พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 216 ความโกรธของกู้หลี
ดินแดนทวีปแห่งเทพแบ่งเป็นห้า ดินแดนเทียนหยวนตั้งอยู่ตรงกัน ฝ่ายอำนาจในการบำเพ็ญเพียรมากมายเหมือนดาวบนท้องฟ้า ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ส่วนแดนไท่ไป๋ตั้งอยู่ภาคตะวันตกของดินแดนเทียนหยวน เป็นสถานที่รวมตัวของผู้บำเพ็ญเพียรมาร
สำนักลั่วสยาในสี่สำนักแปดนิกายอยู่ด้านตะวันตกของดินแดนเทียนหยวน เป็นสำนักใหญ่ที่อยู่ใกล้แดนไท่เป๋าที่สุด
ขณะเดียวกันที่ตั้งอยู่ภาคตะวันตก ยังมีบ้านเกิดของมั่วชิงเฉินเมืองลั่วหยาง
หลิวซางเจินจวินฟังคำพูดของหรูอวี้เจินจวินแล้ว มือที่ลูบหนวดยาวชะงัก เสียงทุ้มลงเล็กน้อยว่า “เหตุการณ์รูปธรรมเป็นเช่นไร?”
หรูอวี้เจินจวินยื่นนิ้วมือขาวดังหยกดันกระดาษสีขาวข้ามไป เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่บอกว่ารู้สึกว่าทางนั้นไม่ค่อยมั่นคง อยากอยู่ดูต่ออีกสักพัก เพียงแต่รั่วซีทำอะไรไว้วางใจได้ เมื่อนางพูดเช่นนี้ ดูท่าทางคนของแดนไท่ไป๋ไม่ยอมเดียวดายอีกแล้ว ศิษย์พี่หลิวซาง ท่านคิดเช่นไรกับเรื่องนี้?”
หลิวซางเจินจวินนิ้วมือเคาะหน้าโต๊ะอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าบอกไม่ถูกว่า “ศิษย์พี่โส่วเต๋อกักตนอีกแล้ว”
หรูอวี้เจินจวินชะงัก จากนั้นถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง “ใช่”
ตามหลักแล้วเรื่องนี้ควรปรึกษาท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่ง ทว่าโส่วเต๋อเจินจวินอายุขัยใกล้เข้ามาแล้ว หลายปีมานี้กักตนบ่อยครั้ง นางถึงมาหาหลิวซางเจินจวิน เพราะอย่างไรเสียนอกจากโส่วเต๋อเจินจวินแล้ว หลิวซางเจินจวินเป็นคนที่มีตบะสูงที่สุดแล้ว
“ในเมื่อบัดนี้สำนักลั่วสยายังไม่มีข่าวอะไรลือออกมา คิดว่าเรื่องราวไม่นับว่าร้ายแรง อีกทั้งรั่วซีทำอะไรสุขุม มีนางอยู่ทางนั้นชั่วคราวคอยสอดส่องปัญหาไม่หนัก หากรั่วซีส่งข่าวมาอีก ไม่ว่าศิษย์พี่โส่วเต๋อออกจากกักตนหรือยัง เราก็ต้องส่งศิษย์กลุ่มหนึ่งไปสืบดู ศิษย์น้องหรูอวี้เห็นว่าเป็นเช่นไร?” หลิวซางเจินจวินเอ่ยเนิบๆ
หรูอวี้เจินจวินพยักหน้า “น้องก็คิดเช่นนี้เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว”
“อืม ถูกแล้ว ทางด้านศิษย์น้องเสวียนหั่วและศิษย์น้องเหิงตั๋วนั่นได้ข่าวหรือยัง?” หลิวซางเจินจวินถาม
หรูอวี้เจินจวินลอยขึ้นฟ้า ก้มหน้าเอ่ยว่า “ก็รบกวนศิษย์พี่หลิวซางบอกศิษย์พี่สองท่านทีเถอะ” พูดจบแขนเสื้อกระพือ ชายกระโปรงพลิ้วไหว ห่มแสงอาทิตย์อัสดงไปตามลมแล้ว
มั่วชิงเฉินบำเพ็ญเพียรอยู่ที่เขาป่าไผ่ทั้งวัน กลับตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้พบกู้หลีอีกเลย ผ่นไปครึ่งเดือนจู่ๆ สัมผัสได้ว่าเขตอาคมนอกป่าไผ่ถูกแตะต้อง เห็นคนที่มาคือกัวซุ่นเด็กหลอมอาวุธของศิษย์น้องเหยียนแห่งเขาหลิวหั่ว จึงสำแดงฝีมือเปิดเขตอาคมปล่อยคนเข้ามา
กัวซุ่นเดินสวบๆ เข้ามา ใบหน้าดำจนเขียวรูปร่างกำยำ ลักษณะเหมือนบิดาของเขาในปีนั้นไม่มีผิด
เห็นมั่วชิงเฉินยืนอมยิ้มอยู่ข้างสวนสมุนไพร จึงรีบคารวะอย่างนอบน้อมว่า “ศิย์เขาหลิวหั่วกัวซุ่นคารวะอาจารย์อามั่ว”
มั่วชิงเฉินทอดถอนใจ ปีนั้นยามที่พบกันครั้งแรก ตนเพียงแค่แปดขวบ เขาก็เพิ่งจะสิบปีเศษ ท่าทางไม่รู้เรื่องโลกภายนอก บัดนี้ใบหน้าแม้ดูหนุ่มอยู่ กลับมีความรู้สึกเหมือนผ่านโลกมาโชกโชน คิดว่าชีวิตของศิษย์จิปาถะคงไม่ดีนัก
“ศิษย์หลานกัวไม่ต้องมากพิธี นี่ช่วยข้าส่งของมาสินะ?” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน
กัวซุ่นยื่นถุงมาใบหนึ่งว่า “อาจารย์อาเหยียนสั่งให้ศิษย์ส่งอาวุธเวทมาให้อาจารย์อามั่ว อาจารย์อามั่วเชิญตรวจดู”
มั่วชิงเฉินหยิบชามกระเบื้องใบใหญ่ออกจากถุง ข้างชามเป็นเงาลื่น มองไม่เห็นรอยสักเส้น ซ่อมได้สมบูรณ์แบบไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆ กระทั่งดูแล้วยังกระจ่างกว่าเมื่อก่อนหลายส่วน จึงพยักหน้าอย่างพอใจว่า “ศิษย์น้องเหยียนฝีมือดีจริงๆ ศิษย์หลานกัว หินวิญญาณที่เหลือนี่ก็รบกวนเจ้านำไปให้ศิษย์น้องเหยียนเถอะ ขอบคุณเขาแทนข้าด้วย ต่อไปหากมีความจำเป็นยังต้องไปรบกวนเขาอีกแน่นอน…” พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักทันที ดูเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างไรอย่างนั้น “ไม่ ข้าส่งยันต์ส่งสารให้เจ้าดีกว่า เจ้าถึงเวลาก็มาเอาแล้วกัน”
กัวซุ่นกลั้นหัวเราะไว้แล้วพยักหน้า “ศิษย์ทราบแล้ว ศิษย์ขอตัวก่อน”
เห็นกัวซุ่นหันหลังจากไป มั่วชิงเฉินว่า “ช้าก่อน” พูดพลางดันมือไป ยาลูกกลอนรวมวิญญาณขวดหนึ่งก็เข้าไปในมือกัวซุ่น
“นี่…” กัวซุ่นยังไม่ได้สติกลับมา
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “จะให้ศิษย์หลานกัวเป็นธุระให้เปล่าๆ ได้อย่างไรกัน”
กัวซุ่นสีหน้าแดงก่ำทันที รีบเอ่ยว่า “ศิษย์จะรับของของอาจารย์อามั่วได้เช่นไรกัน”
มั่วชิงเฉินพูดอยู่หลายครั้ง เขากลับยืนกรานไม่ยอมรับไว้ ถูกบีบจนร้อนใจแล้วถึงอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ปีนั้นหากไม่ใช่อาจารย์อามั่วออกปากช่วยเหลือ ศิษย์ยังไม่ได้ก้าวเข้าประตูใหญ่พรรคเหยากวงก็ถูกไล่กลับไปแล้ว จะมีวันนี้ที่ไหนกัน บุญคุณใหญ่หลวงในอดีตยังไม่มีโอกาสตอบแทน บัดนี้จะรับบุญคุณจากอาจารย์อามั่วอีกได้เช่นไรกัน”
มั่วชิงเฉินทอดถอนใจในใจอีกครั้ง บางทีเรื่องง่ายแค่พลิกฝ่ามือสำหรับเจ้า ในใจของอีกคนหนึ่งกลับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง ก็เหมือนนางที่มีต่อกัวซุ่น พ่อลูกกัวซุ่นต่อนาง การกินการดื่ม ย่อมมีเหตุและผล
“ท่านอากัวสบายดีหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามช้าๆ
กัวซุ่นเบิกตากว้าง มองมั่วชิงเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า เจ้ารู้จักบิดาข้า?” ตกใจจนแม้แต่คำยกย่องก็ลืมใช้แล้ว
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “ยี่สิบกว่าปีก่อนท่านอากัวและเจ้ารับปู่หลานสองคนที่ตกระกำลำบากเข้าเมือง…”
กัวซุ่นสีหน้าฉายแววเลื่อนลอย เวลานานเกินไปแล้วจริงๆ ยามเด็กเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร ความทรงทำในยามนั้นเลอะเลือนไปหมดแล้ว ทว่าเห็นลักยิ้มข้างปากมั่วชิงเฉินแล้วกลับแวบคิดขึ้นมาได้ทันใด หลุดปากออกมาว่า “เจ้า เจ้าคือน้องสาวคนนั้น”
พูดจบชะงักทันที สีหน้าแดงก่ำว่า “ขออาจารย์อามั่วโปรดให้อภัยที่ศิษย์เสียมารยาท”
“ไม่ต้องพิธีรีตองปานนี้ ท่านอากัวบัดนี้สบายดีหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามอีก
กัวซุ่นก้มหน้าว่า “บิดาข้าบัดนี้ร่างกายยังแข็งแรง เพียงแต่สามปีก่อนกลับไปเยี่ยมท่าน ท่านก็ไม่อนุญาตให้ข้ากลับไปทุกปีอีก กลัวเสียเวลาการบำเพ็ญเพียรของข้า”
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็รีบรับยาลูกกลอนรวมวิญญาณเสีย บัดนี้ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน โอสถพวกนี้ไว้ในมือจนขึ้นราก็ไม่ได้ใช้ กลับกำลังเหมาะเจาะสำหรับเจ้า”
กัวซุ่นยังอยากพูดอะไรอีก มั่วชิงเฉินกลับเบิ่งตาใส่เขาปราดหนึ่ง “ลูกผู้ชายไยถึงจู้จี้เพียงนี้ เจ้ารีบสำเร็จสร้างรากฐาน กลับไปให้ท่านอากัวได้ดีใจเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ”
ในที่สุดกัวซุ่นก็รับยาลูกกลอนรวมวิญญาณไว้ กลับพึมพำว่า “บัดนี้ข้ายังเป็นศิษย์จิปาถะอยู่เลย”
มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ปีนั้นข้าก็เป็นศิษย์จิปาถะ พวกเราสองคนยังเข้ามารอบเดียวกันนะ บัดนี้แม้เจ้ายังเป็นศิษย์จิปาถะ ตบะก็อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบแล้ว อีกทั้งยังได้รับการชื่นชมจากศิษย์น้องเหยียน คิดว่าพรสวรรค์ในด้านการหลอมอาวุธคงไม่ธรรมดา ไม่แน่อาจมีทางออกอื่นก็เป็นได้”
คำพูดนี้ช่างปลุกปั่นใจของกัวซุ่นยิ่งนัก คารวะมั่วชิงเฉินอย่างจริงจังอีกครั้งถึงหันหลังจากไป
หลายปีมานี้แม้ลำเค็ญเพียงใด เขาเคยยอมแพ้ที่ไหน กลับเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดกับเขาว่า เขาดีมาก เขาต้องมีทางออก
มั่วชิงเฉินเก็บชามใหญ่ขึ้นอย่างดี และจัดระเบียบสวนสมุนไพรกับเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งอีก เมื่อชีวิตสงบมากจึงคิดจะหาอะไรทำขึ้นมา ตัดสินใจไปดูที่โถงแสดงยุทธ์เสียหน่อย
โถงแสดงยุทธ์ตั้งอยู่ที่เขาโฮ่วเต๋อ เป็นสถานที่ที่ศิษย์ในสำนักใช้เพื่อประลองแลกเปลี่ยนเพิ่มพูนประสบการณ์การสู้จริง
ข้างในแบ่งเป็นหลอมลมปราณ สร้างรากฐาน ก่อแก่นปราณสามลานประลองตามตบะที่ต่างกัน ลานหลอมลมปราณแบ่งเป็นลานเล็กๆ นับร้อยลานอีก ส่วนสร้างรากฐานเพียงแต่แบ่งลานใหญ่ลานเดียวเป็นเก้าเขต สามารถให้ผู้บำเพ็ญเพียรเก้าคู่ประลองพร้อมกันได้ ส่วนก่อแก่นปราณก็มีเพียงลานเดียว ผู้บำเพ็ญเพียรต่ำกว่าระดับก่อแก่นปราณห้ามชมการประลอง
ลานประลองทั้งสามแห่งวางเขตอาคมพิเศษไว้ ปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเพียรสู้กันเพียงไหนก็ไม่ทำให้พื้นที่เสียหายยิ่งไม่ทำให้คนที่มุงดูถูกลูกหลง
ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายยามไม่มีอะไรทำก็จะชอบไปโถงแสดงยุทธ์ ไม่ว่าขึ้นไปสู้สักยกหรือมุงดู ล้วนได้ประโยชน์
มั่วชิงเฉินคิดจะไปโถงแสดงยุทธ์ ก็เพราะวันนั้นยามสู้ครั้งสุดท้ายกับนิกายเหอฮวนการใช้เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ดูเหมือนเข้าสู่เขตแดนมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง การผสานกันของจังหวะและความคิดเช่นนั้นต่อให้หลังจากนั้นนางพยายามลอง กลับไปไม่ถึงเสียที
เดิมทีตั้งใจจะถามอาจารย์ดู ทว่าคงทำให้อาจารย์ตกใจเสียแล้ว หลายวันมานี้ไม่เห็นเงามาตลอด ตนเองก็คิดไม่ออกอีก จึงไปหาคนตีกันสักตั้งให้รู้แล้วรู้รอดไปไม่แน่อาจตระหนักขึ้นมาก็ได้
คิดถึงการที่กู้หลีหลบหน้าไม่พบ อย่างไรเสียมั่วชิงเฉินก็กลัดกลุ้มอยู่บ้าง จึงรีบโยนความคิดที่น่าอารมณ์เสียพวกนี้ทิ้งไป นั่งชามใหญ่มุ่งหน้าไปเขาโฮ่วเต๋อ
ส่วนยามนี้กู้หลีกลับกำลังอยู่เขาหลิวหั่ว กำลังหน้าเขียวมองคนตรงข้าม
ผู้ชายตรงข้ามผมสยายออก ใบหน้าดำจนเขียว คือนักพรตชิงเสอที่มั่วหลีลั่วพูดถึงนั่นเอง
เห็นกู้หลีสีหน้าบึ้งตึง นักพรตชิงเสอกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่า “ศิษย์น้องเหอกวง เจ้าทำสีหน้าเช่นนี้ไปไย เพื่อหลอมเสื้อวิเศษชุดนั้นให้เจ้า หลายวันมานี้ข้าไม่ได้นอนดีๆ เลย ใครจะรู้ว่าเจ้าไม่เพียงไม่ซาบซึ้ง ยังชักสีหน้าใส่ข้าอีก เฮ้อ เป็นคนดีนี่ช่างยากจริงๆ เลย!”
ฟังความไม่พอใจของนักพรตชิงเสอ กู้หลีโมโหจนมือสั่นหมดแล้ว กัดฟันแล้วกัดฟันอีกถึงว่า “ศิษย์พี่ชิงเสอ เจ้าอุตส่าห์หลอมอาวุธเวทให้เหอกวงย่อมซาบซึ้งเป็นธรรมดา ทว่า ทว่าไยเจ้าถึงหลอมเสื้อวิเศษออกมาสารรูปเช่นนี้!”
นักพรตชิงเสอเอาแขนเสื้อพัดลม ถึงเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “เป็นอันใด ข้าสิ้นเปลืองวัตถุดิบหรืออย่างไร?”
“เปล่า” กู้หลีกัดฟัน
“เช่นนั้นหรือว่าเสื้อวิเศษที่ข้าหลอมออกมาคุณภาพต่ำตม ไม่คู่ควรกับหัวใจผลึกแก้วที่เจ้าหามาอย่างยากลำบาก?” นักพรตชิงเสอถามอีก
“ก็ไม่ใช่ ศิษย์พี่ชิงเสอผสานหนังท้องอสูรทะเลนั้นกับหัวใจผลึกแก้วได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ” กู้หลียังคงสีหน้าดูไม่ได้
นักพรตชิงเสอสะบัดแขนเสื้อที่ใหญ่โต “ก็นั่นน่ะสิ ในเมื่อดีไปเสียทุกอย่างเช่นนี้ เจ้ายังคิดจะเอาอะไรอีก?”
กู้หลีมือสั่น ฝืนอดกลั้นความบุ่มบ่ามที่จะชักกระบี่ออกมา พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ทว่าเจ้าหลอมเสื้อวิเศษออกมาสารรูปเช่นนี้!” พูดพลางยกมือขึ้นเสื้อวิเศษสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ หัวใจผลึกแก้วห้าสีส่องประกายวิบวับ
หากมีคนอยู่นี่ก็จะเข้าใจว่ากู้หลีที่ปกติใจเย็นดั่งลมไยโกรธจนเป็นเช่นนี้ ที่แท้เสื้อวิเศษในมือเขา ไม่คิดเลยว่า ไม่คิดเลยว่าจะเป็น…ตู้โตว[1]…ที่สตรีใส่กัน
มองเสื้อวิเศษเพียงปราดเดียวกู้หลีก็รีบเก็บมันกลับไป โคนหูแดงไปหมด
ให้เขาเอาเสื้อวิเศษนี้ให้ศิษย์ ยังไม่สู้ฆ่าเขาโดยตรงดีกว่า
นักพรตชิงเสอกลับทำสีหน้าจริงจัง พูดอย่างมีหลักการว่า “ศิษย์น้องเหอกวงจะตื่นเต้นปานนี้ไปไย สิ่งที่พวกเราคนหลอมอาวุธเน้นก็คือหลอมสิ่งของที่เหมาะสมกับวัตถุดิบที่สุดออกมา แสดงประโยชน์ใช้สอยออกมาให้ถึงที่สุด ส่วนรูปร่างเป็นเช่นไรนั้นสำคัญตรงไหน ยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่านั้นหนังปลาที่เจ้าให้ข้าชิ้นนั้นก็ใหญ่เพียงเท่าฝ่ามือ ยังย้ำว่าต้องหลอมเป็นเสื้อผ้า ยังต้องปกป้องส่วนที่อ่อนแอที่สุด ยังต้องใช้หัวใจผลึกแก้วของเจ้าด้วย อะ อะ เจ้าพูดสิ ข้าไม่หลอมเป็นตู้โตว หรือว่าจะให้หลอมเป็นชุดยาวหรืออย่างไร!”
พูดถึงตรงนี้นักพรตชิงเสอก็โกรธขึ้นมาแล้วเช่นกัน
กู้หลีปากสั่นแล้วสั่นอีก สุดท้ายก็ยกตัวกระโดดขึ้นกระบี่บินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
ร่อนลงจากฟ้า กู้หลีลังเลอยู่ไม่รู้ควรเดินเข้าไปหรือไม่ อสูรเสือพายุทะลุฟ้ากลับพุ่งเข้ามาแล้ว ถูไถเขาอย่างใกล้ชิด
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งได้ยินความเคลื่อนไหวเดินออกมา แล้วรีบคารวะลงกราบว่า “ท่านนักพรต ท่านกลับมาแล้ว”
กู้หลีใบหน้ากลับมาสงบดังเดิม สายตากลับกวาดไปข้างหลัง “ชิงเฉินล่ะ?”
สองคนประสานสายตากันปราดหนึ่ง ถึงว่า “คุณหนูไปโถงแสดงยุทธ์แล้วเจ้าค่ะ”
กู้หลีถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ตัว กำลังจะเข้าเรือนกลับจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง “อาจารย์”
——
[1] ตู้โตว คือ ผ้าปิดหน้าอกของผู้หญิง จะสวมใส่แนบติดตัว ถือเป็นเสื้อชั้นในก็ว่าได้