พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 212 รับผิดชอบฆ่าไม่รับผิดชอบฝัง
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำถูกห่วงดอกไม้กักไว้ ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต กลับพบว่าพลังวิญญาณในร่างค่อยๆ ไหลออก บนตัวไม่มีพละกำลังแม้แต่น้อย สุดท้ายล้มลงกับพื้นอย่างไม่ให้สุ้มเสียงเหมือนปลาที่กำลังจะตายกระตุกไปสองที แล้วไม่มีความเคลื่อนไหวอีก
ห่วงดอกไม้บนตัวนางกระจายออกในชั่วพริบตา บุปผาวิญญาณหมื่นพันดอกบินว่อนกระจายไปทั่ว กลายเป็นแสงวิญญาณกระจายหายไปในอากาศ
มั่วชิงเฉินมือถือกระบี่ชิงมู่ ใช้ปลายกระบี่แตะพื้น มองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อย่างเงียบๆ สุดท้ายมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้ง
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งสีหน้าขาวกว่าหิมะเสียอีก เอ่ยอย่างเหลอหลาว่า “เจ้า เจ้าฆ่านางแล้ว?”
“นางยังมีชีวิตอยู่” มั่วชิงเฉินพูดจบก็หันหลังไป เดินไปตามทิศทางที่ประตูสำนักพรรคเหยากวงตั้งอยู่ทีละก้าวๆ
จนกระทั่งยามนี้ ศิษย์เหยากวงที่มุงดูถึงได้สติกลับมา โห่ร้องเสียงดังมา
“ชนะแล้ว อาจารย์อามั่วชนะแล้ว!”
“อาจารย์อามั่วจงเจริญ!”
“อาจารย์อามั่ว ข้ารักท่าน!” ไม่รู้ศิษย์คนไหนตะโกนขึ้นเสียงดัง
รอบด้านเงียบสงบไปชั่วครู่ จากนั้นมีคนมากขึ้นตะโกนว่า “อาจารย์อามั่ว ข้ารักท่าน!”
มั่วชิงเฉินก้าวสะดุดศีรษะเกือบทิ่มลงพื้น รีบยืนให้นิ่ง แล้วแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง
สวรรค์ นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเหล่าศิษย์ร่วมสำนักลำพังอาศัยเพียงคำพูดพลังการทำลายล้างจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
“เจ้า เจ้าหยุดนะ!” เสียงตะคอกของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งลอยมาจากด้านหลัง
มั่วชิงเฉินหันหน้าไป สายตาส่องประกายแผ่วเบา “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”
“เจ้ากล้าประลองกับข้าสักยกหรือไม่?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นเยือก
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นเบาๆ “นี่ก็เป็นการประลอง ‘เยือนสำนัก’?
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งชะงัก จากนั้นว่า “ไม่ใช่ เพียงแต่ในเมื่อเจ้าสามารถชนะรวดเจ็ดคน จะกล้าประลองกับข้าสักตั้งหรือไม่ ให้พวกเราได้กลับไปอย่างยอมทั้งกายใจ?”
มั่วชิงเฉินเอียงศีรษะเพ่งพิศผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งปราดหนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะฟู่เสียงหนึ่งว่า “สหายเต๋าช่างตลกจริงๆ ข้าชนะรวดเดียวเจ็ดคนแล้ว ชนะนิกายเหอฮวนของเจ้าในการท้าประลอง ‘เยือนสำนัก’ โดยสมบูรณ์แล้ว ยังจะประลองกับเจ้าระดับสร้างรากฐานระยะปลายไปไย? ขออภัย ข้าไม่มีเวลามากปานนั้น” พูดจบก็ไม่สนใจอีก เร่งฝีเท้าเดินหน้าต่อไป
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งจ้องเงาหลังมั่วชิงเฉินเขม็ง ร่างกายสั่นเทิ้มแผ่วเบา นางสามารถคาดการณ์ได้ กลับไปถึงสำนักพวกนางต้องกลายเป็นเรื่องตลกของศิษย์พี่น้องร่วมสำนักเป็นแน่ ต่อให้อาวุโสในสำนักก็ต้องชักสีหน้าใส่พวกนางเป็นแน่ โดยเฉพาะผู้นำเช่นนางคนนี้ ถูกลงโทษเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ต่อไปนี้นางอย่าคิดจะเงยหน้าในสำนักได้เลย!
และทุกอย่างนี้ ล้วนเกิดจากสตรีตรงหน้าคนนี้
สีหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งเปลี่ยนอย่างคาดการณ์ไม่ได้ ในแววตาค่อยๆ เปล่งแสงแห่งความบ้าคลั่ง
“ศิษย์พี่นางเป็นอะไรน่ะ?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนคนหนึ่งถามคนที่อยู่ข้างๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงข้างๆ ส่ายศีรษะว่า “ไม่รู้สิ ดูเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ…แย่แล้ว ศิษย์พี่นาง…นางธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว รีบ…”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นกระบี่สีแดงเล่มเล็กในมือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งจู่โจมไปที่หลังมั่วชิงเฉินเร็วดุจดาวตก ถึงกลางอากาศกระบี่เล่มเล็กจู่ๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้นขนาดเท่าน้ำตก แสงกระบี่ดุจน้ำตกที่ห้อยกลับหัว ซัดสาดพุ่งไปยังมั่วชิงเฉิน
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งแววตาเลื่อนลอยสีหน้าบ้าคลั่ง กรีดร้องว่า “ต้วนหลิว! ไปตายซะเถอะ มารร้าย เจ้าและอาจารย์ของเจ้าล้วนเป็นมารร้าย…อ๊าก…”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง ร่างทั้งร่างบินออกไปข้างหลังหลายจั้งถึงล้มลงพื้น สีหน้าขาวซีดไม่ขยับเขยื้อน
ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของผู้บำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วน เห็นเพียงแสงกระบี่สีแดงดั่งน้ำตกถูกห่วงทองคล้องติดกันเก้าห่วงตัดขาดอยู่กลางอากาศ เปลวไฟสีแดงบนห่วงทองลุกไหม้ขึ้นดุจไฟบรรลัยกัลป์ กลืนกินแสงกระบี่ทั้งหมดไปอย่างรวดเร็ว กระบี่สีแดงเล่มเล็กกลางอากาศหดกลับไปขนาดเท่าฝ่ามือใหม่ แล้วร่วงลงพื้นดังเคร้ง
“ศิษย์น้องมั่ว เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?” เยี่ยเทียนหยวนเก็บเก้าห่วงไฟบรรลัยกัลป์กลับมา แล้วมองไปที่มั่วชิงเฉินถามขึ้นว่า
มั่วชิงเฉินยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร ศิษย์พี่เยี่ย ขอบคุณท่านมาก” พูดจบหันหลังกลับ ไม่คิดว่าจะเดินลงมาข้างล่างอีก
“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ท่านไม่เป็นไรนะ ท่านฟื้นสิ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนไม่กี่คนล้อมผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งไว้เรียกอย่างร้อนใจ
เห็นมั่วชิงเฉินเดินมาทีละก้าวๆ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งหลายสีหน้าฉายแววหวาดกลัวระแวงขึ้นทันที
“เจ้า เจ้าจะทำอะไร?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กเดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง กัดฟันถามว่า
สายตามั่วชิงเฉินกวาดผ่านหน้าอกนางอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กหน้าถอดสีทันที เอ่ยด้วยความโกรธว่า “นางมาร เจ้าจะเอาอย่างไร?” สีหน้านั้น ราวกับคนที่เดินมาไม่ใช่หญิงสาวหากแต่เป็นคนบ้ากามคนหนึ่ง
มั่วชิงเฉินหรี่ตาเล็กน้อย กวาดสายตาผ่านผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนทั้งหมดแล้วยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “นางมาร? มารร้าย? ดูท่าทางพวกเจ้านิกายเหอฮวนชอบใช้คำสองคำนี้มากนี่นา วันนี้ก็จะให้ทุกคนได้เห็น ว่าอะไรคือมารร้ายที่แท้จริง!”
เพิ่งสิ้นเสียง มั่วชิงเฉินก็ยกมือเปล่าขึ้น สาดผงสีชมพูกำหนึ่งใส่เหล่าหญิงสาวนิกายเหอฮวน
เหล่าหญิงสาวนิกายเหอฮวนแม้ระมัดระวังอยู่ก่อนกลับหลบหลีกไม่ทัน ถูกผงสีชมพูสาดโดนเต็มๆ
แล้วก็เห็นหญิงสาวที่งามดุจบุปผาหยกงามสิบกว่าคน ศีรษะกลายเป็นหัวหมูใหญ่ๆ ในชั่วพริบตา
“อ๊าก!” ผู้คนที่มุงดูถอยหลังไปก้าวใหญ่ๆ พร้อมกัน
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนต่างใช้นิ้วมือชี้ศีรษะของอีกฝ่าย กรีดร้องไม่หยุด จากนั้นเหล่าหญิงสาวหยิบกระจกออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย แต่ละคนมองกระจกเพียงแค่ปราดเดียว ก็โยนกระจกลงพื้นโดยตรง ขณะเดียวกันก็กรีดร้องเสียงแหลมทะลุชั้นเมฆ จากนั้นเหลือกตาสลบไป
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงของนิกายเหอฮวน ช่างสลบง่ายจริงๆ เลย วันนั้นตนส่องกระจกชื่นชมอยู่สองชั่วยามเต็มๆ เชียวนะ ยังมีสติอยู่อย่างเข้มแข็งเลยนะ
มั่วชิงเฉินเบ้ปาก แล้วหันหลังเดินเข้าสำนักไปอย่างสง่าผ่าเผย
ในยามที่ศิษย์เหยากวงจ้องผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนที่สลบไสลไปพร้อมหัวหมูด้วยความสงสัยและแปลกใจนั้น เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังมาจากข้างเชิงเขาอีกแล้ว “หนึ่งจ่ายสองพัน หนึ่งจ่ายสองพัน ข้า ข้ารวยแล้ว!”
ผ่านไปเนิ่นนาน ศิษย์ผู้ดูแลชี้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนที่สลบไสล เอ่ยกับศิษย์ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งว่า “ทำเช่นไรดี?”
ศิษย์ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งเหลือบมองปราดหนึ่งว่า “อะไรทำเช่นไรดี ไปสิ”
“นี่ นี่ไม่ดีหรอกกระมัง รับผิดชอบฆ่าไม่รับผิดชอบฝังหรือนี่?” ศิษย์ผู้ดูแลก่อนหน้าเอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย
ศิษย์ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งยิ้มอย่างไม่ประสงค์ดีว่า “วางใจ ทิ้งไว้เช่นนี้แหละ ไม่มีคนทำอะไรพวกนางหรอก…ต่อให้ทำอะไร ก็ไม่เกี่ยวกับพรรคเหยากวงเรา”
“ก็ถูก ไป ดื่มสุรากัน เรื่องครึกครื้นวันนี้ช่างสะใจจริงๆ เลย”
ทั้งสองคนเดินเข้าสำนักไปตามศิษย์พรรคเหยากวงมากมาย
เยี่ยเทียนหยวนมองดูประตูสำนัก แล้วกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาวรูปใบไม้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“อาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว…” มั่วชิงเฉินร่อนลงจากบนฟ้าโดยตรง เห็นสามคนที่อยู่ข้างกู้หลีแล้วตกใจ กลับกลับมาใจเย็นอย่างรวดเร็ว แล้วคารวะต่อทั้งสามคนว่า “ศิษย์ชิงเฉินกราบคารวะท่านอาจารย์ลุงทั้งสาม”
นักพรตจื่อซีเดินเข้าไปเกี่ยวแขนมั่วชิงเฉินตรงๆ เพ่งพิศนางปราดหนึ่งแล้วยิ้มว่า “ศิษย์หลานชิงเฉิน วันนี้การกระทำของเจ้าช่างทำให้พวกเราตกใจจริงๆ เลย”
มั่วชิงเฉินกวาดมองกู้หลีปราดหนึ่ง ถึงว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ที่ไหนกัน ศิษย์หลานชิงเฉิน เจ้าสามารถชนะนิกายเหอฮวนโดยสมบูรณ์ เป็นการสร้างชื่อเสียงให้พรรคเหยากวงเราจริงๆ เลย แค่กๆ ตามหลักแล้วควรให้รางวัลอย่างหนัก เพียงแต่ก่อนหน้านี้เจ้าระเบิดถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดห้องหมายเลขสาม เป็นเรื่องใหญ่เชียว บัดนี้เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ถือว่าทำคุณถ่ายโทษแล้วล่ะ ศิษย์หลานชิงเฉินคงไม่โทษข้าหรอกนะ?” นักพรตฟางเหยาพูดแทรกขึ้น สีหน้าที่มองมั่วชิงเฉินกลับสนิทสนมกว่าเมื่อก่อนมากมาย
มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักพูดอะไรเช่นนั้นเจ้าคะ ศิษย์ไม่รู้เรื่องก่อเรื่องไว้ ท่านไม่กล่าวโทษศิษย์ก็ซาบซึ้งอย่างยิ่งแล้ว”
“ศิษย์น้องเหอกวง วันนี้ศิษย์หลานชิงเฉินประพฤติได้อย่างกล้าหาญเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นความดีความชอบในการสอนสั่งของเจ้า ไม่สู้เจ้าเอาสุราดีออกมาสักสองไหพวกเราและศิษย์หลานชิงเฉินได้ฉลองพร้อมกันสักคราเป็นเช่นไร?” นักพรตหมิงจ้าวเอ่ยอย่างดีใจออกนอกหน้า
กู้หลีสีหน้าบึ้งตึงว่า “ศิษย์พี่สาม บัดนี้เหอกวงไม่มีสุราทิพย์แล้ว ท่านว่าไว้วันหลังเป็นเช่นไร?”
“เอ่อ…”
นักพรตจื่อซีกระตุกนักพรตหมิงจ้าวทีหนึ่ง ยิ้มเอ่ยต่อกู้หลีว่า “ศิษย์น้องเหอกวง บัดนี้เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเราสามคนมารบกวนนานแล้วก็ขอกลับก่อนแล้วกัน ใช่แล้ว เรื่องนั้นเจ้าลองใคร่ครวญอีกทีนะ” พูดจบก็ก้าวขึ้นดอกบัวลอยออกออกจากป่าไผ่ไป
หลังจากไม่กี่คนนี้จากไป กู้หลีถึงจ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง
มั่วชิงเฉินถูกสายตาของกู้หลีมองจนใจตุ้มๆ ต่อมๆ ค่อยๆ ก้มหน้าลง
“มานี่” กู้หลีพูดด้วยเสียงยังนับว่าอ่อนโยน
มั่วชิงเฉินในใจโล่งขึ้นเล็กน้อย เดินไปหน้ากู้หลีอย่างว่าง่าย แล้วเรียกเสียงเบาว่า “อาจารย์”
กู้หลีมองดูศิษย์ที่ท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม ถอนใจอึดหนึ่งแล้วเอ็ดว่า “เจ้าเด็กใจกล้าบ้าบิ่น ตกลงกินอะไรเข้าไปกันแน่?”
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นกำลังจะตอบ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าในร่างกายว่างเปล่า ไม่มีพละกำลังค้ำจุนร่างกายได้อีกต่อไป อ่อนยวบล้มไปข้างหลัง
ระหว่างที่วิงเวียนคอของนางแห้งผากจนเปล่งเสียงไม่ออก เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดกู้หลีแล้ว
มองดูสีหน้าขาวอมม่วงของมั่วชิงเฉิน กู้หลีโกรธว่า “ชิงเฉิน ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกินโอสถระเบิดวิญญาณเข้าไป!”
ลมหายใจสะอาดที่คุ้นเคยส่งผ่านมา มั่วชิงเฉินอุ่นใจอย่างหาใดเปรียบไม่ได้ในทันที มองกู้หลีที่โกรธอยู่แล้วกะพริบตาดอกท้อ ยิ้มตาหยีว่า “อาจารย์ช่างเชี่ยวชาญในโอสถจริงๆ”
กู้หลีชะงัก มีใจจะต่อว่าสักสองประโยค รู้สึกถึงคนในอ้อมกอดตัวสั่นไม่หยุด กลับพูดไม่ออกอีกต่อไป จึงได้เพียงเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าเด็กนี่ไยอายุยิ่งมาก ยิ่งทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วง” พูดพลางกอดเอวอุ้มมั่วชิงเฉินขึ้นเดินเข้าห้องไป
“คุณหนู!” เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเห็นมั่วชิงเฉินในอ้อมกอดกู้หลีแล้วร้องอย่างตกใจ
“พวกเจ้าช่วยชิงเฉินทำความสะอาดสักหน่อยก่อน” วางมั่วชิงเฉินลงบนเตียง กู้หลีหยิบขวดหยกขาวออกมาใบหนึ่งยื่นให้สองคน แล้วกำชับอีกว่า “ทำความสะอาดเสร็จแล้วทางยาข้นวิญญาณในนี้ให้นางให้ทั่วๆ รอยาข้นวิญญาณถูกดูดซึมจนหมดแล้วค่อยใส่เสื้อให้นาง”
“เจ้าค่ะ” เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งรับคำพร้อมกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหลียงเฉินยกน้ำเลือดกะละมังแล้วกะละมังเล่าออกมา ขอบตาแดงก่ำ
กู้หลีที่ยืนเงียบๆ อยู่หน้าประตูตลอดเวลาในที่สุดก็ทนไม่ไหวถามขึ้นว่า “ชิงเฉินนางเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?”
เหลียงเฉินแสบตาทันที รีบหลุบตาลงว่า “คุณหนูนางหลับไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูช่างน่าสงสารจริงๆ บาดแผลบนร่างกายไม่น้อยกว่าร้อยแผล…”
พลานุภาพที่กระหน่ำมากะทันหันทำให้เหลียงเฉินถอยติดๆ กันไปหลายก้าว มองกู้หลีแล้วร้องอย่างตกใจว่า “ท่านนักพรต?”
กู้หลีเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปทำงานเถอะ” พูดจบเดินไปกลางลานบ้าน
ยอดเขาหลักเขาชิงมู่ นักพรตจื่อซีก้าวเข้าตำหนักใหญ่อย่างเร็ว มองเห็นหลิวซางเจินจวินแต่ไกลจึงเรียกว่า “อาจารย์…”
หลิวซางเจินจวินคิ้วกระตุกด้วยปฏิกิริยาสะท้อนกลับ แล้วถึงยิ้มว่า “จื่อซี ไยมาเวลานี้ล่ะ?”
นักพรตจื่อซีรีบวิ่งเข้าไป เข้าใกล้หลิวซางเจินจวินแล้วเล่าเรื่องวันนี้รอบหนึ่งอย่างดีอกดีใจ
“ไม่คิดว่าจะชนะรวดเจ็ดคน นางหนูน้อยทำได้ไม่เลว สายตาในการรับศิษย์ของเหอกวงก็ไม่เลวเหมือนกัน” หลิวซางเจินจวินฟังจบแล้วพยักหน้าว่า
การเยือนสำนักในสายตาของศิษย์ทั้งหมดนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ในสายตาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นพวกเขากลับเห็นเป็นเพียงพวกเด็กๆ ล้อกันเล่นเท่านั้น ทว่าไม่ว่าจะพูดเช่นไร ชนะแล้วใครๆ ก็ดีใจทั้งนั้น
“ก็นั่นน่ะสิ อาจารย์ ศิษย์ถูกใจศิษย์ของศิษย์น้องเล็กแล้ว ท่านให้ศิษย์น้องเล็กยกศิษย์ให้ข้าเถอะ” ในที่สุดนักพรตจื่อซีก็บอกเจตนาที่มา
หลิวซางเจินจวินกลับหน้าบึ้งลงว่า “เหลวไหล!”