชนมาที่ก้อนหินสีแดงใต้เท้าต้วนชิงเกอ
ทุกครั้งที่ชน ก้อนหินสีแดงใต้เท้านางก็จะแกว่งหนึ่งที ร่างกายของต้วนชิงเกอก็ส่ายไปส่ายมาตาม ท่าทางที่ส่ายไปส่ายมาจะตกลงไปแหล่ไม่แหล่ทำให้ผู้ที่พบเห็นอกสั่นขวัญแขวน
“ศิษย์น้องต้วน หาโอกาสโจมตีตาค่ายกลนั่น!” มั่วหลีลั่วเตือนเสียงดัง
ต้วนชิงเกอไม่มีเวลาตอบ พยายามรักษาสมดุลของร่างกาย นิ้วมือเริ่มขยับขึ้นมา
ในยามนี้เอง ทันใดนั้นเห็นก้อนหินสีแดงยักษ์ก้อนหนึ่งชนมาทางก้อนหินสีแดงที่ต้วนชิงเกออยู่ด้วยความเร็วยิ่ง
“ระวัง!” ท่ามกลางเสียงร้องของทุกคน ต้วนชิงเกอกัดริมฝีปากแน่น กระโดดขึ้นด้านบนทั้งตัว ในพริบตาที่นางออกห่าง ก้อนหินสีแดงยักษ์ก้อนนั้นชนก้อนหินสีแดงใต้เท้านางจนละเอียด
ในพริบตาที่ตกลงไป คาถาธาตุน้ำที่เตรียมไว้ฟาดไปที่จุดศูนย์กลางนั่น
จากนั้นเสียงโครมลอยมา ภูผาเริ่มพังทลาย ก้อนหินภูผาที่แตกออกนับไม่ถ้วนตกลงในสระหินหลอมเหลว หลังจากมืดฟ้ามัวดิน ทุกคนลืมตาขึ้น ก็พบว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไปอีกแล้ว
มั่วชิงเฉินเห็นต้วนชิงเกอปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน ถึงได้โล่งอก เริ่มพิจารณารอบๆ ขึ้นมา
ที่นี่ดูเหมือนเป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม เสียงนกกระซิบ ข้างหนึ่งมีป่าดอกท้อที่บานกำลังงามผืนหนึ่ง อีกข้างหนึ่งน้ำใสไหลลงจากภูเขา ไหลลดเลี้ยวมาตามก้อนหินมันปลาบสีน้ำตาลอมเขียวลงมาถึงเชิงเขา สุดท้ายรวมกันเป็นหนองน้ำแห่งหนึ่ง
ปราณวิญญาณในหุบเขานี้เข้มข้นยิ่งนัก กระทั่งกลายเป็นหมอกวิญญาณอบอวลอยู่ภายใน ยิ่งทำให้ที่นี่ดูแล้วงดงามดุจดินแดนเซียน
“ปราณวิญญาณที่เข้มข้นดีจริง!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงถอนหายใจว่า
ทุกคนผ่านทะเลทรายและดินแดนหินหลอมเหลวมาแล้ว จู่ๆ มาถึงสถานที่ที่งดงามเช่นนี้ อีกทั้งมีปราณวิญญาณที่เข้มข้นเช่นนี้ชำระล้างภายใน จึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันใด
“สหายเต๋าทุกท่านอย่าชะล่าใจ ดูก่อนว่ามีอันตรายหรือไม่” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายเอ่ย
ทุกคนพยักหน้า แยกตัวออกสำรวจขึ้นมา ผ่านไปครึ่งชั่วยามรวมตัวกันอีกครั้ง ต่างไม่พบสิ่งใด
“สหายเต๋ามั่ว เจ้ามีความคิดเช่นไร?” ทันใดนั้นผู้นำชุดดำถามขึ้น
มั่วหลีลั่วเหลือบมองเขาปราดหนึ่งอย่างประหลาดใจ เอ่ยว่า “ข้าไม่เห็นร่องรอยของค่ายกล”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวสีหน้ายินดี “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในที่สุดพวกเราก็ทำลายค่ายกลออกมาแล้วใช่หรือไม่?”
มั่วหลีลั่วหัวเราะฟู่ว่า “อย่าคิดง่ายเกินไป สถานการณ์ตอนนี้มีสองชนิด ชนิดหนึ่งคือเดินออกจากค่ายกลแล้วจริงๆ ส่วนอีกชนิดหนึ่ง…”
พูดถึงตรงนี้นางมองทุกคน เอ่ยต่อว่า “อีกชนิดหนึ่งก็คือพวกเรายังคงอยู่ในค่ายกล เพียงแต่ค่ายกลนี้แยบยลเสียจนความสามารถของข้าในตอนนี้ไม่อาจหาช่องโหว่ได้แม้แต่น้อยแล้ว”
สิ้นเสียงพูด ทุกคนก็เงียบงันขึ้นมา นอกจากมั่วหลีลั่ว คนอื่นอย่างมากก็รู้ค่ายกลแค่งูๆ ปลาๆ หากยังอยู่ในค่ายกลจริง เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางโดยสิ้นเชิง ได้เพียงแก้ปัญหาไปตามสถานการณ์แล้ว
ผู้นำชุดดำทำลายความเงียบงันเป็นคนแรกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เราพักผ่อนที่นี่สองสามวันก่อน ไหนๆ ปราณวิญญาณเหลือล้นนี่ไม่ใช่ของปลอม”
ข้อเสนอแนะนี้ถูกใจทุกคนพอดี บัดนี้ทุกคนต่างเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ต้องการการผ่อนคลายจริงๆ
ผู้นำชุดดำเปลี่ยนหัวข้อว่า “ทว่าเรายังไม่รู้ความจริงที่นี่ ดังนั้นยังคงไม่อาจชะล่าใจได้ ข้าเสนอแนะให้สหายเต๋าทุกท่านบอกสมญานามและทักษะที่ชำนาญคราหนึ่ง อย่างไรเสียไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่นานเท่าใด หากพบเหตุการณ์กะทันหันอันใด จะได้จัดการได้ถูกต้อง”
นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูและผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำสองคนที่สิ้นชีพแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแห่งนิกายเหอฮวนรวมทั้งหลิวหลิงจือก็เหลือเพียงสี่คนแล้ว
ส่วนทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำ จึงมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่ง และผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางคนหนึ่ง
ภายใต้การบอกเป็นนัยของผู้นำชุดดำ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางคนนั้นว่า “ถังเอ้อร์ ชำนาญคาถาธาตุดิน”
“ถังอี ชำนาญคาถาธาตุไฟ” ผู้นำชุดดำพูดพลางหันมามองพวกมั่วชิงเฉินสามคน
ผ่านการไปมาหาสู่ในช่วงนี้ เขาสังเกตนานแล้วว่าหญิงสาวสามคนนี้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ย่อมเห็นความสำคัญขึ้นมากเป็นธรรมดา
มั่วหลีลั่วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าแซ่มั่ว ไม่ชำนาญคาถาอันใดเป็นพิเศษ ก็แค่ศึกษาค่ายกลเพียงคร่าวๆ”
“ข้าแซ่ต้วน ชำนาญคาถาธาตุน้ำ เอ่อ…พอรู้การแพทย์งูๆ ปลาๆ” ต้วนเชิงเกอเอ่ยนิ่งเรียบ
นี่เป็นสิ่งที่พวกนางสามคนปรึกษากันไว้แล้ว เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิด ในด้านพลังการต่อสู้ปิดบังไว้บ้างจะดีกว่า กลับเป็นความสามารถด้านสนับสนุนพวกนี้สามารถเปิดเผยสักหน่อยได้ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่นานเท่าใด ในด้านนี้หากมีสิ่งที่ถนัดกลับจะปลอดภัยเสียหน่อย
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายเอ่ยตามคาดว่า “ไม่นึกเลยว่าสหายเต๋าต้วนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยา? ช่างนึกไม่ถึงจริงๆ”
ในใจแอบคิดว่าหญิงสาวคนนี้ยามทำลายค่ายกลเมื่อครู่รับมือได้อย่างใจเย็น ไม่นึกเลยว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยา ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
ต้วนชิงเกอยิ้มแผ่วเบาว่า “ไม่อาจรับสมญานามผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาได้ เพียงแต่เพิ่งเริ่มศึกษาเท่านั้น”
เห็นถังอีมองมาที่ตน มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงใสว่า “ข้าก็แซ่มั่ว แม้ไม่ใช่ตัวอักษรเดียวกับศิษย์พี่มั่ว ทว่าเรียกขึ้นมาจะไม่สะดวก สหายเต๋าทุกท่านเรียกข้าสิบหกแล้วกัน อืม…ข้าชำนาญคาถาธาตุไม้ แล้วก็มีความรู้ด้านหลอมโอสถงูๆ ปลาๆ”
“อะไรนะ! ไม่นึกเลยว่าสหายเต๋าสิบหกจะหลอมโอสถเป็น?” ไม่กี่คนนี้ถามขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าฉายแววยินดี สำหรับชื่อของนางกลับไม่มีคนสนใจ ใครก็รู้ว่านี่เป็นเพียงสมญานามเท่านั้น ใครจะไปสนใจจริงเท็จล่ะ
ผู้นำชุดดำรู้สึกดีใจ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในบรรดาคนเหล่านี้ยังมีนักหลอมโอสถคนหนึ่ง ในหุบเขานี้ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยม หญ้าทิพย์ดอกไม้อัศจรรย์หลากหลายชนิด หากมีนักหลอมโอสถอยู่ ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มปัญหาเรื่องโอสถแล้ว
นึกถึงตรงนี้ก็เกิดตกใจขึ้นมาอีก ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสามคนนี้ดูแล้วอายุน้อยเช่นนี้ ไม่เพียงยามสู้กันด้วยคาถาแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานนิสัยที่ดีเยี่ยมในทุกแห่งหน ไม่คิดว่ายังต่างมีสิ่งที่ถนัด เกรงว่าประวัติความเป็นมาของพวกนางคงไม่ธรรมดาแน่นอน
สามสาวแห่งนิกายเหอฮวนมองตากันปราดหนึ่ง ตลอดมาพวกนางได้รับการเอาใจจากผู้บำเพ็ญเพียรชายจนชินแล้ว ไม่คิดว่าบัดนี้ กลับถูกนางหนูสามคนนั้นกดศีรษะไว้ จึงเกิดกลัดกลุ้มในใจ
“ข้าชื่อหวังเยี่ยนเย่ว์ ชำนาญคาถาธาตุทอง” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงพูดจบ เหลือบมองผู้นำชุดดำปราดหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไร ตนก็ไม่อาจล่วงเกินคนคนนี้ หากสานสัมพันธ์ได้ดี ไม่แน่เมื่อออกไปแล้ว ก็อาจมีทางรอดได้
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวเอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า “ข้าชื่อหลิ่วชุนหยา ชำนาญคาถาธาตุน้ำ”
กลับลืมแล้วว่าตนผมร่วงไปไม่น้อย บวกกับเสียงอ่อนหวานนี้แล้วช่างน่าสยองนัก
“ข้าชื่อหวงเจวียน ชำนาญคาถาธาตุไฟ” หญิงสาวชุดเหลืองเอ่ย
หลิวหลิงจือที่เหลืออยู่ยืนอยู่เงียบๆ เปิดปากท่ามกลางสายตาทุกคนว่า “หลิวหลิงเอ๋อร์ ไม่ชำนาญสิ่งใดเป็นพิเศษ”
มั่วชิงเฉินแอบมองนางปราดหนึ่ง แล้วเม้มปาก
ผ่านการแนะนำตัวอย่างง่ายๆ ทุกคนต่างคนต่างเริ่มปรับลมหายใจขึ้นมา
เป็นเช่นนี้ผ่านไปหลายวัน ในหุบเขายังคงเงียบสงบไร้คลื่นลม ทุกคนค้นหาทุกวัน ยังคงหาทางออกไม่พบ
มั่วชิงเฉินพบว่าบำเพ็ญเพียรในสภาพแวดล้อมที่ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมนี้ ความเร็วต้องเร็วกว่าข้างนอกมาก คนอื่นๆ ก็เช่นกัน เป็นเช่นนี้นานวันเข้า ทุกคนจึงสร้างกระท่อมที่นี่ขึ้นเสียเลย แล้วตั้งใจบำเพ็ญเพียรขึ้นมา
บนตัวมั่วชิงเฉินมีสวนสมุนไพรพกพา จึงแกล้งอาศัยโอกาสการหลอมโอสถให้ทุกคนโดยใช้สมุนไพรทิพย์ในหุบเขา แอบลองหลอมโอสถรวมจิต หลังจากล้มเหลวนับร้อยครั้ง สิ้นเปลืองสมุนไพรทิพย์หายากล้ำค่านับไม่ถ้วน ในที่สุดโอสถรวมจิตก็ถูกนางหลอมออกมาจนได้
เป็นดังที่นางคาดเดาไว้จริงๆ ตันเถียนของนางสามารถรับปราณวิญญาณที่แฝงอยู่ในโอสถรวมจิต กินโอสถรวมจิต การเพิ่มขึ้นของตบะเร็วกว่ากินโอสถรวมวิญญาณมาก
ในตัวนางเดิมก็มีค่ายกลรวมวิญญาณชั้นสูงอยู่แล้ว อีกทั้งกินโอสถรวมจิต บวกกับที่สภาพแวดล้อมที่ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมที่นี่ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรหนึ่งวันไปไกลถึงพันลี้ ไม่คิดว่าใช้เวลาเพียงหนึ่งปี ก็บำเพ็ญเพียรถึงยอดของระดับสร้างรากฐานระยะต้น
ความเร็วเช่นนี้ในสายตาคนอื่น ต่างแอบตกใจ เพียงแต่คนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ได้แต่แอบเดาว่าพรสวรรค์ของนางต้องโดดเด่นกว่าคนอื่นมากเป็นแน่
มั่วชิงเฉินกลับไม่แยแส นางอายุยี่สิบสองก็ก้าวเข้าระดับสร้างรากฐานระยะต้น จากนั้นปูรากฐานให้มั่นคงมาตลอด จนบัดนี้พูดไปก็มีแปดปีแล้ว บำเพ็ญเพียรถึงยอดระดับสร้างรากฐานระยะต้น ก็ไม่นับว่าแปลก
เวลาผ่านไปอีกสองปี ในที่สุดมั่วหลีลั่วก็ทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะกลางได้อย่างราบรื่น ทำให้สายตาของสามสาวแห่งนิกายเหอฮวนที่มองนางมีความยำเกรงและยังแฝงไว้ด้วยความอิจฉา
อยู่ในหุบเขาสามปี ต่อให้ที่นี่งดงามดุจแดนเซียนปราณวิญญาณเข้มข้น ทุกคนก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา
สมุนไพรทิพย์ที่สามารถหลอมโอสถรวมวิญญาณได้เด็ดจนเกลี้ยงแล้ว สมุนไพรทิพย์ที่เหลืออยู่ต่อให้ล้ำค่าสักหน่อย ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ได้ในยามน้ำได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วความเร็วในการบำเพ็ญเพียรจึงจำต้องช้าลงแล้ว
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็คือการที่ถูกกักในที่เดียวกันเป็นเวลานาน ไม่เป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรทางสภาพจิตใจยิ่งนัก อย่างไรเสียการถูกบังคับให้กักตนบำเพ็ญเพียรเช่นนี้กับการเลือกด้วยตนเอง นั้นไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน
มั่วชิงเฉินยิ่งเป็นเช่นนี้ นางถึงยอดระดับสร้างรากฐานระยะต้นเมื่อสองปีก่อน ติดมาได้สองปีแล้ว ไม่เหมือนมั่วหลีลั่วที่เพิ่งทะลวง จะได้ทำให้เขตแดนมั่นคงพอดี และก็ไม่เหมือนต้วนชิงเกอที่แต่เดิมเพียงเพื่อหลบเลี่ยงหรวนหลิงซิ่วที่คอยหาเรื่องนางบ่อยๆ จึงหนีลงเขา ยังห่างจากคอขวดการบำเพ็ญเพียรอีกไกลนัก
มั่วชิงเฉินที่ไม่ว่าอย่างไรตบะการบำเพ็ญเพียรก็ไม่เพิ่มขึ้นนั่งอยู่ข้างสระน้ำอย่างหมดอาลัยตายอยาก จึงหยิบก้อนหินติดมือขึ้นมาโยนลงสระ ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป
พริบตาเดียวออกจากเขาสามปีกว่า ไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านจะระลึกถึงตนหรือไม่?
นึกถึงท่าทางสงบเยือกเย็นยามปกติของคนคนนั้น จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็อารมณ์เสียที่ตนคิดเหลวไหลขึ้นมา แล้วโยนหินลงไปในสระอย่างแรง
ที่นางไม่ได้สังเกตคือ หินก้อนนั้นหล่นลงในน้ำวนในสระที่ไม่รู้ปรากฏขึ้นเมื่อไรพอดี จากนั้นก็ได้ยินเสียงซ่าเสียงหนึ่ง มีอะไรใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งพึ่งขึ้นมาจากสระ อ้าปาก กลืนมั่วชิงเฉินลงไป!