พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 227 วิญญาณเอยกลับสู่ที่ใด
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าและศิษย์หลานชิงเฉินรักษาตัวให้ดี ข้าไปก่อนแล้ว” นักพรตหมิงจ้างหลังจากส่งพวกกู้หลีสองคนกลับเขาป่าไผ่ ก็ร่ำลาจากไป
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเดินเข้ามา เห็นกู้หลีและมั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียวทั้งคู่ เสื้อผ้าที่ใส่เปียกชุ่ม แล้วอดตกใจยกใหญ่ไม่ได้ เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
มั่วชิงเฉินแม้แต่เรี่ยวแรงจะโบกมือยังไม่มี เอ่ยอย่างเปลืองแรงว่า “รีบพยุงข้าและอาจารย์เข้าไป”
“เจ้าค่ะ” เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองคนรับคำพยุงสองคนเข้าไป
“ท่านนักพรต คุณหนู มีเรื่องอันใดจะสั่งบ่าวหรือไม่เจ้าคะ?” เหม่ยจิ่งถามอย่างระมัดระวัง
กู้หลีเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้าสองคนไม่ต้องยุ่งยากแล้ว ถอยไปก่อนเถอะ”
หลังจากเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งถอยลงไป ในห้องจึงเหลือเพียงศิษย์อาจารย์สองคน
“อาจารย์…” เห็นกู้หลีไม่เปิดปาก มั่วชิงเฉินเรียกด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เสียงหนึ่ง
กู้หลีเม้มริมฝีปากบางไว้แน่น มองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งด้วยแววตาอธิบายไม่ถูก
มั่วชิงเฉินกระตุกชายเสื้อกู้หลีว่า “อาจารย์ ท่าน หรือว่าท่านโกรธอยู่หรือเจ้าคะ?”
กู้หลีดึงแขนเสื้อกลับอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง เอ่ยนิ่งเรียบว่า “อาจารย์มีเรื่องอันใดให้โกรธ?” พูดจบสายตาเบือนไปทางอื่น ไม่มองมั่วชิงเฉินอีก
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี ในใจขัดแย้งกัน ผ่านไปครึ่งค่อนวันจู่ๆ ก็คุกเข่าลงมา เอ่ยเสียงกังวานว่า “อาจารย์ ชิงเฉินผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
กู้หลีถึงได้หันหน้ามา ถามนิ่งเรียบว่า “ชิงเฉินเจ้าผิดที่ตรงไหน?”
“ชิงเฉิน ชิงเฉินไม่ควรฆ่าเถียนหยวนเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบา
กู้หลีสีหน้าสงบ กลับไม่พูดอะไรสักแอะ
มั่วชิงเฉินมองไปที่กู้หลี
นัยน์ตาสีดำที่สะอาดบริสุทธิ์ในดวงตาเขาดูเหมือนมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพียงแต่ในแววตาที่กระจ่างใสนั่นกลับเจือปนด้วยความจำใจและความโกรธบางเบาสายหนึ่ง
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ตัดสินใจ กัดฟันว่า “ชิงเฉินไม่ควรใช้ตัวเป็นเหยื่อ ใช้อุบายฆ่าเถียนหยวนเจ้าค่ะ!”
นางควรคิดได้ตั้งนานแล้ว การกระทำของตนอาจปิดบังทุกคนได้ ทว่าจะปิดบังอาจารย์ที่พบหน้ากันเช้าเย็นได้เช่นไรกัน
วันนี้หากตนไม่พูด เขาต้องไม่ซักไซ้แน่นอน ทว่าระหว่างสองคนต้องเกิดช่องว่างขึ้นแน่ และนี่กลับเป็นสิ่งที่นางไม่ยอมเห็นเป็นอันขาด
“เพราะเหตุใด?” กู้หลีถามเสียงเบา
เขารู้ว่าปกติศิษย์ตนกระทำการสิ่งใดแม้มีหลักการขีดจำกัดของตนเอง กลับก็ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน เถียนหยวนคนนั้นแม้มีชื่อเสียงไม่ดีในด้านผู้หญิง กลับยังไม่ถึงขั้นต้องให้คนรักคุณธรรมออกหน้าขจัดภัยให้ชาวบ้าน
เมื่อพูดออกมาแล้ว มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าในใจราวกับวางก้อนหินก้อนใหญ่ลง คำพูดกลับคล่องขึ้นมา “เพราะชิงเฉินมีแค้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากับเขาได้ เขาฆ่าท่านปู่ของข้า! ปีนั้นชิงเฉินเพิ่งถึงเมืองเทียนเหยา อายุเพียงแปดขวบ พึ่งพาอาศัยกับท่านปู่…”
มั่วชิงเฉินเริ่มเล่าตั้งแต่ที่เพิ่งเข้าเมืองเทียนเหยาในปีนั้น เล่าจนกระทั่งถึงพบว่าท่านปู่ถูกเถียนหยวนฆ่า ตนเพื่อแก้แค้นจึงมาเป็นศิษย์จิปาถะที่เหยากวง เสียงสงบนุ่มนวลราวกับกำลังเล่านิทานที่ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดากว่านี้ได้อีก กลับทำให้กู้หลีสัมผัสถึงความเศร้าที่ยากจะเอ่ยเป็นคำพูดจากส่วนลึกของหัวใจของคนพูดได้
กู้หลีฟังมั่วชิงเฉินเล่าจบ แล้วถอนใจเบาๆ อึดหนึ่ง มองใบหน้านางที่ไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อยว่า “ชิงเฉิน เจ้ามีความแค้นเช่นนี้กับเถียนหยวน ฆ่าเขาแก้แค้นก็เป็นเรื่องสมควร เพียงแต่การกระทำของเจ้าในวันนี้กลับไม่เหมาะสมเกินไป อย่าลืมสิ เจ้า อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นสตรี…”
นึกถึงการกระทำของเถียนหยวนถูกกู้หลีเห็นจนหมดเพราะอานุภาพของหยกย้อนอดีต มั่วชิงเฉินแก้มแดงเรื่อ เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ข้ารู้ว่าท่านโกรธ โกรธที่ชิงเฉินเอาแต่ใจไม่สนใจสวัสดิภาพของตน ทว่าหากย้อนกลับมาได้อีกครั้ง ชิงเฉินยังคงจะทำเช่นนี้ สามารถฆ่าศัตรูกับมือ ต่อให้ถูกเฆี่ยนมากกว่านี้ชิงเฉินก็ดีใจ เพียงแต่ เพียงแต่ทำให้อาจารย์ต้องโดนเฆี่ยนไปด้วย กลับเป็นความผิดของชิงเฉิน”
กู้หลีหยิบขวดหยกใบหนึ่งให้มั่วชิงเฉินว่า “นี่คือโอสถเลี้ยงดวงจิต ทุกสามวันกินเม็ดหนึ่ง ก่อนที่ดวงจิตจะเลี้ยงกลับมาได้ดังเดิมอย่าใช้ความคิดมากเกินไป การบำเพ็ญเพียรต่างๆ ยิ่งต้องหยุดลงชั่วคราว จำได้หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างว่าง่าย
กู้หลีถึงลุกขึ้น ยามที่เดินไปถึงหน้าประตูหยุดฝีเท้า หันหน้ามาเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ชิงเฉิน เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ เถียนหยวนเป็นศิษย์สายตรงของนักพรตซานอิน ความประพฤติแม้น่ารังเกียจ ทว่าจะเป็นคนไม่เอาถ่านจริงๆ ได้เช่นไรกัน? หากด้วยความประมาทของเจ้าแก้แค้นไม่สำเร็จกลับต้องแลกด้วยตนเอง ความเจ็บปวดที่ต้องรับของคนที่เป็นห่วงเจ้าเหล่านั้น ต้องไม่น้อยกว่าการถูกเฆี่ยนแส้เทพแน่นอน”
เมื่อพูดจบ กู้หลีก็ผลักประตูออกไป
มั่วชิงเฉินเหม่อมองประตูห้องที่ยังส่ายอยู่ เม้มปากยิ้ม กินโอสถเลี้ยงดวงจิตเข้าไปเม็ดหนึ่ง แล้วหลับตาเอนลงบนเตียง
นอนตื่นหนึ่งตื่นมา มั่วชิงเฉินที่รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าขึ้นบ้างแล้วนอนคิดอยู่บนเตียง สุดท้ายก็ทนไม่ไหวหยิบพัดหยินหยางของเถียนหยวนเล่มนั้นออกจากกำไลเก็บวัตถุ ถือไว้ในมือแล้วพิจารณาอย่างละเอียด
นี่คือพัดพับเล่มหนึ่ง ด้ามพัดเป็นกระดูก มิใช่สีขาวที่กระจ่างใส หากแต่เป็นสีขาวซีดเล็กน้อย ปนด้วยสีเขียวเล็กน้อย
นิ้วมือมั่วชิงเฉินวาดผ่านด้ามพัด ปลายนิ้วเย็นเยียบ ในใจอดใจหายไม่ได้ หรือว่าด้ามพัดนี้จะทำจากกระดูกมนุษย์จริงๆ?
หน้าพัดคล้ายกระดาษทว่าไม่ใช่กระดาษ คล้ายผ้าไหมทว่าไม่ใช่ผ้าไหม ดูไม่ออกว่าเป็นวัสดุอะไรกันแน่ สีที่ปรากฏออกมาเป็นสีเทาขาว สิ่งที่วาดอยู่ด้านบนนั้นไม่ใช่ภาพทิวทัศน์บุคคลที่พบได้บ่อยๆ ในพัดพับทั่วไป
ด้านหน้าของพัดคือแม่น้ำยาวสายหนึ่ง น้ำในแม่น้ำลึกล้ำ ข้างบนแขวนจันทร์เสี้ยวสีซีดไว้เสี้ยวหนึ่ง ด้านหลังกลับว่างเปล่า มีเพียงมุมขวาล่างมีเครื่องหมายกะโหลกเล็กๆ อันหนึ่ง
มั่วชิงเฉินลูบไล้พัดหยินหยางด้ามนี้ ราวกับสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องของวิญญาณแค้นนับไม่ถ้วน นางทนไม่ไหวยื่นจิตตระหนักเข้าไปสายหนึ่ง ในสมองกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด
แย่แล้ว ประมาทไปชั่วขณะไม่คิดเลยว่าจะลืมว่าดวงจิตได้รับบาดเจ็บ! เดิมทีจิตตระหนักก็คือหนวดสัมผัสที่ยืดออกไปจากดวงจิต การเคลื่อนย้ายเช่นนี้ไม่ปวดก็แปลกแล้ว
มั่วชิงเฉินเก็บจิตตระหนักกลับมาอย่างไม่ยินยอม กลับทำใจเก็บพัดหยินหยางนี้กลับไปไม่ได้ นางอยากรู้เหลือเกินว่าตกลงพัดนี้ซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่
วิญญาณของท่านปู่ถูกกักไวในพัดนี้ใช่หรือไม่?”
หากวิญญาณของท่านปู่ไม่ได้กลับสู่ยมโลก หากแต่อยู่ในพัดนี้ นี่มิหมายความว่า ตนกระทั่งจะมีโอกาสได้คุยกับท่านปู่?
ไม่แน่ ท่านปู่ยังสามารถหันมาบำเพ็ญเพียรผี?
ความคิดพวกนี้ม้วนทะยานอยู่ในสมองมั่วชิงเฉิน จนกระทั่งปวดศีรษะทนไม่ไหว นางถึงเก็บพัดเข้ากำไลเก็บวัตถุด้วยความแค้นใจ หลับตาพักสายตา
โอสถเลี้ยงดวงจิตที่กู้หลีให้มั่วชิงเฉินคุณภาพชั้นเลิศ นางกินหนึ่งเม็ดทุกสามวัน พริบตาเดียวผ่านไปหลายเดือนในที่สุดก็สามารถเคลื่อนจิตตระหนักได้แล้ว
ในวันนี้ มั่วชิงเฉินกินโจ๊กทิพย์เข้าไปชามหนึ่ง รอเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งถอยออกไปแล้วปิดประตูให้เรียบร้อย ตั้งค่ายป้องกันและค่ายสะกดวิญญาณ ถึงนั่งขัดสมาธิลงกลางค่าย หยิบพัดหยินหยางที่คิดถึงทุกวันคืนออกมา แล้วเคลื่อนจิตตระหนักเข้าไปอย่างระมัดระวัง
เจ้าของเดิมของพัดหยินหยางตายแล้ว ตราการจำเจ้าของสลายไปจนพอประมาณตั้งนานแล้ว มั่วชิงเฉินลบร่องรอยทั้งหมดทิ้งไปอย่างง่ายดาย แล้วยื่นจิตตระหนักเข้าไป
เพียงแต่นางต้องถอยกลับมาอย่างรวดเร็วอีก หอบเบาๆ สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย
นางรู้ตั้งนานแล้วว่าพัดหยินหยางนี้จัดเป็นของประหลาด กลับไม่คิดว่าสภาพในนั้นจะน่าสยดสยองปานนี้
แม่น้ำสายยาวในพัดนั้น น้ำสีดำที่ม้วนทลายปนด้วยสีเลือดรางๆ มีร่างคนยื่นมือหรือศีรษะออกจากน้ำเป็นระยะ ร่างคนพวกนั้นบ้างขาดแขนขาดขา บ้างเลือดออกเจ็ดทวาร บ้างเหลือเพียงหนังแผ่นหนึ่งติดอยู่บนหัวกะโหลก เสียงร่ำไห้ระงม ลมพัดเย็นยะเยือก เป็นภาพของนรกอย่างไม่ต้องสงสัย
มั่วชิงเฉินสงบจิตใจ ถึงยื่นจิตตระหนักเข้าไปใหม่ ค้นหาอย่างละเอียดขึ้นมา
วิญญาณแค้นในพัดมีจำนวนนับไม่ถ้วน มั่วชิงเฉินหาอยู่นานก็ไม่พบเงาของมั่วต้าเหนียน จนกระทั่งเหนื่อยล้า ถึงถอยออกจากพัดอย่างจำใจ
ติดต่อกันหลายวัน มั่วชิงเฉินรอให้กระปรี้กระเปร่าแล้วก็ยื่นจิตตระหนักเข้าค้นหาในพัดหยินหยาง จนถึงวันที่เจ็ด นางพบเงาร่างที่คุ้นเคยเงาหนึ่งกลายแม่น้ำอย่างไม่คาดคิด ในใจตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แล้วรีบใช้จิตตระหนักนำทาง ดึงเงาร่างนั้นเข้าฝั่ง
เพียงแต่เมื่อเงาร่างนั้นเข้าใกล้ฝั่ง ก็ดูเหมือนถูกพลังอะไรขวางไว้ ถูกดีดกลับเข้าในน้ำอีกครั้ง เพราะมั่วชิงเฉินไม่ทันตั้งตัวเงาร่างนั้นจึงเกือบหายไปในน้ำสีดำอันกว้างใหญ่นั้นอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินเหงื่อเย็นท่วมกาย ใช้จิตตระหนักนำทางเงาร่างของมั่วต้าเหนียนแต่กลับต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผ่านไปพักใหญ่ถึงเกิดความคิดขึ้นมา อัดพลังวิญญาณเข้าไปในพัดสายหนึ่ง คิดจะใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มเงาร่างของมั่วต้าเหนียนไว้แล้วค่อยพาเขาขึ้นฝั่งมา
เพียงแต่พลังวิญญาณสายนั้นเมื่อแตะถูกเงาร่างของมั่วต้าเหนียน เงาร่างนั้นก็ราวกับถูกเหล็กที่เผาจนแดงลวกก็ไม่ปาน ส่งเสียงร้องอนาถออกมาเสียงหนึ่ง ควันขึ้นทั้งตัวอย่างคาดไม่ถึง
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี รีบถอนพลังวิญญาณออกมา
มองดูมั่วต้าเหนียนที่ทรมานสุดจะทนในแม่น้ำ มั่วชิงเฉินเจ็บปวดในใจกลับทำอะไรไม่ได้อีก ร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะ ในสมองวาบผ่านข้อมูลเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเพียรผีที่ได้จากม้วนคัมภีร์หยกในหลายวันนี้อย่างรวดเร็ว
มีม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งพูดไว้ ผู้บำเพ็ญเพียรผีคือทางแห่งการบำเพ็ญเพียรของวิญญาณที่สูญเสียร่างเนื้อไป หนทางการเลื่อนขั้นแม้คล้ายกับมนุษย์ กลับแบ่งเป็นเก้าขั้นเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า และผู้บำเพ็ญเพียรมาร จาก ร่างผี พลทหารผี แม่ทัพผี แม่ทัพใหญ่ผี เจ้าผี จักรพรรดิผี กุ่ยจุน กุ่ยจวิน กุ่ยเซิ่ง เทียบได้กับระดับหลอมลมปราณถึงระดับมหายานในผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์
ผู้บำเพ็ญเพียรผีเลื่อนขั้นเช่นไรในม้วนคัมภีร์หยกไม่ได้อธิบายละเอียด กลับพูดถึงข้อหนึ่ง แก่นแท้ของมนุษย์เป็นของบำรุงสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรผี
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินคิดอะไรขึ้นมาได้ บีบปราณแห่งแก่นแท้ของตนออกมาสองสามหยดลองแตะเงาร่างของมั่วต้าเหนียนดู พบว่าเขาไม่เพียงไม่หลบและกรีดร้อง สีหน้ายังเผยให้เห็นความสบายตามคาด
มั่วชิงเฉินดีใจใหญ่ รีบใช้แก่นแท้ห่อเงาร่างของมั่วต้าเหนียนไว้ แล้วใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มอีกรอบ ในที่สุดก็ลากเขาขึ้นฝั่งมาได้
มาถึงฝั่ง มั่วชิงเฉินลากวิญญาณของมั่วต้าเหนียนออกจากพัดหยินหยางอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ในม้วนคัมภีร์หยกเคยพูดไว้ สมบัติวิเศษที่สามารถหลอมวิญญาณแค้นเช่นพัดหยินหยางนี้ วิญญาณแค้นอยู่ข้างในมากขึ้นหนึ่งวัน ก็เหมือนถูกเผาอยู่บนไฟ ทรมานยิ่งนัก อีกทั้งยังค่อยๆ สูญเสียพลังดวงวิญญาณ รอพลังดวงวิญญาณมลายไปสิ้น วิญญาณแค้นนี้ก็จะแตกดับ ไม่มีโอกาสเข้าวัฏสงสารอีก
มองดูวิญญาณขของมั่วต้าเหนียนที่อยู่ในฝ่ามือ มั่วชิงเฉินสีหน้าเขียวคล้ำ ไม่นานนักก็น้ำตานองหน้า
นางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาส่งเดช หยิบมุกสีดำออกมาเม็ดหนึ่งเล็งวิญญาณของมั่วต้าเหนียนไว้ เม็ดมุกก็เปล่งแสงสีดำสายหนึ่งดูดวิญญาณของมั่วต้าเหนียนเข้าไป
ลูบมุกสีดำอย่างนุ่มนวล จิตใจที่ตึงเครียดของมั่วชิงเฉินในที่สุดก็คลายลง พิงเตียงไว้ครุ่นคิดถึงแผนการในวันหน้า
วิญญาณของมั่วต้าเหนียนหลุดออกจากพัดแล้วนางถึงมองออก ว่าวิญญาณกึ่งโปร่งใส แฝงสีชมพูเข้มรางๆ อย่างไม่คาดคิด ก็หมายความว่า วิญญาณในมือนางเป็นเพียงวิญญาณที่เหลืออยู่ของมั่วต้าเหนียน มีเพียงหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณเท่านั้น
คนมีสามจิตเจ็ดวิญญาณ สองจิตหกวิญญาณที่เหลือของมั่วต้าเหนียนน่าจะกลับสู่ยมโลกแล้ว ก็คือโลกผีที่เล่าลือกัน
ทว่าวิญญาณไม่ครบก็ไม่อาจกลับชาติเป็นคน ได้เพียงอยู่ในโลกผีตลอดกาล กระทั่งเพราะขาดไปหนึ่งวิญญาณ วิญญาณที่เหลืออยู่ที่โลกผีจะมึนๆ งง ไม่มีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา ไม่อาจเข้าสู่ทางบำเพ็ญเพียรผีได้เลย!
นึกถึงสภาพของท่านปู่ ใจมั่วชิงเฉินเหมือนถูกมีดกรีด ทว่านางยังมีเรื่องที่ยุ่งยากยิ่งกว่า นั่นก็คือวิญญาณที่เหลืออยู่ในมุกสีดำสายนั้นของท่านปู่!