พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 578 เป็นอิสระอย่างยากเย็น
เนิ่นนาน มั่วชิงเฉินพลันหัวเราะขมขื่น ยามที่ยังมีชีวิตอยู่ คงมีเรื่องราวมากมายที่ทำให้นางคิดถึงกระมัง
สลัดความโศกเศร้าในใจออกไป มั่วชิงเฉินหลับตาทำสมาธิ ฝึกฝนตามเคล็ดวิชาของผีบำเพ็ญเพียร
ปราณมรณะทะลักเข้ามาในร่างอย่างบ้าคลั่ง และเปลี่ยนไปเป็นพลังปราณที่บริสุทธิ์โคจรอยู่ภายในร่าง
มั่วชิงเฉินพลันพบว่าเมื่อพลังปราณโคจรอยู่ภายในร่าง ทุกแห่งที่โคจรเคลื่อนผ่าน ร่างกายส่วนนั้นจะผนึกตัวควบแน่นจนสมจริงขึ้นหลายส่วน
อย่างรวดเร็ว สองขาที่เดิมเลือนรางกลับมาเป็นดังเดิม จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ผิวกายที่เปลือยเปล่าเปลี่ยนจากสีขาวโปร่งใสเป็นอวบอิ่มเงางาม ราวกับตอนที่ยังมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
ปราณมรณะที่โคจรอยู่ระหว่างฟ้าดินทะลักเข้ามาในห้องเช่าของมั่วชิงเฉินอย่างต่อเนื่อง เมื่อปราณมรณะไหลมารวมตัวกันจนเกิดเป็นเกลียวพายุนั้น ในที่สุดก็ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นแล้ว
ในย่านร้านค้าด้านหลัง มีห้องเรียงรายเป็นแถวๆ ผู้ที่พักอาศัยส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนของแผงต่างๆ ในย่านร้านค้า
ห้องที่มั่วชิงเฉินเช่าอยู่ไม่สะดุดตาเลยสักนิด และยังเป็นที่อวิ๋นซานเหนียงแนะนำให้นาง
ในตอนที่อวิ๋นซานเหนียงเก็บแผงเดินกลับไปนั้น ก็มองเห็นคนจำนวนไม่น้อยกำลังชี้มาที่หน้าห้องของมั่วชิงเฉิน
“มายืนทำอะไรกันน่ะ” อวิ๋นซานเหนียงแหวกฝูงชนออก
พักอยู่ที่นี่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว ทุกคนล้วนคุ้นเคยกันดี จึงมีคนถามว่า “อวิ๋นซานเหนียง เจ้ารู้จักคนที่พักอยู่ที่นี่สินะ ช่างยอดเยี่ยมนัก ดูจากสถานการณ์แล้ว หรือว่ากำลังจะบรรลุไปอยู่ระดับขุนพลผีแล้ว”
อวิ๋นซานเหนียงรีบร้อนมองไป ใจหายวาบ
นางเคยเห็นสถานการณ์ที่ผีทั่วไปจะกลายเป็นขุนพลผีมาก่อน และดูจากสถานการณ์นี้แล้ว จะไม่ใช่ได้อย่างไร
นี่จะเป็นไปได้ได้อย่างไร เสี่ยวมั่วยังไม่ได้ผนึกกายเป็นร่างผีชัดๆ เหตุใดถึงบรรลุไปอยู่ระดับขุนพลผีได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
ผู้ที่เข้ามาล้อมวงยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นเหนือห้องพักมีเมฆสีเทากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ฝูงชนก็ตื่นเต้นขึ้นมา
เมฆสีเทาปรากฏ สำเร็จเป็นขุนพลผี
แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายก็คือ เมฆสีดำหยุดอยู่เหนือห้องพักไม่ได้สลายหายไป กลับดูดซับปราณมรณะที่อยู่โดยรอบเร็วขึ้น
ผู้คนต่างถกเถียงกันไปมา แต่กลับหาข้อสรุปไม่ได้
เห็นสถานการณ์ผิดปกติ ผีตนหนึ่งจึงจากไปรายงานอย่างเงียบๆ
…
หลังจากที่ไป๋ต้าไปรายงานเรื่องของมั่วชิงเฉินกับผู้บังคับบัญชาแล้ว ก็นำทัพผีกลุ่มหนึ่งมาค้นหาในบริเวณโดยรอบทั้งวัน แต่กลับไม่ได้อะไรเลย ขณะที่กำลังกลัดกลุ้ม ก็มีผีตนหนึ่งมารายงานความผิดปกติในย่านร้านค้า
คิดดูแล้ว อย่างไรเสียก็ว่างอยู่แล้ว จึงนำทัพผีมาที่นี่อย่างองอาจ
ประสบการณ์ของไป๋ต้า ไม่ใช่สิ่งที่ผีค้าขายเหล่านี้จะเทียบเทียมได้ ยามนั้นจึงตาเบิกโพลง ร้องอุทานออกมาว่า “สวรรค์ นี่ นี่มันการบรรลุระดับขั้นแม่ทัพผี!”
เมื่อผีบรรลุไปอยู่ในระดับขุนพลผี ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณบรรลุขึ้นไปอยู่ในระดับสร้างรากฐาน สำหรับดวงวิญญาณทั่วไปและเหล่าผีทั้งหลายนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญ แต่กลับไม่นับเป็นอะไร และไม่ดึงดูดความสนใจของผีบำเพ็ญเพียรระดับสูง
แต่หลังจากบรรลุมาอยู่ในระดับขุนพลผีแล้วปรากฏการณ์ประหลาดไม่สลายหายไป กลับบรรลุต่อเนื่องสู่ระดับถัดไป นั่นเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง
ไป๋ต้าพลันตื่นเต้นขึ้นมา ออกคำสั่งผีด้านข้างทันที “เร็ว รีบไปรายงานแม่ทัพหลิงเร็วเข้า!”
“รับัญชา!” ผีตนหนึ่งเอ่ยไปพลางหันกายวิ่งไป
“ช้าก่อน!” ไป๋ต้าเดินมา เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “จำไว้อย่าให้ข่าวรั่วไหล”
เห็นผีที่ไปรายงานวิ่งออกไปไกล ไป๋ต้าก็ถอนสายตากลับมา จ้องไปเบื้องหน้าอย่างตื่นเต้น
การบรรลุระดับขั้นไปอยู่ในระดับแม่ทัพผีเช่นนี้ นั่นหมายความว่าผีที่อยู่ด้านในเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ เป็นเป้าหมายใหญ่ในการเชิญชวนของเมืองต่างๆ
หึๆ เฮยเอ้อร์ เฟิงเหนียงจื่อ รีบไปไม่สู้บังเอิญ ครั้งนี้พวกเจ้าอย่าคิดจะมาแย่งชิงกับข้า
ขณะที่กำลังขบคิดอย่างสวยหรูอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเสนาะโสตดังขึ้น “เอ๋ ไป๋ต้า บังเอิญเสียจริง เจ้าก็อยู่ที่นี่”
ไป๋ต้าลอบเอ่ยว่า ผีร้ายยังคงตามติด คราหนึ่ง แล้วหันหน้ากลับมาด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม “น้องสาวเฟิง บังเอิญเสียจริง หากไม่บอกก็คงคิดว่าพวกเราสองคนมีวาสนาต่อกันนะนี่”
เฟิงเหนียงจื่อเองก็ไม่ได้โมโห กลับหัวเราะคิกคักแล้วยื่นนิ้วออกไป “ข้าว่า เจ้ากับเฮยเอ้อร์ต่างหากถึงจะมีวาสนาต่อกัน”
ไป๋ต้ามองไปตามทิศที่นิ้วชี้ไป ก็เห็นใบหน้าเย็นชาของเฮยเอ้อร์ พาฝูงผีเข้ามาอย่างรีบร้อน
…
ด้านใน มั่วชิงเฉินกำลังนั่งสมาธิเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้อย่างจนปัญญา
คิดไม่ถึงจริงๆ นางแค่ลองฝึกฝนดูเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะหยุดไม่ได้ นี่มันเรื่องอะไรกัน
หรือว่านางเป็นคนไร้ประโยชน์ในดินแดนเซียน แต่พอตายแล้วกลับกลายเป็นยอดอัจฉริยะในแดนผี
นั่นก็ไม่ควรจะกระโดดข้ามขั้นจากระดับผี ผ่านระดับขุนพลผี และบรรลุเป็นแม่ทัพผีต่อเลยสิ
ที่ท้องรู้สึกเจ็บ มั่วชิงเฉินเหงื่อแตกพลั่ก ไม่กล้าขบคิดซี้ซั้วอีก ตั้งใจฝึกฝนต่อไป
…
เมฆสีดำเหนือเพดานห้องรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ปราณมรณะรวมตัตฃวกันกลายเป็นหมอกควันที่ดูเสมือนจริง วนล้อมรอบห้องเอาไว้
เงาร่างผีสามตนร่อนลงมาจากคนละทิศละทางจนแทบจะแยกแยะไม่ได้ว่าผู้ใดมาก่อนมาหลัง
สองผีเฮยไป๋และเฟิงเหนียงจื่อพลันเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน “คารวะท่านแม่ทัพ!”
ฝูงชนเกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้น “โอ้ เป็นใต้เท้าแม่ทัพผี!”
แม่ทัพผีทั้งสามตนพยักหน้าให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง แล้วสายตาพลันปะสานกัน
“พี่หลิง พี่จ้าว ไม่ได้พบกันเสียนาน” บุรุษสวมชุดเกราะเหล็กสีเหลืองเอ่ยพร้อมทำความเคารพ
แม่ทัพหลิงสวมชุดคลุมสีขาว หน้าตางดงาม ร่างกายสูงชะลูด เมื่อปรากฏตัว ก็มีสายตาของผีสาวมากมายจับจ้องไป
เขาฉีกยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยกับแม่ทัพเกราะสีเหลือง “พี่อู่ พบกันอีกแล้ว” เอ่ยจบก็มองบุรุษสวมชุดสีดำ “พี่จ้าว ท่านยังคงพูดน้อยดังเดิม”
แม่ทัพจ้าวพยักหน้าน้อยๆ นับว่าเป็นการทักทาย สองมือกอดอกมองเมฆสีดำเทาเหนือห้องพัก
อีกสองคนก็ไม่ได้พูดมาก สายตามองไปทางนั้นเช่นกัน
หมู่เมฆมากขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ปกคลุมห้องพักเอาไว้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉับพลันนั้นลำแสงสีทองสายหนึ่งก็ทะลวงผ่านเพดานห้องขึ้นไปบนท้องฟ้า
ท่ามกลางลำแสงสีทอง เงาร่างของหญิงสาวสวมชุดกระโปรงธรรมดาๆ ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น
ทุกคนล้วนกลั้นหายใจ จ้องเขม็งไปบนท้องฟ้า
ลำแสงสีทองค่อยๆ จมหายเข้าไปในร่างของหญิงสาว พลังวิญญาณพลุ่งพล่าน กระโปรงของหญิงสาวและเรือนผมปลิวสะบัด เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา
“สำเร็จแล้ว” แม่ทัพหลิงเอ่ยพึมพำ
แม่ทัพผีและขุนพลผีมีความห่างชั้นกันเป็นอย่างมาก ในอดีตกาล ทางเชื่อมระหว่างแดนมนุษย์และแดนผียังไม่พังทลาย หลังจากฝึกฝนจนอยู่ในระดับแม่ทัพผีแล้วก็จะถูกสั่งให้ไปธุระในแดนมนุษย์ได้ ไม่หวาดกลัวแสงอาทิตย์ในแดนมนุษย์อีก
ว่ากันว่าพลังเช่นนี้เป็นผลมาจากการซึมซับลำแสงสีทองเข้ามาในร่างยามที่บรรลุมาอยู่ในระดับแม่ทัพผี
“แม่ทัพหลิง นางคือแม่นางผู้นั้นที่พวกเราตามหา!” ไป๋ต้าเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
มั่วชิงเฉินเก็บพลังวิญญาณ ไม่คิดจะมอง กระตุ้นกระสวยผสมปราณหนีไปทันที
“ตามไป!” แม่ทัพผีทั้งสามสำแดงสมบัติวิเศษของตนเองออกมา หายวับไปต่อหน้าทุกคน
เมฆสีเทาสลายหายไป มั่วชิงเฉินเก็บกระสวยผมปราณ มองรอบๆ ด้าน พบว่าตนอยู่ในป่าที่กว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา
มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดูแล้วคงออกมาจากเมืองวั่งเซิงแล้ว
กระสวยผสมปราณหนีออกมาได้พันลี้ ผู้อื่นอยากไล่ตามก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
กลิ่นอายแปลกประหลาดโชยมา มั่วชิงเฉินหน้าเปลี่ยนสี พลันเห็นบุรุษสวมชุดคลุมสีขาวร่อนลงมา
“แม่นางบรรลุมาอยู่ในระดับแม่ทัพผีแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก ข้าน้อยผู้เป็นแม่ทัพยังไม่ทันได้แสดงความยินดี ไยรีบร้อนจากไปเล่า” แม่ทัพหลิงเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ว่าแม่ทัพผีผู้นี้ตามนางทันได้อย่างไร ใบหน้ากลับราบเรียบ เอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านแม่ทัพมีมารยาทเกินไปแล้ว ยามนี้ได้แสดงความยินดีแล้ว ข้าน้อยก็ไปได้แล้วสินะ”
เสียงหัวเราะสดใสดังมา “พี่หลิง มีช่วงเวลาที่ท่านรั้งคนไม่ไว้ไม่ได้เช่นกันสินะ”
มองไปพลันมีคนมาทันอีกคน มั่วชิงเฉินพลันตัดสินใจกระตุ้นกระสวยผสมปราณ
โล่สีเหลืองพลันบินออกจากมือแม่ทัพอู่ผู้สวมชุดเกราะเหล็กสีเหลือง แล้วกลายเป็นผ้าไหมบางเบา ปกคลุมผืนดินเอาไว้
กระสวยผสมปราณร่อนลงในมือของมั่วชิงเฉินอีกครั้ง
“ทั้งสองท่านมีเจตนาใด” มั่วชิงเฉินเห็นกระสวยผสมปราณไร้ประสิทธิภาพ ก็ไม่บุ่มบ่ามอีก ยืนเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชาอยู่ที่เดิม
ยามนี้พลันมีเงาสีดำอีกสายร่อนลงมา
มองเห็นแม่ทัพทั้งสามมากันอย่างครบครัน มั่วชิงเฉินก็รู้ว่าหากคิดจะหนีก็ไม่ง่ายดายแล้ว
“แม่นางไม่ต้องกังวล ข้าน้อยมาจากเมืองเซียวเหยา มาเรียนเชิญแม่นางเข้าเมืองของข้าด้วยใจจริง” แม่ทัพหลิงเอ่ย
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “ท่านทั้งสองล่ะ ก็คิดจะมาเชิญให้ข้าเข้าร่วมเช่นกันสินะ”
เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัด มั่วชิงเฉินก็หัวเราะอย่างเย็นชา “เหตุใดข้าน้อยดูแล้ว ทั้งสามท่านไม่ได้มาเรียนเชิญล่ะ เหมือนจะมาบีบบังคับ”
แม่ทัพอู่ในชุดเกราะเพสีเหลืองเบะปาะพลางเอ่ย “นั่นก็เพราะพวกเราไม่ทันได้เชิญ แม่นางก็หนีแล้ว ถึงได้ตามมาซักถาม”
“ข้าน้อยชินกับการอยู่คนเดียว คงไม่คิดจะเข้าร่วมสำนักพรรคไหนชั่วคราว” มั่วชิงเฉินเอ่ยพลางมองทั้งสามคน “อีกอย่างทั้งสามท่านมาเรียนเชิญพร้อมกัน ข้าน้อยตอบรับท่านไหนก็คงไม่ดีนัก จะไม่ทำให้อีกสองท่านผิดหวังหรือ”
สิ้นเสียงของนาง แม่ทัพผีทั้งสามก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
หากแม่นางผู้นี้ดื้อดึงไม่ยินยอม พวกเขาก็จำต้องร่วมมือกันจับเอาไว้ แต่จะเข้าร่วมพรรคไหนกันแน่ ก็อาจจะต้องสู้รบกัน แต่เช่นนั้น อัตราการเสียเวลาเปล่าก็จะมากหน่อย
ถือโอกาสที่ทั้งสามคนลังเล มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ดังนั้นข้าน้อยจากไปจะดีกว่า จะได้ไม่ทำให้ทั้งสามท่านอารมณ์เสีย”
เอ่ยจบก็ตบฝ่าเท้า บินไปด้านหน้า
กลิ่นอายแข็งแกร่งพลันพัดมา พลังวิญญาณปั่นป่วน มั่วชิงเฉินร่วงลงมา
บุรุษหน้าเขียวปรากฏขึ้นตรงหน้า มองดูแม่ทัพผีทั้งสามด้านหลัง “ชนรุ่นหลังทั้งสามน่าสนใจนัก คาดไม่ถึงว่าจะถูกคำพูดของหญิงสาวทำให้สับสน ทำให้นางได้โอกาส”
แม่ทัพทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยขึ้นพร้อมกัน “คารวะอาจารย์ชิงหยวน!”
บุรุษหน้าเขียวยกมือขึ้น “ไม่ต้องมากพิธี ในเมื่อข้าผู้เป็นอาจารย์มาพบแม่นางผู้นี้ ก็จะเป็นผู้พาไปเอง พวกเจ้าไปได้แล้ว”
“เรื่องนี้…” แม่ทัพผีทั้งสามไม่ยินยอมเล็กน้อย
บุรุษหน้าเขียวหรี่ตา “ทำไม อยากประลองกับข้าหรือ ยังไม่คราวของพวกเจ้าหรอก ไปเรียกนายท่านของพวกเจ้ามาสิ หากไม่ไป ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว!”
แม่ทัพผีทั้งสามมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วคารวะให้กับบุรุษหน้าเขียว แล้วหันหลังจากไป
บุรุษหน้าเขียวถึงได้มองมั่วชิงเฉิน “เอาล่ะ นางหนู ตามข้ามาเถิด”
มั่วชิงเฉินร้องว่าแย่แล้วในใจ อาจารย์ผีนั้นเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด หากเมื่อครู่เผชิญหน้ากับแม่ทัพผีทั้งสาม นางอาจจะยังพอใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือสู้ได้ แต่กับอาจารย์ผีท่านนี้ ดูแล้วคงมีแต่ต้องให้ความร่วมมือแล้ว
เดินตามเขาไปอย่างไม่ปริปาก บุรุษหน้าเขียวพลันหันหน้ามา สายตาตกอยู่ที่ทรวงอกของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหน้าแดงระเรื่อ ไม่ได้เขินอาย แต่กำลังโกรธเกรี้ยว
“นี่คืออะไร” บุรุษหน้าเขียวไม่ละสายตา คาดไม่ถึงว่าจะยื่นมือมาตะปบที่ทรวงอกของนาง
มั่วชิงเฉินถอยหลังไปในทันที สายตากวาดออกไป จิตใจหนักอึ้ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยามที่บรรลุระดับขั้นพลังวิญญาณปั่นป่วน หรือว่ายามหนีนั้นรีบร้อนเกินไป น้ำเต้าที่แขวนอยู่ตรงคอจึงเผยออกมาด้านนอก และยิ่งไปกว่านั้นยังแผ่ลำแสงจางๆ ออกมา
สมควรตาย!
มั่วชิงเฉินรู้สึกหงุดหงิด เมื่อบรรลุระดับได้ก็ถูกแม่ทัพผีสามตนบีบให้ต้องหนี คาดไม่ถึงว่าจะไม่เคยประสบมาก่อน!
บุรุษหน้าเขียวเห็นมั่วชิงเฉินถอยหลัง ก็สะบัดแขนเสื้อ พลังวิญญาณรัดร่างของนางเอาไว้ มือตะปบไปที่น้ำเต้าใบน้อยอย่างรวดเร็ว
ลำแสงสีทองพุ่งออกมาจากปากน้ำเต้า จมหายเข้าไปในฝ่ามือของบุรุษหน้าเขียว ร่างกายของบุรุษหน้าเขียวแข็งค้าง
มั่วชิงเฉินอดที่จะดึงธนูเขียวซ่อนเร้นออกมาไม่ได้ ศรไม้ท้อทะยานออกไป
เสียง พรึ่บ ดังขึ้น ศรไม้ท้อจมหายเข้าไปในทรวงอกของบุรุษหน้าเขียว
บุรุษหน้าเขียวแค่นเสียงอย่างกลัดกลุ้มใจ รู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างอดไม่ ลงมือโจมตีอย่างไม่ปรานี
ร่างของมั่วชิงเฉินกระเด็นลอยไป ไข่มุกโลหิตโปร่งใสกลิ้งหลุนๆ ร่วงลงมา
ชั่วพริบตานั้นน้ำเต้าน้อยที่อยู่ตรงคอก็เปล่งแสงสว่างวาบ
บุรุษหน้าเขียวเห็นแล้วพลันตกตะลึง ผู้ที่ถูกเขาโจมตีจนกระเด็นพลันสลายหายไปทันที