พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 384 ลำนำดอกไม้ต้อนรับ
วิชาน้ำพลิ้วตามกายาสิ่งที่โดดเด่นมากที่สุดคือคำว่า ‘น้ำ’ น้ำอ่อนพลิ้วแม้มีสิ่งกีดขวางล้วนหลบหลีก น้ำทนทานแม้มีเพียงช่องว่างแคบก็สามารถไหลผ่านตามกระแส เสมือนเงาตามตัว
เช่นนั้นหากคิดจะเข้าใจถึงแก่นแท้วิชาน้ำพลิ้วตามกายา เกรงว่าคงไม่ใช่เก็บตัวฝึกฝนทั่งวันคืนแล้วจะเข้าใจ
มั่วชิงเฉินจ้องมองผิวทะเลอยู่ชั่วขณะ จู่ๆ ก็เกิดเสียงน้ำกระเพื่อมทั้งร่างจมลงไปในน้ำ
เสียงนี้กลับทำให้เฉิงหรูยวนและเสิ่นฉงเหวินทั้งสองข้างที่ยืนชมทะเลชิมรสชาอยู่บนดาดฟ้าเรือต้องตกใจ พวกเขารีบลุกขึ้นเดินมาตรงราวกั้น ก้มหน้าลงไปมอง
พวกเขาเห็นเพียงกลางทะเลมีร่างเงาของหญิงสาวผุดขึ้นผุดลง ว่ายวนไล่ตามฝูงปลาในทะเลอย่างคล่องแคล่วว่องไว ท่าทางอ่อนพลิ้วสง่ามอย่างบรรยายไม่ถูก
“น่าเบื่อ” เสิ่นฉงเหวินที่สวมชุดดำปลอดส่งเสียงฮึดฮัด
จากที่เขาเห็นผู้หญิงคนนี้เพียงแต่ทำเพื่อดึงดูดความสนใจให้คนนิยมชมชอบก็เท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจคิดเรียกร้องความสนใจจากญาติผู้พี่ จะต้องรู้ว่าผู้หญิงเช่นนี้เขาเจอมาเยอะแล้ว
เสิ่นฉงเหวินคิดเช่นนี้อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฉิงหรูยวน แต่กลับเห็นเขาเอามือจับราวกั้นมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ในน้ำตาไม่กระพริบ
“ท่านพี่ หรือท่านจะ…”
เฉิงหรูยวนถึงได้ถอนสายตากลับมา มองเสิ่นฉงเหวินอย่างจนปัญญา “ฉงเหวิน เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนี้อยู่ตลอด เป็นเพราะว่าให้ความสนใจแม่นางถังมาก หรือว่าแม่นางถังงดงามไร้ที่เปรียบเล่า”
เสิ่นฉงเหวินกระตุกริมฝีปากไม่พูดจา ในใจกลับคิดติเตียน หรือจะบอกว่าไม่ใช่ทั้งสองเหตุผลเล่า
ด้วยความที่เข้าใจเคยชินนิสัยของญาติผู้น้องของตน เฉิงหรูยวนยิ้มหยันตนเอง “ฉงเหวิน ข้าเคยพูดแล้ว การเดินทางไปเฟิ่งหลินโจวเป็นเรื่องแน่นอน ข้าหมดสิทธิ์เลือกมานานแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะทำร้ายคนอื่นทำร้ายตนเอง เกิดความคิดที่ไม่ควรมีได้อย่างไร สำหรับเรื่องที่ข้ามีความสนใจในตัวแม่นางถังมากก็ย่อมเป็นเพราะตัวนางมีเรื่องที่ควรค่าแก่การสนใจ เจ้าไม่เห็นหรือว่านางไม่ได้ว่ายไปตามน้ำอย่างนึกสนุก แต่เป็นการฝึกฝนกระบวนท่าที่มีเอกลักษณ์แบบหนึ่ง”
เสิ่นฉงเหวินฟังคำเตือนของเฉิงหรูยวนเงยหน้าขึ้นมอง เป็นจริงตามที่พูดท่าทางทุกการขยับเขยื้อนของหญิงสาวที่อยู่กลางทะเลนั้นมีจังหวะที่สอดคล้องแฝงอยู่อย่างน่าประหลาด ปลาเหล่านั้นทั้งๆ ที่เจ้าเล่ห์ขี้ขลาดเหมือนกระต่ายแต่กลับไม่หลบไม่หลีก ปล่อยให้หญิงสาวผู้นั้นแหวกว่ายไปกับพวกมัน
แต่พอพิจารณาให้ดีกลับต้องตะลึงงัน ปลาเหล่านั้นไฉนเลยจะไม่หลบไม่หลีก แต่เป็นเพราะหญิงสาวผู้นั้นตามติดเหมือนเงาตามตัว บีบบังคับให้ปลาเหล่านั้นไม่มีทางหนีพ้น
เห็นใบหน้าของเสิ่นฉงเหวินแสดงความตะลึงออกมาเฉิงหรูยวนลอบส่ายหน้า ญาติผู้น้องนั้นฉลาดเฉลียวมากพยายามตั้งแต่เด็ก ฝีมือวิทยายุทธ์ก็ยังเป็นนำไปกว่าขั้นหนึ่งปกติแล้วก็ไม่ได้เป็นคนทื่อเช่นนี้ ดูท่าในใจของเขาคงมีอคติอย่างมากต่อแม่นางถังถึงได้ตั้งท่าปฏิเสธไม่ยอมรับการกระทำของนางทุกอย่างโดยสัญชาตญาณ
เฉิงหรูยวนเห็นเสิ่นฉงเหวินเม้มริมฝีปากบาง จ้องเขม็งมองผิวน้ำนิ่งไม่ขยับ เอ่ยพูดว่า “ฉงเหวิน ที่จริงแล้วเป็นแม่นางถังก็ไม่ง่าย ไม่ว่าเรื่องอะไรทำไปก็ไม่เห็นผล นางเกิดมาก็มีหน้าตาเช่นนี้ ในเส้นทางการฝึกบำเพ็ญเซียนไม่รู้ว่าต้องพบเจอเรื่องวุ่นวายมากเท่าไร ทำให้คนอื่นละเลยตัวนางไป มีบางครั้งการมองคนผู้หนึ่งไม่ได้ใช้ดวงตาดูแต่เป็นใจ”
เฉิงหรูยวนพูดถึงตรงนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่จ้องมองผิวทะเลเงียบๆ
หากว่าแม่นางถังผู้นี้มีหน้าตาธรรมดา ต่อให้ตนเองเกิดความสนใจต่อนางคนอื่นก็คงไม่คิดเช่นนี้ ฉะนั้นผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเซียนบอกว่าตนเองมองเฉยต่อภาพภายนอก แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถหลุดพ้นได้จริง
มั่วชิงเฉินย่อมไม่รู้ว่าบทสนทนาของผู้อื่น นางเพียงแต่รับสัมผัสความมหัศจรรย์ของวิชาน้ำพลิ้วตามกายาอย่างตั้งอกตั้งใจ นางฝึกซ้อมอยู่เต็มๆ สามชั่วยามตราบจนฟ้ามืดแล้วถึงได้บิดกายกระโดดขึ้นชายฝั่ง
เพราะต้องฝึกฝนวิชาน้ำพลิ้วตามกายาจำต้องตั้งใจรับรู้ความรู้สึกเมื่ออยู่ในน้ำ ดังนั้นมั่วชิงเฉินจึงไม่ได้ใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งและมุกกันน้ำ
แต่นางแม้จะตั้งใจสวมเสื้อนอกน้ำไฟไม่เข้า แต่เส้นผมกลับเปียกอย่างเลี่ยงไม่ได้
ขึ้นมาบนระเบียงเรือ มั่วชิงเฉินขับพลังวิญญาณใช้ลมทะเลพัดผมดำที่ปลิวสบายให้แห้ง ยืนผิงราวกั้นเอาหวีลายนกสมใจออกมาด้ามหนึ่ง ค่อยๆ หวีผมที่ยาวจรดเอวให้ราบลื่นช้าๆ พลางจ้องมองผิวทะเลเงียบๆ
อาทิตย์ยามเย็นตกลงไปแล้ว แสงสายัณห์เล็กน้อยสะท้อนอยู่บนผิวทะเล น้ำทะเลสีฟ้าเข้มออกดำสะท้อนแสงสีแดงอมทองขับทะเลผืนใหญ่ให้ดูดำมืดกว่าที่เป็น ลึกจนมองไม่เห็น
ตอนที่ถังมู่เฉินเดินมาถึงระเบียงเรือภาพที่มองเห็นเป็นเช่นนี้
หญิงสาววัยละอ่อนสวมชุดสีเขียวยืนพิงราวกั้น หวีผมยาวดำสนิทด้วยท่าทางอ่อนช้อย มือขาวประดุจหิมะ นิ้วเรียวยาวบริสุทธิ์ ภายใต้การขับเน้นจากผมดำสนิทดูเหมือนดอกบัวหิมะที่บานออกครึ่งหนึ่งสะท้อนแสงหิมะแวววาว เส้นผมปลิวสยายตามแรงลมละชุดเขียว สะท้อนสีน้ำทะเลสีน้ำเงินแกมดำและดูมีความเดียวดายเงียบเหงา
มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงว่าตนเองจะทำให้คนอื่นมีความรู้สึกเช่นนี้ การฝึกฝนในน้ำวันนี้แม้ว่าวิชาน้ำพลิ้วตามกายาจะไม่บรรลุ แต่กลับพัฒนาไม่น้อย นางรู้ว่าตนเองเดินมาถูกทางแล้ว ขอเพียงยืนหยักต่อไปอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง วิชาน้ำพลิ้วตามกายาจะต้องบรรลุถึงขั้นสามอย่างแน่นอน
เมื่อรู้เช่นนี้ในเวลานี้นางรู้สึกอารมณ์เบิกบาน มองดูวิวทะเลยามม่านดำปกคลุมด้วยความสบายใจ นางรู้สึกได้ว่าข้างหลังมีความผิดปกติถึงได้หันหน้ากลับมาส่งยิ้มบางๆ “เหตุใดท่านพี่ถึงออกมาเล่า”
พูดไปพลางนำเอาเส้นไหมสีเขียวอ่อนเส้นหนึ่งออกมารวบผมขึ้นหลังหูอย่างรวดเร็ว
ถังมู่เฉินยิ้มหว้างสดใสไม่ที่เปรียบ จู่ๆ ทำให้น้ำทะเลมืดสนิทสว่างไสวขึ้นมา “ว่างจนน่าเบื่อเลยออกมาเดินรับลม กลับเป็นเจ้าเล่าน้องสาว พี่กไม่เห็นเจ้าออกมานานแล้ว”
มั่วชิงเฉินไม่ปิดบังเขา “ฝึกฝนอยู่ในห้องหลายวันไม่เห็นผล ถึงได้ออกมาลองกลางทะเล”
ใบหน้าถังมู่เฉินมีบางครั้งที่หนาอยู่บ้างที่จริงแล้วก็เป็นคนที่รู้กาลเทศะ เขาม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อไปแต่กลับถอนหายใจยาว
มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจอย่างไร้สาเหตุเพราะการถอนหายใจของเขา เงยหน้ามองขึ้นไป “ดูเหมือนพี่ชายจะมีเรื่องในใจอย่างนั้นหรือ”
ภายใต้รอยยิ้มถังมู่เฉินแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้ “ไม่ได้มีเรื่องในใจอะไร ข้าแค่กำลังคิดว่าสหายเต๋าลั่วหยางช่างโชคดีนัก ทำให้น้องสาวใจพะวงได้เช่นนี้”
มั่วชิงเฉินหน้าดำคล้ำ เขาใช้ดวงตาข้างไหนมองว่าตนเองใจเป็นพะวง
เอ่อ แม้ว่าข่าวคราวศิษย์พี่ลั่วหยางอยู่ที่ใดจะทำให้นางเป็นพะวง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็นเป็นแน่กระมัง
“เฮ้อ แล้วก็ไม่รู้ว่าสหายเต๋าลั่วหยางจะติดอยู่ในเขาวงกตภายในถ้ำต้นไม้หรือไม่” เสียงของถังมู่เฉินดังขึ้นมาอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินเม้มปาก เจ้าคนนี้เหตุใดถึงพูดมากเช่นนี้ “ท่านพี่โปรดสบายใจ แม้แต่พวกเรายังออกมาได้ ศิษย์พี่ของข้าย่อมไม่เป็นอะไรแน่”
แม้แต่ตัวข้าที่ตามเทพแห่งความโชคร้ายอย่างเจ้ายังปลอดภัยไร้กังวล ศิษย์พี่ลั่วหยางจะแย่ไปถึงขั้นไหนได้ มั่งชิงเฉินลอบกรอกตามอง นึกนินทาอยู่ในใจ
ถังมู่เฉินย่อมต้องฟังความหมายแฝงในคำพูดของมั่วชิงเฉินออก ทันใดนั้นรู้สึกพูดไม่ออก จากนั้นถึงได้หัวเราะพูดว่า “นั่นก็ใช่ ฉะนั้นน้องข้า เจ้าอย่าได้กังวลไป รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ไป”
พูดจบก็ตบบ่ามั่วชิงเฉิน หมุนตัวเดินจากไป
มั่วชิงเฉินอ้าปากค้างตะลึงงัน ผ่านไปนานถึงได้สติกลับมา
นี่เขาเป็นบ้าอะไรกัน ไม่ต้องพูดว่านางและลั่วหยางมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องเท่านั้น ต่อให้เป็นคู่บำเพ็ญที่แยกทางกันชั่วคราวก็คงไม่เป็นกังวลถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่กลับกระมัง ทำเช่นนี้แล้วจะแตกต่างอะไรจากหญิงสาวชายหนุ่มในโลกธรรมดากัน
นางมีความกังวลอยู่มากมาย ไม่เพียงเฉพาะเรื่องลั่วหยาง ยังมีเรื่องอาจารย์ ต้วนชิงเกอ หลัวเตี๋ยจวิน พวกพี่เก้า รวมถึงภาพเหตุการณ์และช่วงเวลาที่ดีงาม
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ทุกคนล้วนมีทางเดินของตนที่ต้องเดินต่อไป มัวแต่กังวลนั้นไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่ตนเองทำได้คือทำให้ตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้น เชื่อว่าพวกเขาก็เช่นกัน
ขอเพียงแต่มีชีวิตอยู่ อยู่ยืนยงยังจะกลัวว่าไม่มีวันได้พบปะเช่นนั้นหรือ
มั่วชิงเฉินส่ายหัว ก้าวเท้าเดินไปยังห้องของตัวเอง
แต่นางกลับไม่ได้พักผ่อนในทันที แต่ขัดสมาธินั่งลงเริ่มฝึกบำเพ็ญ
เมื่อถึงระดับก่อแก่นปราณการเติบโตของตบะบำเพ็ญกลับกลายเชื่องช้า นางขับเคลื่อนพลังรอบจุดจักรวาลใหญ่หนึ่งครั้งพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นในจุดตันเถียนน้อยจนน่าสงสาร และไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
แต่รวบรวมจากน้อยกลายเป็นมาก การอดทนฝึกฝนอย่างหนักทุกวันไม่เหนื่อยหน่ายจะต้องทำให้มีวันนั้นเป็นแน่
เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ พร้อมกับมั่วชิงเฉินที่ฝึกวิชาน้ำพลิ้วตามกายายามกลางวัน ฝึกตบะบำเพ็ญยามค่ำคืน
ผ่านไปห้าเดือนมั่วชิงเฉินที่แหวกว่ายพลิกตัวไปมาในน้ำฝึกวิชาน้ำพลิ้วตามกายาจนบรรลุถึงขั้นสาม
นางรู้สึกถึงความอุ่นร้อนกระแสงหนึ่งไหลเวียนทั่วร่างกาย มีความปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างบรรยายไม่ได้ พอจะได้บินเสียงกระดูกลั่นกร๊อบแกร๊บ รอจนเสียงดังนั่นเงียบลงความอุ่นร้อนก็ค่อยๆ หายไปนางรู้ว่าสำเร็จแล้ว
เพียงแค่ขยับร่างกายวางท่าเบาๆ ก็รู้สึกได้ถึงความยืดหยุ่นของร่างกายยิ่งพัฒนาไปอีกขั้น ปลายเท้าสะกิดเพียงเบาๆ จัดท่าในระยะที่คนธรรมดายากจะทำได้ ทั้งร่างเสมือนนกที่โบยบิน กระโดดขึ้นระเบียงเรือ
เสียงปรบมือดังมาให้ได้ยินมั่วชิงเฉินเหลือบตาขึ้นมาพบว่าเฉิงหรูยวนและเสิ่นฉงเหวินสองคนไม่รู้ว่ายืนอยู่บนระเบียงเรือตั้งแต่เมื่อไร
“สหายเต๋าเฉิง” มั่วชิงเฉินพยักหน้าน้อยๆ ถือเป็นการทักทาย สำหรับเสิ่นฉงเหวิน นางกลับไม่มองเลยแม้แต่น้อย
นางไม่ได้ทำผิดอะไร รู้อยู่แล้วว่าคนเขาไม่ชอบตนเองแล้วยังจะไปทักทาย อีกอย่างข้าก็ไม่ชอบหน้าเขา!
เห็นมั่วชิงเฉินทักทายแค่เฉิงหรูยวนแล้วเดินผ่านไปเหมือนไม่มีคน สีหน้าของเสิ่นฉงเหวินดำคล้ำ
เฉิงหรูยวนยิ้มแห้ง หรือว่าทั้งสองคนนี้จะมีดวงชะตาขัดกันโดยธรรมชาติ เหตุใดพอเจอหน้าแล้วบรรยากาศถึงได้ดูเหมือนคลื่นลมโหมกระหน่ำที่มองไม่เห็น นี่ไม่เป็นผลดีต่อการเข้าไปในพื้นที่ลับ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรวมพลังร่วมมือ หากว่าถูกกลุ่มอื่นเห็นว่าไม่ถูกกันแล้วฉกฉวยช่องว่างหาผลประโยชน์นั่นถึงจะวุ่นวาย
คิดถึงตรงนี้ก็รีบส่งเสียงพูดว่า “แม่นางถังโปรดหยุดก่อน”
มั่วชิงเฉินหยุดและหมุนตัวกลับมา “สหายเต๋าเฉิงมีธุระหรือ”
เฉิงหรูยวนยิ้ม ทั้งๆ ที่ควรจะเรียบง่ายเป็นกันเองน่าคบบหา แต่กลับยากจะปิดบังความเป็นผู้ดีที่อยู่ในกาย “แม่นางถังกำลังฝึกท่าร่างกระมัง ตัวข้าและญาติผู้น้องโชคดีที่ได้เห็น ดูเหมือนแม่นางถังจะเลื่อนชั้นแล้ว”
“สหายเต๋าเฉิงชมเกินไปแล้ว” มั่วชิงเฉินพูดขึ้นเรียบๆ
เฉิงหรูยวนสะบัดแขนเสื้อ ข้างหน้ามีแท่นหยกเก้าอี้หยกหนึ่งชุดปรากฏขึ้น ข้างบนนั้นมีชุดชาดินม่วงตั้งอยู่ “วันนี้แม่นางถังเลื่อนชั้น สำหรับตัวข้าแล้วถือเป็นเรื่องน่ายินดี จึงอยากขอเชิญให้พวกเราสองพี่น้องเลี้ยงน้ำชาแม่นางถังจะเป็นอย่างไร”
มุมปากเสิ่นฉงเหวินกระตุก จะเลี้ยงน้ำชาก็เลี้ยงไปเถิดจะลากตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องทำไมกัน แม้จะคิดเช่นนี้แต่ก็ไม่เอ่ยปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าญาติผู้พี่
จะดื่มชาหรือไม่แต่เดิมก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อเหลือบใบหน้าดำคล้ำของเสิ่นฉงเหวิน มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกหัวใจโล่งโปร่งอย่างไม่มีเหตุผล นั่งลงอย่างไม่ลังเลแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณสหายเต๋าเฉิงแล้ว”
เฉิงหรูหยวนยิ้มแย้ม เอื้อมนิ้วเรียวยาวไปหยิบอุปกรณ์ชงชาขึ้นมา ท่าทางคล่องแคล่วเป็นไปตามธรรมชาติ ใบชายังไม่หมดพลันเติมน้ำ ใช้รอยยิ้มกระทบผิว รอยผิวน้ำในแก้วกลับปรากฎดอกท้อหนึ่งดอกขึ้นมา
มั่วชิงเฉินตะลึงไปเล็กน้อย หรือนี่จะเป็นวิชาแบ่งชาที่กล่าวต่อกันมา
ได้ยินมาว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายปราชญ์เหล่านั้นค่อนข้างชอบทางสายนี้ คิดไม่ถึงว่าเขาผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์จะมีรสนิยมสง่างามแช่นนี้
“แม่นางถังเชิญ”
มั่วชิงเฉินมองแก้วชานิ่งเงียบ ยิ้มพลางพูดว่า “สหายเต๋าเฉิงฝีมือดีนัก ชาดีเช่นนี้ข้ายังไม่เคยดื่มมาก่อน”
เฉิงหรูยวนยิ้ม “พูดไปก็ถือเป็นเรื่องบังเอิญ ก่อนหน้านี้มีผู้บำเพ็ญเพียรสายปราชญ์บังเอิญผ่านมาที่แห่งนี้ ได้ทำความรู้จักกับตัวข้า ถ่ายถอดวิชาแบ่งชานี้ให้แก่ข้า ข้าเพียงแต่พอรู้เล็กน้อยเท่านั้นเอง”