พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 604 พบกันอีกครั้งอย่างอึดอัดใจ
มั่วชิงเฉินเหาะผ่านเทือกเขาพร้อมกับเสือขนสีน้ำเงิน มุ่งตรงไปยังภูเขาส่วนลึก เห็นทิวทัศน์รอบกาย ใจพลันรู้สึกเหลือเชื่อ
ตอนวัยเยาว์นางไม่เคยออกนอกหมู่บ้านมาก่อน ปีนั้นที่พาตู้รั่วมา เพิ่งจะถึงตรงนี้ก็บังเอิญพบเข้ากับเจ้าปีศาจ ไม่ทันได้มองให้ดี ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงภูมิประเทศที่แปลกประหลาด
จะว่าไปแล้ว มั่วชิงเฉินเชื่อว่าระดับฝีมือในการหลอมโอสถของนางอยู่ในระดับสูงสุดของทั่วทั้งดินแดนเทียนหยวน ทว่านางก็ไม่ใช่อัจฉริยะอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลอมยุทธภัณฑ์ เขียนยันต์ หรือว่าค่ายกล นางเข้าใจแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อาศัยเพียงความรู้ผิวเผินก็สังหรณ์ใจว่าที่แห่งนี้แตกต่างจากเทือกเขาปกติ ดูราวกับว่าที่นี่เป็นสถานที่พิเศษ
แน่นอนว่า ความรู้สึกเช่นนี้เป็นผลมาจากระดับในการบำเพ็ญเพียร ในตอนนี้ ถ้าหากว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำกว่าระดับก่อกำเนิดและไม่เข้าใจเกี่ยวกับค่ายกล แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางมันก็ไม่อาจรู้สึกได้ถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย
“อาชิง คนผู้นั้นรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรหรือ”
เสือขนสีน้ำเงินใช้ความคิดอย่างหนักก่อนจะเอ่ย “ข้าคิดว่ามนุษย์เพศชายรูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กัน”
มั่วชิงเฉินหมดคำจะพูด…
เหาะอยู่ราวหนึ่งชั่วยาม เสือขนสีน้ำเงินก็หยุดลง “ถึงแล้ว”
มั่วชิงเฉินเห็นภูเขาสูงที่ใบไม้ร่วงโกร๋นจนภายนอกเหมือนสีน้ำตาลเข้ม “ที่นี่หรือ”
เสือขนสีน้ำเงินพยักหน้า “ท่านรอสักครู่”
พูดจบก็ทะยานขึ้นไปบนก้อนหินเกลี้ยงเกลาก้อนหนึ่ง ยื่นอุ้งเท้ากดหนึ่งคราและรีบหลบออกมาอย่างรวดเร็ว
สิ่งนั้นที่ถูกอุ้งเท้ากดลงมีน้ำพุสีดำพ่นออกมาหนึ่งสาย พร้อมทั้งส่องแสงประหลาดใต้แสงตะวัน
ลมหนาวยามฟ้าครึ้มปะทะเข้าหน้า
แววตาของมั่วชิงเฉินเข้มขึ้นโดยพลัน คาดไม่ถึงเลยว่าที่แห่งนี้จะเป็นน้ำพุเย็นใต้ดินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ในม้วนคัมภีร์หยกบันทึกไว้ว่า สถานที่ที่มีน้ำพุเย็นใต้ดิน มักเป็นสถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้น หรือว่าที่แห่งนี้จะเป็นทางเข้าของแดนหยินแห่งนั้น
“กระโดดลงไปก็ถึงแล้ว” เสือขนสีน้ำเงินพูดจบก็มองไปทางมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าสับสน
“ทำไม”
เสือขนสีน้ำเงินพูดอ้ำอึ้ง “เจินจวิน ท่านกระโดดก่อนได้หรือไม่”
มั่วชิงเฉินส่ายหน้า “มิได้”
เสือขนสีน้ำเงินเป็นกลุ้มใจยิ่งกว่าเดิม มันถูอุ้งเท้ากับหินก้อนใหญ่อย่างร้อนรน “หากเขารู้ว่าข้าพาคนมา ข้าไม่ตายดีแน่”
มั่วชิงเฉินคิดว่าความน่าจะเป็นที่คนผู้นั้นจะเป็นเจ้าปีศาจเพิ่มขึ้นหลายส่วน ทั้งๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าสามารถทำให้อสูรปีศาจขั้นเจ็ดตนหนึ่งหวาดกลัวได้เพียงนี้ เกรงว่าจะเป็นการบีบบังคับของผู้มีอำนาจเหนือกว่า
เมื่อนึกถึงเจ้าปีศาจ นึกถึงการเดินทางหลายเดือนในแดนผีอีกทั้งลูกศิษย์ที่สิ้นลมอย่างน่าสังเวช มั่วชิงเฉินก็กล่าวอย่างอารมณ์เสีย “จะไม่ตายดีตอนนี้หรือว่าจะรออีกสักหน่อย เจ้าเลือกมาสักอย่าง”
เสือขนสีน้ำเงินอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างผิดปกติ “มนุษย์อย่างพวกเจ้า ชอบให้ผู้อื่นเลือกเช่นนี้หรือ”
“อ้อ ดูท่าว่าเจ้าจะเลือกข้อแรกแล้ว” มั่วชิงเฉินหยิบก้อนอิฐขึ้นมาอย่างใจเย็น
หนวดของเสือขนสีน้ำเงินกระตุก มันกระโดดลงไปในน้ำพุเย็นอย่างคับแค้นใจ
มั่วชิงเฉินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งปกป้องร่างเอาไว้ จากนั้นกระโดดตามลงไป
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา น้ำพุเย็นก็ค่อยๆ ร่วงลงไป หินก้อนใหญ่กลับไปเป็นรูปร่างเดิม
จากนั้นไม่นาน มั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอีก็ร่อนลงมา
“น้องสิบ เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นที่นี่”
ความเร็วของพวกนางไม่เท่ามั่วชิงเฉิน อีกทั้งยังเกรงว่าตามมาใกล้แล้วจะถูกพบ จึงเว้นช่วงอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็คลาดกันเสียแล้ว แต่มั่วหร่านอีเหาะตามแนวหุบเขาทอดยาวจนมาถึงที่นี่ มั่วเฟยเยียนจึงถามออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก
สีหน้าของมั่วหร่านอีแปลกไป “ข้าก็ไม่แน่ใจนัก เพียงแต่คิดว่ามันช่างบังเอิญนัก พี่เก้า ท่านยังจำได้ที่ข้าเล่าว่าข้าบังเอิญเข้าไปในแดนลึกลับได้หรือไม่”
มั่วเฟยเยียนพยักหน้า
มั่วหร่านอีชี้นิ้วออกไปพลางพูด “มันคือที่นี่ เช่นนั้นข้าคาดว่า ไม่แน่พวกน้องสิบหกอาจจะมาที่นี่”
พูดจบก็สำรวจรอบๆ เห็นก้อนหินเกลี้ยงเกลาก้อนนั้น พลันมีสีหน้าดีใจและกระโดดขึ้นไปข้างบน
ทางด้านมั่วชิงเฉิน หลังจากกระโดดลงไปแล้ว น้ำพุสีดำรอบกายเย็นเยียบไปถึงกระดูก หลังจากพยายามต่อไปชั่วครู่ ปลายเท้าก็เหยียบลงบนผืนดิน
คาดไม่ถึงเลยว่าปลายทางของช่องทางน้ำพุเย็นอันแสนยาวไกลที่เหมือนอุโมงค์ทะลุไปถึงมิติประหลาด กลับไม่ใช่ใต้ดินเช่นที่นางคิด แต่เป็นดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ดอกไม้บานสะพรั่งต้นไม้อุดมสมบูรณ์ ในอากาศมีกลิ่นอายของความเย็นพัดผ่าน อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมดอกเหมยเย็นๆ
สตรีหลายคนกำลังนั่งนอนด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย มั่วชิงเฉินมองไปก็รู้สึกว่าสตรีเหล่านี้ล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดา ทั้งหมดสิบคนไม่ขาดไม่เกิน
มั่นชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากคำกล่าวของอาชิง สี่สิบกว่าปีก่อนมันเริ่มลักพาตัวเด็กสาว แต่ดูแล้วสตรีเหล่านี้ผู้ที่อายุมากที่สุดก็ดูท่าทางจะอายุไม่เกินสามสิบต้นๆ
หรือว่า สตรีที่อาศัยอยู่ที่นี่สามารถชะลอความชราของใบหน้าได้เช่นนั้นหรือ
“ท่านปู่ชิง ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ…” สตรีอายุน้อยหลายคนวิ่งเข้ามา มีนางหนึ่งดูแล้วอายุไม่น่าเกินสิบปี
ท่านปู่ชิง…มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุกอย่างแรง
เด็กหญิงอายุสิบกว่าปีคนนั้นมองมั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างหลังเสือขนสีน้ำเงิน ดวงตาทั้งสองข้างกลมโต “ท่านปู่ชิงเจ้าคะ พี่สาวที่ท่านพากลับมาครานี้งดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“อย่าได้พูดซี้ซั้ว” เสือขนสีน้ำเงินยื่นอุ้งเท้าไปลูบแก้มเด็กหญิงอย่างหลงไหล จากนั้นก็ลูบอีกครา
มั่วชิงเฉินกระแอมเสียงดัง
เสือขนสีน้ำเงินกลัวจนอุ้งเท้าสั่น มันรีบชักอุ้งเท้ากลับตามด้วยพูดอธิบาย “ข้าเพียงแค่ลูบเล่นๆ…”
“ข้าทราบ” มั่วชิงเฉินมองปราดไปที่บั้นท้ายของเสืออย่างไม่ได้ตั้งใจ
ใบหน้าของเสือขนสีน้ำเงินเปลี่ยนเป็นสีแดง หางของมันตกลงอย่างไม่รู้ตัว มันพูดด้วยความขุ่นเคืองจากความอาย “เจ้ามองอะไร!”
จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกอับอายขึ้นมาเมื่อเผชิญเข้ากับสายตาประณามจากเสือขนสีน้ำเงิน นางกระแอมสองที “แล้วคนเล่า”
“เจ้าตามข้ามา” เสือขนสีน้ำเงินหันหน้าแล้วเดินไป หลังจากนั้นก็คล้ายกับนึกออกว่าหากเดินอยู่ข้างหน้าบางตำแหน่งก็จะถูกจ้องมอง ร่างกายก็หยุดนิ่งไม่ไหวติง
“เจ้าไปก่อน”
มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะ “ข้าก็อยากทำเช่นนั้น ทว่าข้ามิรู้ทาง…”
เสือขนสีน้ำเงินนำทางด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง มันเร่งความเร็ว จากนั้นก็หยุดลงตรงหน้ากำแพงภูเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ “เขาอยู่ข้างในนี้”
พูดจบมันก็พินิจพิเคราะห์มั่วชิงเฉินอย่างตื่นตัวอยู่ครู่ จากนั้นก็วิ่งหางตกออกไป มั่วชิงเฉินไม่สนใจถือสาหาความ ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นหมอกจางกั้นอยู่เบื้องหน้า จากนั้นเอาตัวแทรกเข้าไปในรอยแยกแคบๆ ของกำแพงภูเขา
รอยแยกนั้นยาวไม่ถึงสิบจั้ง ทว่ามีหมอกหนาปกคลุมอยู่ทั่วและมีธารน้ำเย็นเยียบตื้นๆ อยู่เบื้องล่าง
สัมผัสทั้งหมดล้วนถูกปิดกั้นภายในทุกตารางนิ้วของที่แห่งนี้
มั่วชิงเฉินระแวดระวังมากยิ่งขึ้น นางเก็บก้อนอิฐและหยิบกระบี่ชิงมู่ออกมา
เคล็ดกระบี่โบราณนับว่าเป็นหนึ่งในอาวุธสังหารของนางในยามอันตราย
ไม่นานมั่วชิงเฉินก็มาถึงปลายทาง รอบกายของนางมีไหมเกล็ดน้ำแข็งโอบล้อม กระบี่ยาวตวัดหนึ่งคราในท่วงท่าหิมะโปรยปรายกลับสู่ฤดูวสันต์ แทงทะลุสิ่งกีดขวางจากหมอกหนา จากนั้นก็กระโดดออกไป
ไม่ทันจะได้ร่อนลงก็รู้สึกถึงลมแรงปะทะเข้ามา
มั่วชิงเฉินใช้กระบี่ชิงมู่รับมือกับมัน
โลหะกระทบกันจนเกิดเสียงใสดังขึ้น อีกทิศทางก็เกิดลมปราณผันแปร
มั่วชิงเฉินลื่นไถล อาศัยเงาเลือนรางหลีกเลี่ยงการโจมตีจากทั้งสองทาง ด้านหน้ามีเงาร่างสูงใหญ่ฝีเท้าส่งเสียงดังราวฟ้าคำราม มือเงื้อขวานด้ามใหญ่ฟันฉับลงไปที่ศีรษะของนาง
รอยแยกแคบๆ ขยายออก หมอกหนาจางหายไป ชั่วพริบตามั่วชิงก็เห็นคู่ต่อสู้ของนางอย่างชัดเจน
เงาร่างสูงใหญ่ตรงหน้าคือบุรุษเปลือยท่อนบน ผิวกายส่องแสงสีทองราวเทพสวรรค์
บุรุษทางด้านซ้ายมือที่ถือกระบี่คือผู้ที่ปะทะกับกระบี่ชิงมู่ของนาง ด้านขวามือคือเด็กชายคนหนึ่งที่เหาะขึ้นลงได้อย่างคล่องแคล่ว
มั่วชิงเฉินขว้างก้อนอิฐออกไปปะทะเข้ากับขวานยักษ์ในมือของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ อีกทั้งใช้ท่าร่างอย่างคล่องแคล่วหลบหลีกการก่อกวนจากเด็กชาย ชั่วพริบตากระบี่ชิงมู่ในมือก็เปลี่ยนไปหลายรูปแบบ บังคับให้บุรุษผู้ถือกระบี่ต้องล่าถอย
เสียงโลหะดังขึ้น ปราณกระบี่ที่กระบี่ชิงมู่ส่งออกไปตัดผ่านเสื้อผ้าของบุรุษผู้ถือกระบี่ เผยให้เห็นผิวกายเงาวาวราวกับหยกอันไร้ตำหนิใดๆ
สีหน้าของมั่วชิงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นหุ่นเชิด!
มองบุรุษรูปร่างสูงใหญ่กับเด็กชายอย่างละเอียดอีกคราก็พบว่าทั้งสองไร้ลมหายใจของคนเป็น
หุ่นเชิดทั้งสามมีพลังของระดับก่อกำเนิดขั้นต้น ว่าตามจริงแล้วผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้นทั้งสามคนไม่สามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลางหนึ่งคนได้ แต่แม้ว่าหุ่นเชิดทั้งสามตัวนี้ไร้สติปัญญา แต่กลับร่วมมือกันได้อย่างราบรื่น ประหนึ่งว่าดวงใจหนึ่งดวงควบคุมร่างทั้งสาม ทุกการโจมตีล้วนรอบคอบไร้จุดบอด
ชั่วขณะหนึ่งมั่วชิงเฉินก็ไม่อาจหนีได้
ลมหนาวยะเยือกปะทะทางด้านหลังของมั่วชิงเฉิน ส่งผลให้นางถลาไปข้างหน้าทันที ปลายเท้าตรึงลงบนผืนดินอย่างมั่นคง ในระหว่างที่กำลังถลาไปข้างหน้าจู่ๆ นางก็บิดกายพลางยกขาขึ้นเตะไปยังช่องอกของเด็กชาย
หุ่นเชิดเด็กชายลอยออกไปราวว่าวที่เชือกขาด กระแทกเข้ากับกำแพงภูเขาและตกลงมา ทั่วทั้งร่างไม่มีส่วนไหนได้รับความเสียหายเว้นแต่ช่องออกที่กลายเป็นโพรงลึก จนมองเห็นถึงผลึกที่ถูกซ่อนเอาไว้ได้อย่างเลือนราง
ผลึกที่ถูกซ่อนเอาไว้เป็นวัสดุที่เหมาะที่สุดสำหรับใช้หลอมหัวใจของหุ่นเชิดระดับสูงและราคาสูง
หุ่นเชิดเด็กชายสูญเสียพลังในการต่อสู้ ระดับก่อกำเนิดขั้นกลางอย่างมั่วชิงเฉินก็สามารถรับมือกับหุ่นเชิดอีกสองตัวได้อย่างง่ายดายและจัดการพวกมันทีละตัวได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นพินิจพิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบกาย
ยอดเขาสูงตระหง่านปรากฏแก่สายตา สูงชะลูดจนแทบจะเข้าไปในหมู่เมฆ บนยอดเขามีดวงจันทร์ยามเหมันต์แขวนอยู่
น้ำตกแคบยาวที่เย็นสงบ ตกลงมาจากยอดเขา ก่อตัวเป็นแอ่งน้ำที่เบื้องล่าง
บุรุษผู้หนึ่งนอนเปลือยกายอยู่กลางแอ่งน้ำ เนื่องจากแอ่งน้ำตื้นเขินมาก อีกทั้งในแอ่งน้ำยังมีหินก้อนใหญ่อยู่มากมายและบุรุษผู้นี้นอนหงายอยู่บนหินก้อนใหญ่เกลี้ยงเกลา ร่างกายของเขาจึงถูกมั่วชิงเฉินมองแทบจะทุกส่วน
มั่วชิงเฉินที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าสองแก้มขึ้นสีระเรื่อ แต่ก็ไม่ได้กรีดร้องและไม่ได้หันหลัง แต่กลับสำรวจบุรุษผู้นั้นอย่างระแวดระวังอยู่เงียบๆ
ในสภาพแวดล้อมและเจอกับศัตรูที่ไม่คุ้นเคย นางไม่อาจทำท่าทางเช่นสตรีทั่วไปและให้ฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสได้
เพียงแค่ยามที่สายตาของนางทอดมองไปยังใบหน้าของบุรุษผู้นั้น ร่างกายก็แข็งทื่อขึ้นมาโดยพลัน
ประจวบเหมาะกับที่บุรุษผู้นั้นลืมตาขึ้นในตอนนั้น สายตาทั้งสองคู่ประสานกัน ชั่วขณะนั้นทุกสิ่งอย่างก็เงียบสงบลง
จากนั้นทั้งสองก็ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ
มั่วชิงเฉินหันกายกลับไปทันที ตามด้วยร้องเสียงแหลม “สหายลั่ว เหตุใดถึงเป็นเจ้า!”
เสียงตูมดังขึ้น มั่วชิงเฉินคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหลัวอวี้เฉิงจึงรีบหันกลับไป ก็เห็นเขาลื่นจากหินก้อนใหญ่ตกลงไปในน้ำอย่างตื่นตระหนกเพื่อปกปิดร่างกายไว้ เขาจ้องมองมาด้วยสีหน้าจนตรอกที่สุดเท่าที่จะทำได้
ชั่วขณะนั้นมั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าต้องทำตัวเช่นไรจึงได้แต่เบิกตาจ้องกลับไป
คนทั้งสองถลึงตาจ้องมองกันอยู่ชั่วครู่ ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคยที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นางใบหน้าเขียวคล้ำจากนั้นก็ร้องเสียงแหลม “สหายลั่ว เสื้อผ้าของเจ้าเล่า!”
ไม่ว่าหลัวอวี้เฉิงจะฉลาดและสุขุมเพียงใด ทว่าเมื่อเจอกับมั่วชิงเฉินที่เขาคิดว่าดับสูญไปนานแล้วเข้าก็ทำอะไรไม่ถูก
เมื่อกลับไปสงบดังเดิมก็มองไปทางมั่วชิงเฉินที่กำลังกรุ่นโกรธ ความรู้สึกปีติที่ยากจะอธิบายก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ท้ายที่สุดมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้ม “สหายมั่ว มิได้พบกันเสียนาน เจ้าสบายดีหรือ แต่สีหน้าของเจ้าดูมิค่อยดีนัก”
มั่วชิงเฉินใบหน้าเขียวคล้ำยิ่งกว่าเดิม นางตะคอก “รีบสวมเสื้อผ้าเสีย พี่สิบกับพี่เก้าของข้ากำลังจะมาแล้ว!”
พูดมาถึงตรงนี้ก็กลัวเขาจะตกใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก นางกล่าวเตือน “พี่สิบของข้าคืออดีตคู่ตุนาหงันของเจ้าอย่างไรเล่า!”
ทันใดนั้นใบหน้าของหลัวอวี้เฉิงก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ เขาตวาด “รีบโยนเสื้อผ้ามาให้ข้า!”
มั่วชิงเฉินโยนเสื้อคลุมที่นางใส่ในวันธรรมดาให้เขาด้วยความตื่นตระหนก