พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 166 ใจดุจกระจกใส
“ครึ่งจริงครึ่งมายา?” คุณชายหกบ่นพึมพำว่า สิบปีก่อนเขาก็หยุดอยู่ที่ด่านที่หนึ่งแดนมายา ต่อจากนี้ไปเขาก็ไม่มีประสบการณ์ใดๆ แล้ว
คุณชายสี่จะยิ้มก็ไม่ยิ้มกวาดสายตาดูคุณชายหกปราดหนึ่งว่า ถูกต้อง ครึ่งจริงครึ่งมายานั่นแหละ เพราะว่าอีกสักครู่หลังจากพวกเราแตะถูกของต้องห้าม สิ่งที่เจ้าได้เห็นได้ฟังมีส่วนหนึ่งเป็นจริงจริงๆ อีกส่วนหนึ่งเป็นเท็จ จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ คิดจะหลุดพ้นจากแดนนี้ต้องยากลำบากกว่าก่อนหน้านี้สักหน่อย
เห็นทั้งสามคนฟังอย่างตั้งใจ คุณชายสี่เดินนำไปก่อนก้าวหนึ่งว่า “เข้าไปเถอะ”
คุณชายสี่เพิ่งเดินผ่านฉากกั้นกระดองเต่าหลังนั้น มั่วชิงเฉินก้รู้สึกทันทีว่ากลางตำหนักสว่างขึ้น
ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนฉาก หากแต่พบว่าโถงใหญ่ที่เงียบสงัดไร้เสียงแต่แรกครึกครื้นขึ้นมาทันที
เห็นเพียงในตำหนักปลาวาฬขับขาน ปูยักษ์ร่ายรำ ตะพาบเป่าเซิง[1]เต่าตีกลอง ไข่มุกล้ำค่าส่องงานเลี้ยง อักษรปักษาประดับฉาก ผ้าม่านหนวดกุ้งแขวนระเบียง แปดสังคีตขับขานลำนำสวรรค์ เสียงดนตรีดังทะลุชั้นฟ้า คณิกามัจฉาดีดพิณเส้อ[2] มัจฉาตาแดงเป่าขลุ่ยหยก
ไม่คิดเลยว่าจะเป็นงานเลี้ยงยิ่งใหญ่มโหฬารที่จัดขึ้นที่วังบาดาลงานหนึ่ง!
วิญญาณหยั่งรู้ของทั้งสี่คนเลือนรางในชั่วพริบตา พวกเขาลืมแดนมายาที่ประสบมาก่อนหน้าทันที หากแต่นึกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นสิ่งแรกที่พวกเขาเห็นหลังจากตั้งแต่เข้าสู่ม่านผลึกแก้วมา
มีสาวมังกรสามนางใส่เสื้อบางเบา ประดับประดาเต็มไปด้วยไข่มุกเดินนวยนาดมา ต่างคนต่างลากไปคนหนึ่งเดินไปที่ตรงกลางโถงใหญ่
โคมผลึกแก้วทอประกายอ่อนโยน สาวมังกรสามนางลากคุณชายตระกูลหวังทั้งสามคนร่ายรำอย่างสง่าตามจังหวะขับขานลำนำสวรรค์
ในขณะที่มั่วชิงเฉินกำลังตะลึงงัน ก็ได้ยินคุณชายสิบเจ็ดหัวเราะว่า “พี่สี่ วังบาดาลนี่ที่แท้เป็นที่อยู่ของเจ้ามังกรจริงๆ ด้วย!”
มองดูคุณชายสิบเจ็ดที่พยุงเอวของสาวมังกรไว้แน่นพลางร่ายรำไปพร้อมกัน มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก นี่ผิดปกติ มีอย่างที่ไหนคนนอกบุกรุกเข้ามา เจ้าของวังบาดาลไม่เพียงไม่โกรธ ยังจัดงานเลี้ยงรับรองอีก?
นางครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ ก็มีหญิงสาวงามดุจบุปผาคนหนึ่งเดินเข้ามาว่า “แม่นางไม่สู้รับสุราอาหารตามสะดวกก่อน เจ้ามังกรบ้านข้าบัดนี้ติดธุระ ไม่อาจมารับรองแขกผู้มีเกียรติได้ จึงสั่งให้พวกเราต้อนรับให้ดี รอท่านจัดการธุระเสร็จก็จะออกมาพบทุกท่านด้วยตนเอง”
ข้างหลังหญิงคนนี้แบกเปลือกหอยอ้าออกคู่หนึ่งอยู่ ดูท่าทางน่าจะเป็นนางหอย
มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง นางหอยนั่นกลับยื่นมือดึงมั่วชิงเฉินไว้ว่า “แม่นางเชิญตามข้ามา”
มั่วชิงเฉินอยากดิ้นให้หลุดโดยไม่รู้ตัว กลับพบว่าตนใช้แรงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ในใจอดตกใจเป็นการใหญ่ไม่ได้ จึงรีบขับเคลื่อนพลังวิญญาณในกาย กลับพบว่าใช้คาถาใดๆ ไม่ได้เลย
นางหอยยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางลากมั่วชิงเฉินมาถึงหน้าโต๊ะยาวหยกขาว ชี้อาหารอันโอชะเต็มโต๊ะว่า “แม่นาง นี่คืออาหารเลิศรสพิเศษของวังมังกรเรา อยู่ข้างนอกหารับประทานไม่ได้หรอกนะ ในเมื่อแม่นางมาแล้ว ก็ลิ้มลองเสียหน่อยเป็นไร”
เห็นมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน นางหอยเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจว่า “หากแม่นางรังเกียจการมัดมือมัดเท้า ข้าน้อยขอตัวก่อน แม่นางตามสบาย หากมีอันใดค่อยเรียกข้าน้อยก็พอ ข้าน้อยชื่อว่าเสวี่ยเหนียง”
นางหอยหลังจากคำนับแล้วก็ถอยออกไป มั่วชิงเฉินโล่งใจ นางกวาดสายตามองโต๊ะยาวหยกขาวปราดหนึ่งอย่างตามสบาย อาหารเลิศรสบนโต๊ะครบทั้งรูปรสกลิ่น ดูเหมือนมีมนตร์ขลังดึงให้นางไปลิ้มลอง
มือของมั่วชิงเฉินยื่นออกไปอย่างบังคับตนเองไม่ได้ หยิบตะเกียบคีบลูกชิ้นกระจ่างใสขนาดเท่าลำไยเม็ดหนึ่ง
ลูกชิ้นส่งกลิ่นหอมประหลาดระลอกหนึ่ง ยวนให้คนน้ำลายไหล มั่วชิงเฉินกัดปลายลิ้นอย่างแรงทีหนึ่ง ลิ้มลองถึงกลิ่นคาวเลือดลูกชิ้นในมือถึงตกกลับลงไปในจานหยก
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี แม้ตนไม่ยอมกินโอสถเลี่ยงธัญพืชหากแต่กินข้าวตามปกติ ความอยากอาหารกลับไม่มีทางรุนแรงเช่นนี้ รุนแรงขึ้นขั้นที่ยับยั้งชั่งใจไม่ได้ ดูท่าทางอาหารเลิศรสตรงหน้าต้องผิดปกติเป็นแน่
ตระหนักถึงจุดนี้ มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าสมองที่หนักอึ้งมึนงงปลอดโปร่งขึ้นมาหน่อย จึงรีบไปตามหาพวกคุณชายหกสามคน
ผู้บำเพ็ญเพียรไม่อาจขับเคลื่อนพลังวิญญาณ เช่นนั้นก็เหมือนคนธรรมดาที่ไม่มีอาวุธในมือก็ไม่ปาน พบเจออันตรายได้เพียงปล่อยให้คนฆ่าแกง นางจำเป็นต้องรีบสมทบกับสามคนนั้นโดยเร็ว ถามสถานการณ์ของพวกเขาแล้วค่อยวางแผน
ทว่ามั่วชิงเฉินกลับพบด้วยความตะลึงว่า ในโถงหญิงสาวอาภรณ์งดงาม แสงสีเรืองรอง มีเงาของสามคนนั้นที่ไหนกัน!
“ชิงเฉิน เจ้าดูอันใดอยู่ ยังไม่เข้ามาดื่มเป็นเพื่อนข้าสักจอก?” เสียงทุ้มต่ำกลับไม่ขาดความกังวานเสียงหนึ่งลอยมา
มั่วชิงเฉินสะดุ้ง มองไปตามเสียง แล้วก็เห็นชายชุดเทาคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างต้นไม้ปะการังที่อยู่ที่หัวมุม ข้างหน้าวางโต๊ะน้ำชาไผ่เขียวไว้ตัวหนึ่ง วางผลไม้ทิพย์สองสามจาน นอกจากนั้นมีขวดหยกสูงสิบกว่านิ้วใบหนึ่งถูกมืออันเรียวยาวของเขาจับไว้ กำลังรินเองดื่มเองอย่างสบายอารมณ์
ชายเช่นนี้ มองปราดหนึ่งก็ทำให้นึกถึงประโยคที่ว่าผู้สง่างามที่แท้จริงความสง่าย่อมพรั่งพรูออกมาเองโดยธรรมชาติ
มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปเบาๆ นั่งตรงกับเขาโดยมีโต๊ะน้ำชากั้น แล้วถามเสียงอ่อนโยนว่า “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงมาได้ล่ะ?”
สายตาสดใสคู่นั้นของกู้หลีหยุดอยู่บนหน้ามั่วชิงเฉิน เอ่ยเสียงเบาว่า “นางหนูเจ้าไม่กลับมาตั้งหลายปี ข้าคิดถึงยิ่งนัก จึงมานี่แล้ว”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าหน้าร้อนผ่าว ก้มหน้าลงแผ่วเบาว่า “ทำให้อาจารย์ต้องเป็นห่วงแล้ว” ในใจกลับรู้สึกถึงความหวานสายเล็กๆ มีความปีติที่บอกไม่ถูก เขา เขาก็คิดถึงตนเช่นกันจริงหรือนี่?
กู้หลีดันจอกแก้วที่รินสุราทิพย์จนเต็มใบหนึ่งข้ามไป “ชิงเฉิน ดื่มเป็นเพื่อนอาจารย์จอกหนึ่ง หลายปีมานี้ไม่ได้ดื่มสุราที่เจ้าหมัก อีกทั้งยังขาดสหายสุราไป ช่างน่าเบื่อนัก”
มั่วชิงเฉินรับจอกแก้วที่ยังมีอุณหภูมิของกู้หลีหลงเหลืออยู่ ยิ้มให้กู้หลีอย่างซุกซนว่า “ใครให้อาจารย์อยู่ดีๆ ไล่ข้าลงเขาล่ะ ฮึ กรรมตามสนอง” ท่าทางน่ารักไร้เดียงสาไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยธรรมดาคนหนึ่ง
ท่ามกลางสายตาที่อ่อนโยนของกู้หลี มั่วชิงเฉินส่งจอกสุราไปที่ข้างริมฝีปาก กลับต้องขมวดคิ้วแผ่วเบา
“เป็นอันใดหรือ ชิงเฉิน?” กู้หลีถาม
มั่วชิงเฉินอารมณ์ไม่ดีว่า “อาจารย์ สุรานี่รสชาติแย่มาก ลำบากให้ท่านต้องดื่มมันลงไปได้อย่างไร ที่ชิงเฉินนี่ยังมีสุราชั้นดีหลายขวด อาจารย์ดื่มอันนี้ดีกว่า”
มั่วชิงเฉินพูดพลางคิดจะหยิบสุราไหหนึ่งจากถุงเก็บวัตถุออกมา กลับพบว่าถุงเก็บวัตถุก็ใช้ไม่ได้แล้ว จึงอดชะงักอยู่ตรงนั้นไม่ได้ แล้วพูดกับกู้หลีว่า “อาจารย์ ที่นี่แปลกจัง ไม่นึกเลยว่าที่นี่ไม่อาจขับเคลื่อนพลังวิญญาณได้ ท่านดูสิ แม้แต่ถุงเก็บวัตถุก็ใช้ไม่ได้แล้ว ดูท่าวันนี้ท่านจะไม่มีลาภปากแล้ว”
กู้หลียืนขึ้นมา ยื่นมือออกว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็รีบออกไปเถอะ จะได้ไม่ต้องสายแล้วจะเกิดเหตุผิดปกติอันใดอีก”
มั่วชิงเฉินลังเลชั่วครู่ ยังคงทนไม่ได้ยื่นมือข้ามไป ทันใดนั้นรู้สึกว่าเข้าไปในมือที่อบอุ่นแห่งกร้านข้างหนึ่ง ฝ่ามือด้านระหว่างกึ่งกลางนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ถูบนผิวพรรณที่เนียนนุ่มของนาง ทำให้นางหน้าแดงใจเต้น
“อาจารย์ ข้ายังมีสหายสามคนอยู่ที่นี่ “มั่วชิงเฉินหันหลังมองทีหนึ่งหาพวกคุณชายหกสามคนไม่จอ จึงพูดกับกู้หลีว่า
กู้หลียกมือลูบไล้ผมของมั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน เจ้าไม่อยากอยู่ตามลำพังกับอาจารย์หรือ สนใจคนอื่นทำอะไร?”
“ทว่า…” มั่วชิงเฉินกำลังลังเล ทันใดนั้นรู้สึกมือกู้หลีออกแรง ลากนางเข้าไปในอ้อมกอดทันที
มั่วชิงเฉินรู้สึกใจเต้นเหมือนตีกลองทันที เอ่ยอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า “อาจารย์?”
สายตากระจ่างใสของกู้หลีอ่อนโยนดั่งน้ำ ค่อยๆ ปัดผ่านใบหน้านาง เอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเฉิน ทว่าอันใดหรือ?”
พูดพลางขยับริมฝีปากที่แฝงด้วยกลิ่นอายสุราอ่อนใสเข้ามา ประทับลงไปข้างริมฝีปากของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหลับตาลง ขนตาสั่นไหว รับรู้ถึงลมหายใจที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ กำลังใกล้เข้ามา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสุราทิพย์ ยิ่งเพิ่มความเย้ายวนให้มัวเมาขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
มือใหญ่คู่นั้นเริ่มเลื่อนไหลอยู่บริเวณเอวนาง ในชั่วพริบตาที่ริมฝีปากกำลังจะแตะกันนั้น มั่วชิงเฉินผลักกู้หลีออกโดยพลัน มองดูท่าทางตกใจของเขา หัวเราะเย้ยว่า “ทว่า อาจารย์ของข้าไม่ทำเช่นนี้กับข้าเด็ดขาด!”
อาจารย์ของนาง ท่านพี่กู้ของนาง ไม่เคยสอนให้นางเมื่อพบอุปสรรคอันตรายให้ทิ้งสหายไว้ไม่เหลียวแล ยิ่งไม่ทำจาบจ้วงกับนางเช่นนี้
“ชิงเฉิน เจ้าพูดอะไรอยู่น่ะ?” คนที่แปลงเป็นกู้หลีเอ่ยอย่างไม่ตายใจ
มั่วชิงเฉินเบือนหน้าไป เอ่ยนิ่งเรียบว่า “เจ้าไปเถอะ หายไปทั้งแบบนี้เถอะ ข้ารู้ว่าลำนำสวรรค์นี่ อาหารอันโอชะนี่ ทหารกุ้งจอมพลปูสาวมังกรนางหอย เป็นไปได้ว่าเป็นของจริง และเป็นไปได้ว่าเป็นเท็จ ทว่าที่สามารถแน่ใจได้คือ เจ้าต้องเป็นของปลอมแน่นอน!”
มั่วชิงเฉินที่ไม่สามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณได้ ได้เพียงเปิดโปงสิ่งเหล่านี้ด้วยคำพูดที่แน่วแน่ ชี้ให้เห็นถึงใจที่ไม่ถูกครอบงำของนาง
เป็นไปตามคาดยามที่มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นอีกครั้ง กู้หลีได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ลำนำสวรรค์ดังเดิม เสียงหยอกล้อของหญิงสาวดังเดิม เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ไม่อาจรบกวนนางได้อีก นางประหนึ่งกลายเป็นผู้ชมคนหนึ่ง มองดูภาพยนตร์ที่สมจริงอย่างหาใดเปรียบไม่ได้ทว่ากลับจับต้องไม่ได้
สัมผัสถึงพลังในกายที่สามารถควบคุมได้อีกครั้ง มั่วชิงเฉินเริ่มตามหาพวกคุณชายหกสามคน
ยามที่สายตานางมองไปที่มุมหนึ่งนั้น นางเบิกตาโตขึ้นทันที สีหน้าตกตะลึงกว่ายามที่เห็นอาจารย์กู้หลีเสียอีก
ที่นี่ คุณชายหกกำลังโอบหญิงสาวชุดชมพูนางหนึ่ง เอ่ยอย่างยินดีว่า “โหรวเอ๋อร์ ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน ในที่สุดเจ้าก็รับปากจะไปจากที่นี่พร้อมข้าแล้ว”
หญิงสาวรูปร่างผอมเพรียว อ้อนแอ้นเสียจนราวกับกิ่งหลิวที่พลิ้วไหวตามลม เสียงยิ่งอ่อนโยนน่าฟัง “อืม ในใจข้ามีท่านเสมอมา จะมีเหตุผลที่ไม่รับปากได้อย่างไร เราไปกันตอนนี้เถอะ”
มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงอึดหนึ่ง หากไม่ใช่บัดนี้นางทำได้เพียงมองดู นางแทบจะพุ่งเข้าไปทันที
หญิงสาวคนนั้น หญิงสาวคนนั้น คือมั่วหนิงโหรวพี่สิบสี่ของนางนี่นะ!
มั่วชิงเฉินเช็ดน้ำตาที่ไหลเต็มหน้าอย่างส่งเดช ยิ้มขึ้นมาอย่างเซ่อๆ ไม่ว่าอย่างไร พี่สิบสี่ของนางยังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ?
แล้วก็ได้ยินคุณชายหกพูดอีกว่า “เช่นนั้นเยี่ยนเยี่ยนล่ะ นางจะทำเช่นไร?”
หญิงสาวชุดชมพูเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “เยี่ยนเยี่ยนย่อมต้องอยู่ที่ตระกูลหวัง บิดานางจะดีต่อนาง…”
ยังพูดไม่จบมั่วชิงเฉินก็เห็นคุณชายหกผลักหญิงสาวชุดชมพูล้มลงกับพื้น พูดอย่างเย็นชาว่า “แปลงเป็นนาง เจ้ายังไม่คู่ควร!” พูดพลางล้วงกระบี่บินเล่มหนึ่งแทงไปอย่างไม่ปรานี
แม้เพราะไม่สามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณกระบี่มีเพียงพลังโจมตีจากตัวมัน หญิงสาวชุดชมพูคนนั้นกลับหายไปทันทีหลังจากถูกแทง
คุณชายหกดิ้นหลุดออกจากแดนครึ่งจริงครึ่งมายา เห็นมั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ น้ำตานองหน้ามองเขาอย่างเหม่อลอย
คุณชายหกนึกว่ามั่วชิงเฉินพบเจอเรื่องอะไรในแดนครึ่งจริงครึ่งมายาถึงได้เป็นเช่นนี้ จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “แม่นางมั่ว เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากไว้ มองคุณชายหกไม่พูดอะไรสักคำ ในใจนางมีหมื่นพันคำพูดจะถาม ทว่า ทว่าคุณชายหกผู้นี้ตกลงมีความสัมพันธ์อันใดกับพี่สิบสี่กันแน่ หากนางอ้าปากถามขึ้น ตกลงจะเหมาะสมหรือไม่?
ลังเลชั่วครู่ มั่วชิงเฉินยังคงทนไม่ไหวถามว่า “คุณชายหก เมื่อครู่ ข้าเห็นเจ้ากับหญิงสาวนางหนึ่ง…”
ทันใดนั้นคุณชายหกที่กิริยาสง่าเป็นสุภาพบุรุษเสมอมาสีหน้าบึ้งตึงขึ้น เอ่ยนิ่งเรียบว่า “แม่นางมั่ว เราแต่ละคนต่างมีความลับของตน ไม่ใช่อะไรก็สามารถถามได้กระมัง?”
มั่วชิงเฉินหน้าร้อนผ่าว ตกใจว่านี่ถึงจะเป็นนิสัยที่แท้จริงของคุณชายหก ปกติภายใต้กิริยาท่าทางสง่างามนั้น กลับมีเกล็ดย้อนที่ไม่อาจแตะต้องได้ ตนถามเช่นนี้ละลาบละล้วงไปแล้วจริงๆ
——
[1] เซิง เครื่องดนตรีประเภทเป่ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ รูปร่างคล้ายแคนของไทย มี36ปล้องสั้นยาวไม่เท่ากัน
[2] พิณเส้อ เป็นเครื่องดนตรีจีนโบราณ มีอายุกว่า 4,000ปี มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดเครื่องไม่แน่นอน มี25สาย มีหลักมัดสายที่ท้ายเครื่อง4หลัก แบ่งหย่อง2ชุด ชุดใน16สาย สเกล F Major Pentatonic ชุดนอก9สาย สเกล E Major Pentatonic รวม10ครึ่งเสียง (อ้างอิงจากเอกสารวิจัยของ ศ. ติงเฉิงอวิ้น)