พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 525 ลูกเทพมารช่วยเร้นภัย
ภาพลวงตาถูกสร้างขึ้นจากกระแสจิต ในเมื่อภาพลวงตาในแดนมายาสามารถเปลี่ยนไปตามสิ่งที่คิดได้ เช่นนั้นเพียงแค่หลับตา ไม่ต้องคิดสิ่งใด ใช้สัญชาติญาณรับรู้การเปลี่ยนแปลงที่อยู่รอบตัว ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นในแดนมายาได้แล้ว
แม้การหลับตาทำให้มั่วชิงเฉินสูญเสียการมองเห็น แต่ประสาทสัมผัสที่เหลือกลับสัมผัสได้อย่างเฉียบคมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการได้ยินและการได้กลิ่นกลับชัดเจนมากกว่าเดิม
ขณะที่นางหลับตา สภาพวิญญาณแจ่มใส สภาพจิตใจปลอดโปร่ง ทำให้ลมหายใจค่อยๆ กลายเป็นท่วงทำนองเดียวกับฟ้าดิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบนอกเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนทีละน้อย
ระเบิดหิมะที่ม้วนวนมาตามกระแสลมมุ่งไปทางมั่วชิงเฉิน
นางเอียงตัวเล็กน้อยเพื่อหลบมังกรหิมะนั่น
ท่ามกลางสายตาของผู้คน บุปผาหิมะที่โปรยทั่วฟ้าพลันเปลี่ยนไป กลายเป็นมีดสั้นหลายเล่มจู่โจมใส่สตรีชุดเขียวท่ามกลางพายุหิมะ
คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
มั่วชิงเฉินกลับแทบไม่ขยับตัว เหมือนไม่ได้สังเกตว่าบุปผาหิมะที่ลอยมาปลิดชีพตนได้กลายเป็นมีดสั้นอันแหลมคมแล้ว
มีดน้ำแข็งแต่ละเล่มโรยตัวลงสู่ร่างนาง คิดอยากจะใช้เวลานี้แสดงศิลปะแล่เนื้อคน ทว่ามั่วชิงเฉินกลับเขย่งเท้าเล็กน้อย แล้วบินขึ้นไปด้วยความเร็วสูง ม้วนตัวหลบมีดน้ำแข็งที่พุ่งออกมาอย่างถี่ยิบ และในขณะเดียวกัน ไหมเกล็ดน้ำแข็งในฝ่ามือก็กลายเป็นแถบผ้าเส้นยาวกวาดมีดน้ำแข็งอีกด้านหนึ่งที่ตกลงมาออกไป
นางที่กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศไม่ได้ตกลงไปด้วยแต่อย่างใด แต่หยิบธนูเขียวซ้อนเร้นพร้อมยิงศรน้ำแข็งเหมันต์ออกไปด้านบนอย่างรุนแรง
เปลวน้ำแข็งเหมันต์ของศรน้ำแข็งเหมันต์แล่นผ่านเมฆหนาทึบบนยอดเขาที่ทับซ้อนกันหลายชั้น มุ่งตรงเข้าสู่กลางดวงจันทร์ที่แอบซ่อนอยู่ในหมู่เมฆ
ผ่านไปครู่หนึ่งสายลมก็พัดโชย ก้อนเมฆกระจายตัวออก ท้องฟ้าเปลี่ยนสีในทันใด
ดวงจันทร์ที่ถูกศรน้ำแข็งเหมันต์ยิงเข้าไป คล้ายกับว่ามีรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น และดูเหมือนรอยแตกนั้นจะกระจายตัวอย่างช้าๆ แต่ความจริงแล้วรวดเร็วยิ่งนัก หลังจากนั้นพระจันทร์ทั้งดวงก็แตกกระจาย เสียงระเบิดดังขึ้น เศษเสี้ยวชิ้นส่วนที่สว่างสุกสกาวนับหมื่นชิ้นร่วงโรยลงมาในทันใด จากนั้นร่องรอยของหิมะโปรยปรายก็หายไปในชั่วพริบตา
ผู้คนต่างกะพริบตาปริบ ภาพวาดพระจันทร์ฉายบุปผาบานที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตายังคงตราตรึงอยู่มิเลือนราง
ใบหน้าของนักพรตหย่าอี้บูดบึ้ง โบกพัดกลมใส่มั่วชิงเฉินอยู่หลายครั้ง
กลิ่นของดอกถานฮวาโชยมาจางๆ มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าพลังวิญญาณที่อยู่ในร่างกายโดนสกัด
เห็นมั่วชิงเฉินขยับตัวได้ช้าลง นักพรตหย่าอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาน้อยๆ
แต่ไม่นาน รอยยิ้มนั้นก็แข็งค้างอยู่บนริมฝีปาก
เมื่อพบว่ามั่วชิงเฉินใช้มือข้างหนึ่ง ขว้างวัตถุคล้ายกับผลไม้สีดำออกมาหลายลูก ก่อนจะเกิดระเบิดเสียงดังขึ้นอย่างอย่างรุนแรง
มั่วชิงเฉินโยนระเบิดสะท้านฟ้าอย่างไม่เกรงใจ ระเบิดสะท้านฟ้าตกลงในพุ่มไม้ขนาดใหญ่ของดอกถานฮวา ทันใดนั้นกิ่งของมันก็มอดไหม้แหลกละเอียด เป็นการทำลายบุปผางามอย่างแท้จริง
นักพรตหย่าอี้ใบหน้าเปลี่ยนสี หันพัดอีกด้านที่มีตัวอักษรเข้าหามั่วชิงเฉิน หลังจากนั้นโบกพัดอย่างเกรี้ยวกราด
ด้านบนพัด มีตัวอักษรคำว่า ‘ก้อนหิน’ ขนาดใหญ่บินออกมา
มั่วชิงเฉินเห็นก้อนหินขนาดใหญ่หล่นลงมาจากท้องฟ้า จึงหยิบก้อนอิฐทุบไปที่หินก้อนใหญ่นั้น
เสียงระเบิดดังขึ้น หินก้อนใหญ่ถูกทุบจนแตกออกกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ขณะนั้นคำว่า ‘แยกออก’ ก็ล่วงลงมา หินก้อนกรวดมากมายปะทะใส่มั่วชิงเฉิน
มืออีกข้างชักกระบี่มู่ชิงออกมา ก่อนเคล็ดลับวิชาพันบุปผาแปลงไม้จะสำแดงเดช
รอบด้านของกระบี่มู่ชิงมีรัศมีแสงล้อมรอบ ราวกับเกิดพลังดึงดูดอันแปลกประหลาด ทำให้ก้อนกรวดเหล่านั้นม้วนเป็นรูปทรงกลม จากนั้นก็เริงระบำ
กระบี่มู่ชิงเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ก้อนกรวดน้อยใหญ่รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนช้าๆ บนปลายดาบ เมื่อสังเกตดู ราวกับเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง
“ไป!” มั่วชิงเฉินออกคำสั่ง ใช้กระบี่มู่ชิงชี้ขึ้น กลุ่มก้อนหินบนปลายกระบี่ถูกเหวี่ยงออกไปอย่างรุนแรง ชนเข้ากับพื้นที่ว่างเปล่า ราวกับปะทะกับสิ่งกีดขวางไร้รูปร่าง ก่อนทั่วทั้งท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน
ทั้งยังมีตัวอักษรคำว่า ‘ดึงดูด’ ตกลงมาอีก กลิ่นหอมของดอกไม้พลันเข้มข้นขึ้นมาทันใด
พริบตาเดียวกับที่มั่วชิงเฉินขยับกายเคลื่อนไหว ก็รู้ราวกับเดินอยู่บนกลางน้ำที่เกือบแข็งตัว ด้วยเหตุนี้ ท่วงท่าการร่ายรำกระบี่จึงเชื่องช้าลงเรื่อยๆ
นางรู้ดีว่า ตนถูกกลิ่นหอมของดอกไม้เหล่านั้นทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ และจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้
ในการใช้แดนมายาสร้างอาณาเขต สิ่งที่อันตรายอย่างยิ่งก็คือผู้ที่โดนกักขังอยู่ในอาณาเขตนั้นถูกจำกัดการเคลื่อนไหว หากเทียบกับการปะทะกันอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว นับว่ายุ่งยากนัก
เห็นมั่วชิงเฉินเคลื่อนไหวช้าลงเรื่อยๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่สังเกตการณ์อยู่ต่างก็ส่ายหน้าแล้ว
ผู้ชมที่อยู่ด้านข้างมองเห็นอย่างชัดเจน ในสายตาของพวกเขา มั่วชิงเฉินต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
นักพรตจื่อซีมองดูภาพเหตุการณ์อยู่ข้างสนามเวทีอย่างร้อนใจ ในที่สุดหันไปพูดกับกู้หลีว่า “เหอกวงเจินจวิน ท่านไม่ร้อนใจบ้างเลยหรือ ดูเหมือนว่าชิงเฉินจะท่าไม่ดีแล้ว”
กู้หลีลูบถ้วยชาในมือก่อนยิ้มตอบ “ไม่มีทางเสียหรอก นางแก้ปัญหาได้แน่”
นักพรตจื่อซีเลิกคิ้ว “เหตุใดท่านถึงวางใจ”
กู้หลียิ้มตอบอย่างราบเรียบ “แน่นอน นางเป็นศิษย์ของข้า”
เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ ในตอนที่มั่วชิงเฉินอยู่ระดับสร้างรากฐานก็ได้ฝึกฝนเจตจำนงกระบี่แล้ว
เจตจำนงกระบี่จัดเป็นอาณาเขตประเภทหนึ่ง กระทั่งเมื่อเทียบกับอาณาเขตของสมบัติวิเศษหรือเคล็ดวิชาสร้างภาพลวงตาแล้วยังถือว่ารุนแรงยิ่งกว่า หากนางคิดไม่ถึง ในเดือนปีเหล่านั้นก็นับว่าเป็นการสั่งสอนที่เสียเวลาเปล่าอย่างแท้จริงแล้ว
แน่นอนว่ากู้หลีเชื่อใจศิษย์ของตน ไม่มีท่าทีผิดหวังแต่อย่างใด
และนอกจากมั่วชิงเฉินไม่ทำให้ท่านอาจารย์ต้องผิดหวังแล้ว ท่ามกลางการคาดเดาของผู้คนในขณะที่นางไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ กลับต้องตกตะลึง เมื่อพบว่ากระบี่ยาวที่เริงระบำอยู่ในมือของนางถึงแม้เคลื่อนไหวช้า กลับดูเหมือนไหลไปตามกระแสเรื่อยๆ เป็นการรวบรวมพลังการเคลื่อนไหวชนิดหนึ่งที่มิอาจอธิบายได้
การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของเจตจำนงกระบี่ แม้ไร้รูปร่าง กลับเด็ดเดี่ยวและมั่นคง เมื่อประคับประคองวัตถุที่ไร้รูปร่างได้ทีละน้อย มั่วชิงเฉินก็สัมผัสได้ถึงความเบาบางที่อยู่รอบตัว พลังวิญญาณโคจรได้เบาสบายยิ่งนัก ทั้งกระบี่ชิงมู่ที่อยู่ในมือยังตอบสนองได้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น
เจตจำนงกระบี่แผ่ออกไปอย่างไร้ขอบเขต อาณาเขตดินแดนมายาแยกออก ทันใดนั้นดอกถานฮวาทั้งหมดถูกระเบิดสะท้านฟ้าเผาไหม้ราวกับต้นไม้แห้งในฤดูใบไม้ผลิ ก่อนที่ดอกไม้ดอกแล้วดอกเล่าจะเบ่งบาน
แต่มิใช่ดอกถานฮวาที่ปรากฏในคราแรก ผู้ชมรู้สึกถึงความอัศจรรย์ว่ามันหาใช่ดอกถานฮวา เห็นชัดว่าเป็นดอกท้อต่างหากเล่า!
มั่วชิงเฉินยิ้มมุมปาก ร่างกายตั้งตรงทันใด กระบี่ชิงมู่ที่ถืออยู่ในมือบินตกลงตรงหน้าของนักพรตหย่าอี้
ทันใดนั้นนักพรตหย่าอี้ก็รู้สึกว่าเคลื่อนไหวได้ยากขึ้น ใบหน้าเปลี่ยนสีอย่างไม่ตั้งตัว
“ที่แท้ก่อนที่แดนมายาแตกออก เจ้าก็เปลี่ยนอาณาเขตของแดนมายาให้เป็นอาณาเขตของตัวเองแล้วแว้งกัดผู้ใช้วิชาหรือ นี่เป็นไปได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินไม่ตอบ กลับใช้กระบี่มู่ชิงที่อยู่ในมือแทงใส่นักพรตหย่าอี้
นักพรตหย่าอี้ต้านกลับอย่างทันท่วงที ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางหนีบกระบี่ชิงมู่เอาไว้
มู่ชิงเฉินเอนตัวลอยอยู่กลางอากาศ ออกแรงกลางฝ่ามือพุ่งไปข้างหน้า นักพรตหย่าอี้เท้าพลันสัมผัสพื้น รอยเท้าเป็นร่องลึกปรากฏบนพื้น ขณะที่นักพรตหย่าอี้ถอยหลังทีละก้าว
หลี่มู่จื่อยืนขึ้นด้วยความร้อนรน ตะโกนออกไป “อาจารย์!”
ทันใดนั้นสถานการณ์กลับตาลปัตร ในใจของผู้ชมยังคงลุ้นตลอดเวลา พวกเขากลับไม่ได้เลือกข้างใดข้างหนึ่ง เพียงตอนที่เห็นมั่วชิงเฉินตกอยู่ในแดนมายา ยังแอบหวังว่านางจะสามารถหลุดพ้นสถานการณ์ยากลำบากและลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง แต่ขณะนี้นักพรตหย่าอี้มีท่าทีพ่ายแพ้ ก็ยังหวังให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น
นักพรตหย่าอี้ถอยทีละก้าว เมื่อเห็นว่าถอยไปถึงขอบเวทีแล้ว บริเวณขอบเวทีมีปลายยอดชี้ขึ้นมาหนึ่งยอด ฐานกว้างประมาณะสิบกว่าจั้ง
เมื่อเห็นว่านักพรตหย่าอี้ยืนพิงกับปลายยอด มั่วชิงเฉินตัดสินใจอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด พลังวิญญาณแปดส่วนที่โคจรในร่างกายไหลเวียนขึ้นมาบรรจบกันที่ปลายนิ้ว เพียงใช้มือทั้งสองข้างจับดาบ แสงวิญญาณทอแสงเปล่งประกายออกมาในชั่วพริบตา กระบี่ชิงมู่พุ่งไปหานักพรตหย่าอี้อย่างรวดเร็ว
นัยน์ตาของนักพรตหย่าอี้ที่สะท้อนเงาของกระบี่ชิงมู่ พลันวาบประกายแปลกประหลาด
มั่วชิงเฉินมีความรู้สึกแน่นอกอย่างบอกไม่ถูก เป็นลางสังหารณ์ร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
ในวิกฤติที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงนี้ นางทำได้เพียงเชื่อใจตัวเองอย่างแน่วแน่ ก่อนปลดดาบแล้วถอยกลับไป
แต่ในชั่วพริบตานี้เอง กลางคิ้วของนักพรตหย่าอี้ก็ปรากฏปานสีแดงชาดรอยหนึ่ง ลำแสงสีแดงเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากรอยนั้นโจมตีใส่มั่วชิงเฉิน
กลิ่นอายที่อันตรายอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนล้อมรอบตัวมั่วชิงเฉินไว้ ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นเมฆหมอกสกัดลำแสงสีแดงไว้
ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ ลำแสงสีแดงนั่นเจาะผ่านไหมเกล็ดน้ำแข็งไปได้ ก่อนพุ่งโจมตีใส่ลิ้นปี่ของมั่วชิงเฉิน
ในชั่วพริบตา พลังทั้งหมดก็มิอาจปิดกั้นไว้ได้อีกต่อไป ลูกปากว้าเทพมารปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือปะทะลำแสงสีแดงที่กำลังพุ่งเข้ามา
ลำแสงสีแดงกลายเป็นด้ายแดงนับหมื่นเส้น ก่อนถูกลูกปากว้าสีดำขาวดูดเข้าไป แต่กลับมีจำนวนหนึ่งที่จมลงสู่ฝ่ามือของมั่วชิงเฉินซึมซับเข้าสู่ร่างกาย
ในขณะเดียวกัน ลูกปากว้าเทพมารก็พุ่งใส่หน้าผากของนักพรตหย่าอี้
เสียงกรีดร้องอันแปลกประหลาดดังขึ้น นักพรตหย่าอี้อ้าปากกระอักเลือดออกมาคราหนึ่ง หลังจากนั้นกลุ่มหมอกสีขาวก็ลอยออกมาจากหน้าผากแล้วบินขึ้นไปยังท้องฟ้า
ด้ายแดงที่อยู่บนข้อมือไหลเข้าสู่ร่างกาย มั่วชิงเฉินเพียงรู้สึกเจ็บลิ้นปี่ เมื่อเห็นหมอกขาวบินหนีไปก็รู้ทันทีว่านั่นคือสิ่งชั่วร้ายที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ขึ้น แต่เพราะร่างกายได้รับบาดเจ็บจึงทำได้เพียงยกมือขึ้นยิงลูกดอกลับที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออกไป เสียงแตกออกของกลุ่มหมอกขาวดังขึ้น หลังจากนั้นรีบใช้กระบี่มู่ชิงยันร่างไม่ให้ล้มลง ในที่สุดความเจ็บปวดอันเนิ่นนานและซาบซ่านก็บีบให้นางหายใจติดขัด
ผู้ชมทางด้านล่างต่างแตกตื่น
กู้หลีและซู่ฉิงเจินจวินลุกขึ้นแล้วบินขึ้นไปยังสนามประลองทันที แต่ละคนประคองทั้งสองลงมา
เนื่องจากมีค่ายกลขวางกั้นไว้ ผู้ชมที่อยู่ด้านล่าง แม้จะมองเห็นภาพการต่อสู้ แต่กลับไม่รับรู้ถึงการปะทะกันประเภทกลิ่นอายวิญญาณเช่นนี้ อีกทั้งหมอกขาวกลุ่มนั้นยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายปีศาจ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่อยู่ด้านล่างเวทีเองก็ไม่มีผู้ใดมองเห็นเช่นกัน
แต่เพราะในอดีตกู้หลีเคยเข้าไปพัวพันกับจิ้งจอกขาว จึงมีสัมผัสเฉียบคมมากกว่าผู้อื่น เมื่อเห็นแก้มของมั่วชิงเฉินมีรอยแดงประหลาดเด่นชัดขึ้น ก็ชำเลืองมองฝ่ามือของนาง พลันพบด้ายแดงคดเคี้ยวอยู่บนฝ่ามือ ยังยิ่งเด่นชัดยิ่งขึ้นเมื่ออยู่บนแขนที่ขาวราวหิมะ
ใบหน้าของกู้หลีเปลี่ยนไปช้าๆ เขาแทบไม่สนใจอะไรอีก ก่อนยื่นมือออกไปเลิกแขนเสื้อของมั่วชิงเฉินขึ้น พบว่ามีด้ายแดงคดเคี้ยวอยู่ด้านบนเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่ารากชอนไชไปถึงที่ใด
“ด้ายพันจิตตรึงใจหรือ”
เสียงทุ้มต่ำของกู้หลีถึงกับกล่าวออกมาอย่างสั่นเครือเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเห็นกู้หลีมีท่าทางผิดปกติเช่นนี้ จึงรีบตอบไปว่า “ท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่รู้สึกจุกหน้าอกเล็กน้อย กลับไปปรับลมหายใจสักพักก็หายแล้ว”
กู้หลีกุมมือของนางเอาไว้ ไม่พูดอะไร กลับหันไปพูดกับนักพรตจื่อซีว่า “จื่อซี รบกวนเจ้าดูแลมั่วชิงเฉินสักพัก ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
พูดจบเมฆใต้ฝ่าเท้าปรากฏแล้วบินออกไป
เห็นกู้หลีพูดกับนางด้วยท่าทีใจหายใจคว่ำเช่นนี้ นักพรตจื่อซีจึงจ้องมองมั่วชิงเฉินด้วยความร้อนใจ แล้วถามขึ้นว่า “ชิงเฉิน เจ้าเป็นอะไร”
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ส่ายหัวช้าๆ ตอบว่า “ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ”
แม้พูดเช่นนี้ แต่ในใจกลับไม่สงบ กลุ่มลำแสงสีแดงที่พุ่งออกมาจากนักพรตหย่าอี้ในตอนท้ายนั่น แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดนางจึงรู้สึกว่ามีกลิ่นอายปีศาจซ่อนอยู่ข้างในเล่า
อีกทั้งอาจารย์มีท่าทีผิดปกติ เห็นชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บของนางไม่ร้ายแรง เหตุใดถึงทำท่าทางราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนั้น ทั้งยังพูดชื่อแปลกประหลาดออกมาอีก
ยิ่งไปกว่านั้น หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ เหตุใดอาจารย์ถึงต้องออกไปข้างนอกด้วย
ถัดออกไปพันลี้ สตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหิมะนั่งตัวตรงอยู่หน้าแท่นบูชา ทันใดนั้นกระอักเลือดสดๆ ออกมา ลำแสงสีดำขาวสอดประสานวูบวาบอยู่บนร่างกาย ราวกับร่างกายของนางราวกับโดนฉีกออกทั้งเป็น
สีหน้าของสตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหิมะแสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง มือกุมศีรษะขยี้ผมไม่หยุด
หลังจากแสงนั่นจางหายไป ร่างกายที่ตั้งตรงพลันตกตะลึงในทันใด ไม่อยากเชื่อสายตาที่มองอยู่บนเส้นผมยาวของตน
เส้นผมทั้งศีรษะ ล้วนกลายเป็นสีขาวโพลนทั้งหมดแล้ว!