พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 641 วันเวลาของพวกเรา
บุรุษสวมชุดสีม่วงเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรที่พลังยุทธ์ต่ำต้อยกว่าตัวเองแล้วรู้สึกไม่แน่ใจเป็นครั้งแรก
แม้ว่าเขาจะเป็นจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่ง ประสบการณ์ที่ได้เคยพานพบมานั้นเป็นดั่งเซียนสันโดษอย่างแท้จริง แต่ยามนี้กลับไม่มั่นใจว่านางหนูผู้นี้เป็นฝ่ายทะลวงมรรคาของเขาหรือไม่ หรือว่าจะถูกมรรคาหล่อหลอมไปแล้ว
หากกล่าวว่าเป็นฝ่ายทะลวงมรรคา กลับเห็นได้ชัดว่าท่าทางของนางในยามนี้ตกอยู่ในมรรคาแห่งการสังหาร และยังอยู่ในโลกของมรรคาแห่งการสังหารราวกับกระดี่ได้น้ำมาหกสิบปี
ต้องเข้าใจว่าหลังจากทะลวงเขตแดนแล้วเข้าสู่โลกแห่งการตระหนักรู้ นั่นเป็นแค่การเฝ้ามองดูจากด้านข้าง ไม่มีทางพานพบกันได้ นอกเสียจากว่าจะเป็นผู้ที่ฝึกฝนมรรคาเดียวกัน
แต่หากกล่าวว่าถูกหล่อหลอมเข้าสู่มรรคาแล้ว เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าพลังลึกลับเหล่านั้นเริ่มไหลออกจากในร่างเล่า
หรือว่าจะแค่รู้สึกไปเอง
“เซียวหย่วน เจ้าแพ้แล้ว” บุรุษสวมชุดสีขาวถอนหายใจออกมาเบาๆ
บุรุษสวมชุดสีม่วงไม่ได้หันกลับมา จ้องเขม็งไปที่มั่วชิงเฉิน “นางหนูคนนั้น ทะลวงมรรคาของข้าหรือ”
มั่วชิงเฉินกะพริบตา ดวงตาฟื้นฟูกลับมากระจ่างชัด รูม่านตาดำสนิทราวกับน้ำหมึก “มรรคา?”
เห็นท่าทางเช่นนั้นของนาง บุรุษชุดสีม่วงก็เข้าใจคำตอบ ใบหน้ากลับไร้ซึ่งสีหน้า แค่เอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าทะลวงได้อย่างไร เจ้าเข้าสู่มรรคาการสังหารแล้วชัดๆ”
มั่วชิงเฉินไม่ได้โง่เขลากับจุดนี้เลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว หลังจากเข้าสู่กำแพงถ่ายทอดก็รู้สึกผิดปกติ รู้สึกว่ากำแพงถ่ายทอดปกติน่าจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ ยามนี้ดูแล้ว คงเป็นเพราะพวกเขาทำอะไรบางอย่างลงไป
หลังจากครุ่นคิดคำนวณ ก็รู้ว่าเป็นเพียงแค่จิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่ง มั่วชิงเฉินรู้สึกหวาดกลัวเซียนสันโดษเหล่านี้น้อยลงหลายส่วน เพราะว่ามรรคาแห่งการสังหารเพิ่งจางหายไปจึงยังส่งผลกระทบอยู่บ้าง จึงเกิดความคิดหยอกล้อขึ้น นางหลับตาลงแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีโลหิตอีกครั้ง และเอ่ยทีละคำๆ ว่า “เช่นนี้นะหรือ”
จิตสังหารแผ่ออกไป เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นริมธารอันงดงาม ชั่วขณะนั้นพลันให้ความรู้ราวกับกำลังตกลงสู่อเวจี
ทั้งสามคนพลันตกตะลึง
จากนั้นก็เห็นมั่วชิงเฉินกะพริบตา สีโลหิตหายไป กลับมาสดใสอีกครั้ง จิตสังหารทั่วทั้งท้องฟ้าหายวับไป
ครั้งนี้ทั้งสามคนพลันหน้าเปลี่ยนสี
“เจ้า เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่” หญิงสาวเบิกตากลมโต ท่าทางไม่เข้าใจ
แม้ว่านางจะไม่ได้เดินเข้าสู่มรรคาแห่งการสังหาร แต่เนื้อแท้นั้นเหมือนกันอย่างไรอย่างนั้น
ตัวอย่างเช่น คนไม่อาจเดินอยู่บนถนนสองสายพร้อมกันได้!
ทั้งสามคนเป็นเซียนสันโดษที่มีความรู้มากมาย ครั้งนี้กลับเกิดความรู้สึกฉงนขึ้นมาพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินมองทั้งสามคน แล้วฉีกยิ้ม ไม่ได้คิดจะปิดบังจิตวิญญาณทั้งสามเสี้ยว “เพราะว่า ‘คืนปฐม’ คือมรรคาของข้า คืนสู่จุดดั้งเดิม”
นางเอ่ยอย่างผ่อนคลาย แต่กลับสัมผัสได้ถึงความอันตรายในนั้น
ยามนั้นหากได้รับฟังเสียงสองเสียงนั้นไม่ว่าเสียงใดก็ตาม จิตใจของนางจะต้องพังทลาย หรือสังหารคนไปอย่างไม่มีสติ หรืออาจจะกลายเป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอ
ยืดหยัดมรรคาในใจ มิใช่การยึดมั่น
หากกล่าวว่าเป็นเพราะกลัวมรรคาของตัวเองพังทลาย จึงยอมรับการดูถูกจากคนหน้าไม่อาย การถูกรังเกียจจากพวกยาจก แม้กระทั่งการถูกสุนัขชิงชัง ครอบครัวถูกรังแก เช่นนั้น มรรคาในใจเดิมของนางอยู่ที่ใดเล่า
ความจริงแล้วมันค่อยๆ หายไปทีละนิดๆ กระมัง
ต่อให้ทั้งๆ ที่รู้ว่าอยู่ในแดนมายาแล้วอย่างไร ความเจ็บปวดของจิตวิญญาณเหล่านี้กลับเป็นของจริง
หากสามารถทนได้ เช่นนั้นก็เป็นความจริงน่ะสิ เรื่องเกิดขึ้นเช่นนี้ เพียงปลอบใจตนว่าอยู่ในแดนมายาก็ได้แล้วหรือไร
จริงจริงเท็จเท็จ เท็จเท็จจริงจริง ในโลกที่ผู้คนคิดว่าเป็นโลกที่แท้จริงนั้น อาจจะเป็นแดนมายาในสายตาของคนจากอีกโลกใบหนึ่งก็ได้
แดนมายาที่ในความคิดของผู้คนเหล่านั้น ไม่ใช่ความจริงจริงหรือ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งใดควรอดทน สิ่งใดควรลงมือ นั่นก็ควรเป็นนางที่เป็นผู้ตัดสิน
ทุกเรื่องราว นางรู้สึกว่ายิ่งอดทนก็ยิ่งเข้ามาไม่หยุด นางรู้สึกว่าไม่อาจลงมือโดยง่าย มรรคาแห่งการสังหารแล้วอย่างไร ขอแค่ยังมีสติปัญญากระจ่าง ทุกอย่างก็ยังคงกลับคืนสู่ดั้งเดิมได้
มองชุดสีเขียวตรงหน้าปลิวไสว หญิงสาวที่เก็บเนื้อเก็บตัวกลับมีเสน่ห์เหลือล้น ทั้งสามคนพลันเงียบขรึม ขบคิดคำว่า ‘คืนปฐม’ ซ้ำไปซ้ำในใจ
เนิ่นนาน บุรุษชุดสีม่วงก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้มั่วชิงเฉิน
“เซียนจวิน?” มั่วชิงเฉินมองเคียวสีดำ รู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย
เคียวเล่มนี้ เหมือนกับที่นางใช้ฝึกประสบการณ์ในโลกนั้น ใช้อย่างคล่องมือมาแล้วหกสิบปี เมื่อมองเห็นในใจก็เกิดความรู้สึกดีใจ
“แพ้พนันแล้ว ต้องมอบให้เจ้า มันมีนามว่าเคียวแห่งการสังหาร เป็นวิญญาณของเคียว ไม่มีร่างที่แท้จริง เจ้ารับไว้เถิด หากไม่ชอบชื่อของมัน ก็เปลี่ยนเป็นชื่อที่เจ้าชอบได้ตามใจชอบ” บุรุษชุดสีม่วงเอ่ยอย่างราบเรียบ
มั่วชิงเฉินรับเคียวไว้แล้วคารวะ “ขอบพระคุณเซียนจวิน เคียวแห่งการสังหาร ชื่อนี้ดีมาก”
ของที่เดิมใช้เพื่อสังหาร ก็เหมาะกับมรรคาสังหารมากที่สุด จะเปลี่ยนชื่อเรียกไปทำไมกัน
ขณะกุมเคียวแห่งการสังหาร มั่วชิงเฉินพลันฉีกยิ้ม
ได้รับประสบการณ์ของระดับถอดดวงจิตและระดับแยกวิญญาณมา ก็เหมือนกับได้รับโคมไฟดวงหนึ่งมาส่องทางบนมรรคาแห่งเซียนที่ยิ่งปีนยิ่งสูงนี้ แม้ว่าหนทางจะเหมือนกัน แต่ก็ควรปีนขึ้นไปทีละก้าวๆ ด้วยตนเอง ยิ่งได้มองเห็นทิศทางที่ถูกต้อง จึงไม่ต้องอ้อม และย่อมไม่มีทางเดินทางผิด
นั่นก็หมายความว่า ความรู้ในการฝึกบำเพ็ญเพียรของนางทะลวงขีดจำกัดแล้ว และสิ่งเหล่านี้จะไม่กลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาระดับขั้นแล้ว
ประโยชน์เช่นนี้ กล่าวได้ว่าสมบัติและโอสถวิเศษใดๆ ก็เทียบไม่ได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เหตุใดเมื่อเห็นกำแพงถ่ายทอด เจินจุนระดับถอดดวงจิตทุกคนก็ยอมทิ้งการตามหาสมบัติเข้าไปในนั้น
ไม่ใช่แค่นี้ เป็นเพราะประสบการณ์ที่ได้รับเป็นโลกแห่งการสังหาร วันข้างหน้ามั่วชิงเฉินจึงสามารถเข้าสู่มรรคาแห่งการสังหารได้ตลอดเวลา เมื่อต่อสู้กับผู้คน พลังการสังหารก็เพิ่มขึ้น
เคียวแห่งการสังหารจมหายเข้าไปในฝ่ามืออย่างเงียบเชียบ กลับมีความรู้สึกเย็นเฉียบแผ่ออกมาทั่วร่าง ราวกับว่ากำลังกระตุ้นความปรารถนาในการสังหารดั้งเดิม
ทันใดนั้นรากวิญญาณเจ็ดสีก็เปล่งแสงเจิดจ้า ไร้ซึ่งระลอกคลื่น ไร้ซึ่งความดีใจและความโกรธเกรี้ยว ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ
มั่วชิงเฉินมองทั้งสามคน “เซียนจวินทั้งสามท่าน ไม่ทราบว่าสหายที่เข้ามาในกำแพงถ่ายทอดพร้อมกับอนุชนเป็นอย่างไรบ้าง”
“พวกเขาหรือ” หญิงสาวฉีกยิ้ม สะบัดแขนเสื้อ
กำแพงแสงสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าของมั่วชิงเฉิน
ภาพวาดหกภาพ สามภาพในนั้นรางเลือน ขมุกขมัว นอกจากนี้อีกสามภาพ แยกออกเป็นช่านหรานเจินจุนของสำนักฉางซู่ หลิงเฮ่อเจินจุนของพรรคหลิงเซียว และยังมีเยี่ยเทียนหยวน
สายตาของมั่วชิงเฉินตกอยู่ตรงของเยี่ยเทียนหยวน
ในภาพวาด มีฝุ่นทรายฟุ้งกระจาย เม็ดทรายปลิวว่อน ดวงอาทิตย์แขวนอยู่บนท้องฟ้า แผ่ลำแสงแผดเผาออกมา
เยี่ยเทียนหยวนก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ริมฝีปากแห้งผาก เท่าที่เปลือยเปล่ามองเห็นโลหิตเป็นชั้นๆ ทุกย่างก้าวล้วนเกิดรอยเท้าบุ๋มลึก บนรอยเท้ายังมีคราบโลหิตสีแดงเข้ม
รอยเท้าที่มองไม่เห็นปลายทางเรียงอยู่ด้านหลังเขายาวขึ้นเรื่อยๆ ส่วนด้านหน้า ก็เป็นทิวทัศน์ที่มองไม่เห็นปลายทางและไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่นกัน
“เขาคือคู่บำเพ็ญเพียรของเจ้าหรือ” มองเห็นแววตาของมั่วชิงเฉินที่มองคนในภาพ หญิงสาวก็เอ่ยถาม
มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวหันกลับมายิ้ม “คู่ของเจ้าเองก็ไม่เลวนะ เขาเดินมาได้หกสิบกว่าปีแล้ว”
มั่วชิงเฉินหน้าเปลี่ยนสี “หกสิบปี?”
แน่นอนว่านางเข้าใจคำพูดของหญิงสาว นั่นก็หมายความว่า เยี่ยเทียนหยวนเดินมาตลอดหกสิบปี ทิวทัศน์รอบด้านก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง!
ตกลงต้องใช้ความเพียรเท่าไหร่กันแน่ ถึงจะยืนหยัดเดินต่อไปได้ โดยไม่เสียสติ!
จากมุมมองของมั่วชิงเฉิน มรรคาสายนี้น่ากลัวว่ามรรคาแห่งการสังหารเสียอีก
เมื่อเห็นแววตาเป็นห่วงฉายแวบผ่านในแววตาของมั่วชิงเฉิน หญิงสาวก็หัวเราะ “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะเดินไปอีกนานเท่าไหร่ หนึ่งปี สองปี หรือว่าสิบปียี่สิบปี แม้กระทั่งร้อยปี ต้องเข้าใจว่าเวลาในมรรคาสายนี้มันไหลไปจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดแผ่วเบาของหญิงสาว มั่วชิงเฉินก็มองนางอย่างราบเรียบแวบหนึ่ง เม้มปากเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ สามีเดินต่อไปได้ ก็ต้องออกมาได้”
“รู้ได้อย่างไร” หญิงสาวเลิกคิ้วฉีกยิ้ม
มั่วชิงเฉินหยักมุมปาก ไม่ได้ตอบคำถาม ในใจขบคิดว่า เพราะศิษย์พี่รู้ว่านางรอเขาอยู่ เพียงแต่ นางจะบอกผู้อื่นทำไมกัน
หญิงสาวหันหน้ามา “หนิงเหอ จะมีคนทะลวงมรรคาของเจ้าจริงๆ หรือ”
“ไม่มีมรรคาอะไรที่ทะลวงไม่ได้” บุรุษชุดขาวเอ่ยอย่างราบเรียบ แต่กลับมองมั่วชิงเฉินอย่างตั้งใจแวบหนึ่ง แล้วมองเยี่ยเทียนหยวนในภาพวาด สีหน้าแปลกประหลาดไปเล็กน้อย
“แต่ มรรคาของเจ้าคือทนทานนะ!” หญิงสาวเอ่ยแย้ง
“ทนทาน…” มั่วชิงเฉินเอ่ยพึมพำคำนี้ในใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังอันไร้ขีดจำกัดที่แฝงอยู่
เพียงแต่เพราะทะลวงมรรคาแห่งการสังหาร และเรียนรู้ประสบการณ์ระดับสูง จิตใจของมั่วชิงเฉินได้เพิ่มระดับขึ้นแล้ว ไม่นาก็สงบนิ่งลงได้อย่างรวดเร็ว
ไม่มีมรรคาใดที่ทะลวงไม่ได้ บุรุษชุดขาวเองก็พูดเช่นนี้ เช่นนั้นนางจะกังวลอะไร
ทนทาน สุดท้ายก็ต้องมีขีดจำกัด ขีดจำกัดนั้นอาจจะเป็นปลายทางของมรรคานี้ก็ได้
มรรคาของศิษย์พี่คือรักแท้ ขอแค่ในใจมีรัก ก็จะยืนหยัด ขอแค่ยืนหยัดเดินต่อไป จะเดินไปไม่ถึงปลายทางได้อย่างไร
เยี่ยเทียนหยวนในภาพวาด ดูเหมือนจะสัมผัสได้จึงมองมาทางมั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง แววตายืนหยัดมั่นคง จากนั้นก็ปาดเหงื่อ เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
ยามนั้น เขาไม่เหมือนกับก่อนหน้าที่รู้สึกแทบจะทนไม่ไหวคอยคิดอยู่เสมอว่ามรรคานี้ยังอีกยาวไกลเท่าไหร่ หรือยังต้องเดินอีกไกลเท่าไหร่
สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่สำคัญอีก เดินไปหนึ่งปียังออกมาไม่ได้ก็เดินไปสองปี เดินไปร้อยปีออกไปไม่ได้ก็เดินไปสองร้อยปี ขอแค่เขายังมีชีวิตก็จะเดินต่อไป
เป็นเพราะเขามั่นใจว่า ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ ศิษย์น้องหญิงก็จะรอเขา
ต่อให้ต้องเดินไปตลอด ทิวทัศน์แห้งแล้งจะยังไม่เปลี่ยนแปลง จะตาลายจนเห็นเป็นทิวทัศน์อันงดงามก็ช่างเถิด ล้วนไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขา
สิ่งเหล่านี้ ล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา
เยี่ยเทียนยหวนมองหนทางเบื้องหน้า ร่างกายยืดตรง สีหน้าเย็นชาถูกรอยยิ้มที่มุมปากอาบย้อมให้ดูอ่อนโยน ราวกับว่าไม่ได้กำลังเดินอยู่ในทะเลทรายด้วยความจนตรอก แต่กำลังเดินทางไปหาคนรักตามสัญญานัดหมายอย่างตื่นเต้น
หลายปีที่ผ่านมา พวกเขานอกจากเวลาที่อยู่ด้วยกันแล้ว ก็ล้วนเดินอยู่บนเส้นทางที่เหมือนว่าใกล้จะได้พานพบกันเช่นนี้อยู่ตลอด
เมื่อเข้าใจจุดนี้ เส้นทางสายนั้นก็เปลี่ยนไป เยี่ยเทียนหยวนร่วงหล่นลงไปด้านล่างโดยตรง
หลอมลมปราณ สร้างรากฐาน ก่อแก่นปราณ ก่อกำเนิด…
ความเร็วในการร่วงหล่นรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ การตระหนักรู้เหล่านั้นแทบจะเพียงกะพริบวาบแล้วผ่านไป กลับติดตรึงอยู่ในส่วนลึกของจิตใจอย่างลึกล้ำ
เมื่อเท้าเหยียบลงบนพื้น เยี่ยเทียนหยวนมองเห็นมั่วชิงเฉินก็ปกปิดความดีใจของตนเอาไว้ไม่มิด พุ่งเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ ยินดีกับท่านด้วย!”
หลังจากยินดีแล้ว ทั้งสองก็เงียบขรึมลงอย่างรวดเร็ว เดินมาคารวะเซียนสันโดษทั้งสามอย่างมีมารยาท
บุรุษสวมชุดสีขาวจ้องมองเยี่ยเทียนหยวน แล้วเอ่ยถามว่า “มรรคาของเจ้าคืออะไร”