พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 207 คนดูเพียงภายนอกไม่ได้
“ศิษย์น้องเหอกวง หรือว่าศิษย์หลานชิงเฉินยังเคยฝึกเคล็ดวิชานิ้วพิเศษอะไรมาก่อน ไม่คิดว่าจะสามารถใช้เพียงนิ้วมือหนีบอาวุธเวทของอีกฝ่ายได้?” นักพรตฟางเหยาตกตะลึง
กู้หลีหลุบตาลง ยื่นนิ้วมือเรียวยาวถือขวดน้ำชาหยกเขียวรินน้ำชาให้ทุกคน สีมรกตใสกระจ่างขับจนนิ้วมือยิ่งขาวสะอาดดุจหยก ปากเอ่ยเสียงกังวานว่า “ศิษย์ข้าเกเร เรียนหลากหลายไปหมด”
ส่วนตกลงเคยเรียนเคล็ดวิชานิ้วพิเศษมาก่อนหรือไม่กลับไม่ได้เอ่ย มิใช่กู้หลีปิดบัง หากแต่เขาเองก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกัน
จากที่เขามอง ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรต่อให้เป็นอาจารย์ศิษย์กัน อาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องถามชีวิตการบำเพ็ญเพียรของศิษย์อย่างละเอียดยิบ ขอเพียงศิษย์สามารถตั้งใจเรียนรู้สิ่งที่เขาคิดว่าควรถ่ายทอดให้จนเป็นก็เพียงพอแล้ว
“ไม่ว่าอย่างไร ศิษย์หลานชิงเฉินก็สามารถชนะศิษย์หัวกะทินิกายเหอฮวนสี่คนติดๆ กัน พลังความสามารถเช่นนี้ต่อให้อยู่ในหมู่ศิษย์หัวกะทิระดับเดียวกันในพรรคเหยากวงเราก็เพียงพอที่จะให้ภาคภูมิใจได้แล้ว” นักพรตฟางเหยาคร่ำครวญ ยามที่มองไปที่กู้หลีอีกครั้งในใจก็ให้รำพึงรำพัน สวรรค์ช่างลำเอียงต่อศิษย์น้องคนนี้จริงๆ เจ้าตัวก็มีรากวิญญาณฟ้าอยู่แล้ว ศิษย์ที่รับยังโดดเด่นเช่นกันอีก
สายตากู้หลีมองไปทางเขาโฮ่วเต๋อ แล้วยิ้มนิ่งเรียบว่า “ศิษย์ข้าและศิษย์นิกายเหอฮวนประมือกัน นับว่าได้เปรียบอยู่หลายส่วน”
ยังไม่รอนักพรตฟางเหยารับคำ นักพรตจื่อซีก็หัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง “เช่นนั้นยามที่ศิษย์น้องเหอกวงท้าดวลนิกายเหอฮวนล่ะ?”
กู้หลีหน้าเจื่อนทันที
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามคนที่เหลือต่างอมยิ้ม
ใต้เชิงเขา
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งมองไปที่ศิษย์ร่วมสำนักที่เหลือไม่กี่คน
พวกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งส่ายสายตามา ต่างหดตัวอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ กลัวว่าตนจะถูกชี้ให้ออกไปสู้
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งยกคิ้ว ครั้งนี้นางพาศิษย์ระดับสร้างรากฐานมาสิบกว่าคน เดิมทีได้วางแผนอย่างรอบคอบ กลับไม่คิดว่าต้องพ่ายแพ้ต่อฝ่ายตรงข้ามรวดเดียวสี่คน นี่ก็ช่างเถอะ จุดจบของแต่ละคนดันยังไม่สู้น่าดูนัก นี่เป็นการสร้างแรงกดดันทางใจอย่างใหญ่หลวงให้ศิษย์ที่เหลืออยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
ต้องรู้ว่านิกายเหอฮวนเป็นสำนักที่ตั้งขึ้นด้วยหญิงสาวทั้งหมด ยามที่เลือกศิษย์ยังอุตส่าห์เลือกคนที่หน้าตาโดดเด่น บวกกับวิชายุทธ์ที่บำเพ็ญเพียรล้วนมีฤทธิ์ในการรักษาโฉม ไหนจะมีการบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชายุทธ์ลับของมนตร์เสน่หาอีก ไม่ว่าศิษย์คนไหนเดินออกจากสำนักไป ล้วนสามารถดึงดูดสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรมากมาย เป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรชายละเมอเพ้อหา
ดังนั้นพวกนางส่วนใหญ่ชินกับการถูกเอาใจจากผู้บำเพ็ญเพียรชายมากมายมานานแล้ว ต่อให้ในยามสู้กัน เพราะความพิเศษของวิชายุทธ์ก็ได้เปรียบไปไม่น้อย
ทว่าใครจะรู้ว่าดันมาเจอมั่วชิงเฉินที่เป็นสตรีเหมือนกันแต่กลับห้าวหาญยิ่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรชายอีก การพ่ายแพ้ไม่น่ากลัวหรอก ทว่าพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายปานนั้น จึงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอ้อนแอ้นอรชรพวกนี้ต้องสะเทือนขวัญ
“พวกเจ้าใครจะออกมา?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งฝืนกดไฟโกรธไว้ ไม่ยอมเป็นตัวตลกในสายตาของคนพรรคเหยากวง แม้วันนี้จะถูกเห็นเป็นตัวตลกมามากพอแล้ว
มั่วชิงเฉินดีใจที่พวกนางถ่วงเวลา เช่นนี้ยังสามารถฉวยโอกาสฟื้นฟูพลังวิญญาณได้สักหน่อย
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งย่อมเข้าใจถึงจุดนี้ สายตาที่มองไปที่ศิษย์น้องร่วมสำนักจึงแฝงด้วยความเย็นชา
“ศิษย์พี่ ข้าเอง!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็ก ชุดสีแดงสดคนหนึ่งกัดฟัน เดินสวบๆ ออกมา
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กว่า “ศิษย์น้องหลี่ ระวังตัวหน่อย”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กแหงนหน้ายิ้มว่า “ศิษย์พี่วางใจ ข้าไม่กลัวนางหรอกนะ!” น้ำเสียงน่ารักไร้เดียงสาราวกับเด็กสาวอายุสิบกว่าปี
“เฮ้ย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชื่อมั่วชิงเฉินสินะ ชื่อก็ไพเราะอยู่ การกระทำกลับหยาบคายปานนี้ อาจารย์ข้าเคยบอกข้าว่า สตรีก็ควรมีลักษณะของสตรี มิเช่นนั้นต่อไปก็อย่าคิดจะออกเรือนไปได้เลย!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กยืนอยู่ตรงข้างมั่วชิงเฉิน เอ่ยอย่างโมโห
มั่วชิงเฉินจนด้วยคำพูด คู่ต่อสู้ใหม่ของตนใบหน้ากลมเหมือนเด็ก บนใบหน้ายังมีความตุ้ยนุ้ยของเด็ก ดูแล้วท่าทางไม่เกินสิบสี่สิบห้าปี เมื่อขึ้นมาถึงก็ใช้เรื่องแต่งไม่ออกมาข่มขู่ตนอย่างไม่คาดคิด ช่างไม่รู้จริงๆ ว่าสภาพจิตใจยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอหรือว่าแกล้งเป็นหมูกินเสือ[1]กันแน่
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง ไม่ว่าในสถานการณ์เช่นใด นางก็จะไม่ประมาท อายุจริงของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้เกรงว่าก็คงไม่มาก สามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับสร้างรากฐานระยะกลางด้วยอายุน้อยๆ เช่นนี้ จะมีสักกี่คนที่เป็นคนโง่
“ไยเจ้าถึงไม่พูดล่ะ?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กกัดปากว่า
มั่วชิงเฉินแสยะยิ้ม “สหายเต๋าหลี่ คิดว่าศิษย์ที่มุงดูเป็นหมื่นเป็นพันคงอยากรู้ว่าพวกเราใครจะแพ้ใครจะชนะมากกว่า ไม่ใช่ห่วงว่าข้าจะออกเรือนได้หรือไม่กระมัง ดังนั้นเรื่องนี้สหายเต๋าก็ไม่ต้องกังวลจะดีกว่า”
“ฮึ เช่นนั้นก็มาเถอะ นึกว่าข้ากลัวเจ้าหรืออย่างไร!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กพูดจบ ในมือก็ปรากฏห่วงทองที่ประดับเต็มไปด้วยกระพรวนขึ้นอันหนึ่ง
เมื่อมั่วชิงเฉินเห็นกระพรวนแล้วก็หนักใจเล็กน้อย เห็นทีวิธีจู่โจมของศิษย์นิกายเหอฮวนจะเน้นของข้างๆ คูๆ มากกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วตนก็ยิ่งต้องระวังตัวให้มากแล้ว
ในบรรดาศิษย์ที่มุงดูมีอยู่คนหนึ่งใส่ชุดศิษย์ฆราวาสหันหน้าไป พูดกับคนข้างๆ ว่า “ที่จริง ข้าเป็นห่วงอาจารย์อามั่วมากจริงๆ ว่าตกลงจะออกเรือนไปได้หรือไม่…”
ศิษย์ข้างๆ นิ่งเงียบอยู่ครึ่งค่อนวันถึงเอ่ยว่า “วางใจได้ หากไม่ไหวจริงๆ…ยังมีอาจารย์อาเยี่ยมิใช่หรือ…”
ศิษย์ที่อยู่รอบๆ ได้ยินการสนทนาของสองคนนี้แล้วพยักหน้าพร้อมกัน
ท่ามกลางฝูงชน เยี่ยเทียนหยวนที่ก้มหน้าลงเล็กน้อยได้ยินคำพูดนั้นโดยไม่ตกหล่นสักคำ สีหน้าอดบึ้งตึงไม่ได้ ยกเท้ากำลังจะจากไปกลับต้องหยุดฝีเท้าทั้งอย่างนั้นอีก
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กหน้านิ่งตึง สายตาจ้องมั่วชิงเฉินไม่เขม็งจากนั้นขยับข้อมือ เสียงกระพรวนอันไพเราะก็หลั่งไหลออกมาทันที
เสียงกระพรวนนี้และเสียงกระพรวนที่ออกจากกระพรวนที่ผูกอยู่บนผ้าขาวของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายต่างกันยิ่งนัก
เสียงกระพรวนของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายฟังแล้วน่าหลงใหลตรึงใจ ทำให้คนมึนงงอยากนอน ทว่าห่วงทองในมือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กประดับด้วยกระพรวนเล็กสิบกว่าอัน เมื่อขยับข้อมือกระพรวนก็กระทบกัน แล้วกระทบกับห่วงทองอีก เสียงกระพรวนนั้นกลับกังวานเสนาะหู
เพียงแต่หลังจากเสียงกระพรวนดังขึ้นก็เปลี่ยนเป็นคลื่นเสียงที่จับต้องได้อย่างไม่คาดคิด พุ่งไปที่มั่วชิงเฉินเป็นสายๆ
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าการสู้กันครั้งนี้ช่างเปิดหูเปิดตาเหลือเกิน อาศัยเพียงข้อนี้ข้อเดียว ขอเพียงพยายามสุดความสามารถ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรก็ไม่เสียดายแล้ว
มั่วชิงเฉินมีเพียงชามกระเบื้องใบใหญ่เป็นอาวุธเวทป้องกัน หลังจากถูกผู้เฒ่าสามตระกูลหวังที่ทะเลขนาบใจทำเสียยังไม่ทันได้ซ่อมแซม ดังนั้นเมื่อประจันหน้ากับการจู่โจมของคู่ต่อสู้ จึงได้แต่ใช้รุกต้านรุก
ทว่าประลองกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันติดกันถึงสี่คน ภายนอกมั่วชิงเฉินดูแล้วแม้ไม่เป็นไร การเผาผลาญพลังวิญญาณกลับไม่น้อย พละกำลังและจิตใจก็มีร่วงลงไปบ้าง
และภายใต้สถานการณ์สู้อย่างต่อเนื่อง นางได้แต่สนใจกลืนโอสถเติมวิญญาณเติมพลังวิญญาณให้ได้มากที่สุด จะทันกินโอสถฟื้นจิตเติมพละกำลังที่ไหนล่ะ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ได้แต่รีบสู้รีบจบแล้ว
เมื่อความคิดนี้แวบผ่านมั่วชิงเฉินยกแขนสองข้างขึ้นพร้อมกัน กางนิ้วออก มุกสีแดงขนาดเท่าเม็ดลำไยหลายเม็ดก็บินออกมา
มุกสีแดงบินถึงกลางคันจู่ๆ ก็เติบโตขึ้นด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวดเป็นดอกตูมสีแดงขนาดมหึมาดอกหนึ่ง จากนั้นดอกตูมสั่นไหวบานออก เผยให้เห็นเกสรสีเหลืองสดข้างใน มองจากที่ไกลๆ ก็เหมือนยามพระอาทิตย์ขึ้น ย้อมเมฆผืนใหญ่ให้เป็นสีแดง
“หา นั่น นั่นอะไรน่ะ?” ศิษย์ที่มองดูจำนวนไม่น้อยร้องด้วยความตกใจ
“สมบัติวิเศษกระมัง น่าจะเป็นสมบัติวิเศษ” มีคนเอ่ย
คนข้างๆ หัวเราะฟู่ว่า “มีสมบัติวิเศษเช่นนั้นที่ไหนกัน ข้าว่าน่าจะเป็นคาถา อาจารย์อามั่วเชี่ยวชาญคาถาธาตุไม้มิใช่หรือ?”
“โอ้โห ช่างเป็นคาถาที่งดงามเหลือเกิน เขาก็จะไปเขาชิงมู่ ฝึกฝนคาถาธาตุไม้!” มีศิษย์หญิงมองดูดอกไม้สีแดงที่ผลิบานอยู่กลางอากาศ ปราณวิญญาณเป็นประกายสะอาด งดงามอ่อนช้อยเหมือนอยู่ในความฝัน ดวงตาเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่รวมตัวอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งถอนใจว่า “ศิษย์พี่มั่วชนะสี่คนติดกันแล้ว ยามนี้ยังร่ายคาถาเช่นนี้อีก ช่างเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลยจริงๆ”
ศิษย์ระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่งส่ายศีรษะว่า “ศิษย์น้องเกรงว่าจะเข้าใจคาถาธาตุไม้ไม่มาก พลังจู่โจมของคาถาธาตุไม้แม้ไม่โดดเด่น กลับมีข้อได้เปรียบที่คาถาธาตุอื่นไม่อาจเทียบเคียงได้ ศิษย์น้องรู้หรือไม่ว่าคืออะไร?”
“ขอศิษย์พี่โปรดชี้แนะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนนั้นหัวเราะ “ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนคาถาธาตุไม้ ใช้พลังวิญญาณเพียงน้อยนิดก็สามารถเร่งให้เมล็ดพันธุ์ของพฤกษาวิญญาณงอกได้ จากนั้นใช้พฤกษาวิญญาณแปลงเป็นคาถาแทนพลังวิญญาณ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่ประหยัดพลังวิญญาณได้มากมาย หากเลือกใช้พฤกษาวิญญาณได้เหมาะสม อานุภาพของคาถายังจะเพิ่มขึ้นมากมายอีกด้วย น่าเสียดายพฤกษาวิญญาณที่เหมาะกับการเร่งให้โตส่วนใหญ่ไม่มีที่โดดเด่น มิเช่นนั้นจะมีที่ยืนให้ผู้บำเพ็ญเพียรธาตุอื่นเช่นเราที่ไหนกัน”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
ระหว่างที่ศิษย์ที่มุงดูถกเถียงกันอยู่ ลานประลองก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแล้ว
เห็นเพียงดอกไม้สีแดงเพลิงที่จู่ๆ ก็โผล่มากลางอากาศราวกับมีพลังดูดก็ไม่ปาน กลืนคลื่นเสียงที่จู่โจมมาที่มั่วชิงเฉินจนสิ้น จากนั้นกลีบดอกหุบลงค่อยๆ ดุกดิกเหมือนกำลังเคี้ยวอยู่ ความงดงามแต่เดิมกลายเป็นความสยองทันที ทำให้ผู้ชมขนพองสยองเกล้า
ศิษย์หญิงคนหนึ่งพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ น่ากลัวจังเลย หากที่กลืนลงไปเป็นคน…” พูดถึงตรงนี้แล้ววทำท่าอาเจียน
ศิษย์ชายที่อยู่ข้างๆ ว่า “จะกลืนคนลงไปได้อย่างไรกัน…” พูดถึงข้างหลังน้ำเสียงกลับเปลี่ยนจากแน่ใจเป็นลังเล แล้วพึมพำในใจว่า อาจารย์มั่วทำเรื่องเช่นนี้ออกมาก็คงไม่น่าแปลกกระมัง?
ครั้นมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กอีกครั้ง ใบหน้าก็เกิดความเห็นใจขึ้นมา
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กกัดริมฝีปาก มือสั่นเสียงกระพรวนก็ดังไม่ขาดสาย คลื่นเสียงที่จับต้องได้เหมือนคมดาบที่ดึงจนยาวและบางจู่โจมไปที่มั่วชิงเฉินอีกครั้ง
ฮึ ศิษย์พี่พูดแล้ว ต่อให้แพ้แล้วจะเป็นอะไรไป สามารถผลาญพลังวิญญาณของเจ้าให้มากๆ ได้ ศิษย์พี่ที่อยู่ด้านหลังก็จะชนะเจ้าเอง! ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กแอบคิด
มั่วชิงเฉินมองดูคู่ต่อสู้ใช้พลังวิญญาณปริมาณมากปลุกอาวุธเวทอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด การโจมตีมาเหนือชั้นกว่า จึงเข้าใจถึงแผนการของอีกฝ่าย จึงโยนมุกสีแดงออกไปมากขึ้นอย่างไม่ลังเลทันที ดอกไม้ที่บานออกกลืนคลื่นเสียงที่จับต้องได้เข้าไปจนไม่เหลือหลอ
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กเห็นการโจมตีถูกมั่วชิงเฉินขวางไว้อีกครั้ง กระทืบเท้าอย่างแรง จากนั้นชิดนิ้วชี้และนิ้วกลางมือซ้ายเข้าหากันวาดเส้นโค้งขึ้นสายหนึ่งกลางอากาศ ปลายนิ้วแตะห่วงทอง ตะโกนว่า “ไป!”
ห่วงทองในมือของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงจรัสแสงขึ้นทันที กระพรวนสิบกว่าอันข้างบนหลุดออกจากห่วงทองบินไปที่มั่วชิงเฉินอย่างไม่คาดคิด
กระพรวนสิบกว่าอันกลางอากาศยิ่งบินยิ่งเร็วยิ่งบินยิ่งใหญ่ ถึงตอนท้ายไม่คิดว่าจะใหญ่ขึ้นจนขนาดเท่าระฆัง พอที่จะครอบคนไว้ภายใน และการโจมตีอย่างสุดกำลังของอีกฝ่าย ที่วางแผนไว้ก็คือสิ่งนี้!
ดอกไม้สีแดงเพลิงสิบกว่าดอกที่มั่วชิงเฉินโยนออกมาต่างกลืนกระพรวนเข้าไป ทว่ายังไม่รอให้นางพักหายใจ ก็เห็นดอกไม้พวกนี้ดุกดิกไปมายิ่งดิ้นยิ่งรุนแรง ไม่นานก็ยุบๆ พองๆ สุดท้ายระเบิดออกดังเปรี้ยง ราวกับดอกไม้ไฟที่จุดปล่อยไปในอากาศ จากนั้นกลายเป็นฝนกลีบดอกไม้ร่วงลงมาตามๆ กัน
กระพรวนที่หลุดพ้นจากการกักแรงจู่โจมไม่ลด กระจายออกสี่ทิศครอบไปเหนือศีรษะมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินร่ายเคลื่อนเงาเลือนรางไม่ได้หยุด หลบหลีกกระพรวนไปมา
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กหัวเราะคิกคัก ยกมือขึ้นโยนยันต์ระเบิดไฟเป็นตั้งๆ ตามทิศทางที่มั่วชิงเฉินหลบหลีกอีก
มั่วชิงเฉินในสายตาผู้คนยามนี้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันมากอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งต้องหลบหลีกการไล่ตามของกระพรวนอย่างเต็มกำลัง อีกทั้งยังต้องรับมือยันต์ระเบิดไฟที่ระเบิดออกดังโครมๆ
ยันต์ระเบิดไฟหลายใบระเบิดขึ้นอีกตรงที่ที่ห่างจากมั่วชิงเฉินไม่เกินสามฉื่อ ชุดประจำสำนักที่นางใส่ถูกระเบิดเป็นรูดำเล็กๆ นับไม่ถ้วนทันที ความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจส่งผ่านมาจากทั่วทุกส่วนของร่างกาย
มองดูรอยยิ้มได้ใจของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็ก มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งลง ล้วงก้อนกลมสีดำที่นางตั้งชื่อให้ว่าระเบิดสะท้านฟ้าโยนออกไปอย่างไม่เกรงใจ
——
[1] แกล้งเป็นหมูกินเสือ เป็นคำสุภาษิต หมายถึง การปิดบังความสามารถที่แท้จริง แกล้งทำตัวอ่อนแอ โง่เขลา หลอกให้ศัตรูชะล่าใจแล้วลงมือเอาชนะทันที