ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 288.1 กำแพงวังกางกั้น ตั้งใจสละราชย์ (1)
เทศกาลหยวนเซียวผ่านพ้นไป ฝนตกพรำๆ ไม่หยุดหย่อน พอตกทีก็ติดต่อกันห้าหกวัน
ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ มีดปักเบี่ยงไปหลายนิ้ว แทงเข้าเพียงตำแหน่งแขนขวากับรักแร้เท่านั้น
วันนั้นหมอหลวงออกยาทาแผลให้ พักรักษาตัวไม่กี่วัน เฉินจื่อหลิงก็ลงจากเตียงได้แล้ว
ระหว่างนอนพักอยู่บนเตียงจึงได้ทราบว่า คนที่ลอบสังหารฮ่องเต้เป็นคนเก่าคนแก่ที่สนับสนุนไท่จื่อมาก่อน
ถึงแม้ว่าไท่จื่อจะสละราชย์ด้วยพระองค์เอง และองค์ชายสามก็ปกครองอย่างโปร่งใส ทว่าพรรคฝ่ายไท่จื่อก็ยังคงไม่ปล่อยวาง หลบซ่อนตัวยอมอยู่ใต้อานาจเพื่อหาโอกาสลงมือ
ในที่สุด อาศัยจังหวะที่ฮ่องเต้ทรงรวบรวมคนสวนให้ฮองเฮา ปะปนเข้าสวนไป่ฮุ่ยมาด้วย เลือกงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติของสู่อ๋องในการลงมือ
หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารครานี้ คนในงานเลี้ยงวันนั้นทั้งหมดต่างโดนกักกันก่อนออกจากวัง ไม่ว่าตำแหน่งน้อยใหญ่ล้วนต้องโดนสอบสวนโดยกรมยุติธรรม จากนั้นค่อยปล่อยออกไป
หลังจากเกิดการลอบสังหารภายในวังหลวงขึ้น เขตพระราชฐานจึงถูกปิดชั่วคราว นอกจากขุนนางที่มาเข้าประชุมเช้าทุกวันแล้ว คนอื่นๆ เข้าออกวังด้วยมาตรการที่เข้มงวด
วันหนึ่งยามฝนโปรยปราย ดวงอาทิตย์เคลื่อนขึ้นฟ้าแต่เช้า ทว่าถูกสภาพอากาศอึมครึมปกคลุมเอาไว้
เฉินจื่อหลิงตื่นจากนอนกลางวัน นั่งพิงหัวเตียงอยู่ ฟังเสียงฝนเปาะแปะตกลงจากชายคา น่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว
เสียงฝีเท้ารีบร้อนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ร่างของเจินจูปรากฏขึ้นข้างเตียงอันวิจิตร “พระชายาซื่ออ๋องฟื้นแล้ว”
“พี่เจินจูของข้า เมื่อใดจะสามารถออกจากตำหนักข้างนี้ได้หรือ วันนี้ฝนเบาลงมาแล้ว ข้าอยากไปเดินเล่นตำหนักฝูชิง” เฉินจื่อหลิงพอเห็นร่างนั้นก็กระโดดลงจากเตียง มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บดึงนางเอาไว้ แล้วออดอ้อนใหญ่
เจินจูเป็นคนที่ฮองเฮาตั้งใจเลือกให้มาดูแลอาการบาดเจ็บของนางโดยเฉพาะ
ใครดูแลอวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่วางใจ จึงเลือกคนสนิทข้างกายให้มาดูแล
เจินจูเห็นนางบุ่มบ่ามก็ตกอกตกใจ พยุงนางกลับไปยังเตียง มองท้องนางแวบหนึ่ง “พระชายาซื่ออ๋องหลงลืมไปแล้วหรือ กระโดดสูงเพียงนี้ ทั้งยังไม่ระวังอีก”
นางรู้ว่าเจินจูหมายถึงอะไร จึงหน้าเหยเกเอ่ยว่า “สูงค่าเพียงนั้นที่ไหนกัน หากแค่กระโดดก็ตายแล้ว เอาไว้ก็ไร้ประโยชน์!”
ลูกของนางจะอ่อนแอเพียงนั้นเชียวรึ!
เจินจูเห็นนางพูดจาไม่ยับยั้งปิดบัง จึงเอ่ยตำหนิว่า “ถุย พูดเพ้อเจ้ออะไรกัน!…คนที่ปากบอกไม่เป็นไร วันที่ถูกแทง ตอนถูกส่งกลับตำหนักฝูชิง ใครกันนะร้องตะโกนอยู่ตรงนั้นไม่หยุดว่า ท้องเป็นอะไรหรือไม่ ดูท้องก่อนค่อยดูข้า…”
หน้านางร้อนผะผ่าว เปลี่ยนประเด็นไปว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้านี่มันจริงๆ เลย ขัดอารมณ์ข้าอีกแล้ว อีกสองวันคงได้ปราดเปรื่องเสียยิ่งกว่าฉิงเสวี่ยแล้ว! ข้าเพิ่งบอกไปว่าอยากออกไปเดินเล่น เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะ”
เจินจูเห็นนางท่าทางอุดอู้อยู่ในห้องจิตใจไม่เบิกบาน ก็จนปัญญา “เหนียงเหนียงบอกว่าไม่อนุญาตให้พระชายาซื่ออ๋องออกไป แขนของพระชายายังพันผ้าไว้อยู่เลย ด้านนอกฝนก็ตก เปียกขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ ถึงเวลานั้นได้เปื่อยเน่าแน่”
“ข้าใส่เสื้อผ้าหลายชั้นหน่อย แล้วก็กางร่ม จะเปียกได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน เจ้าคิดว่าข้าจะไปโดดคลองรึ ที่บาดเจ็บมีแค่แขนเอง หากไม่ให้ข้าออกไปอีก กระทั่งขาสองข้างของข้าก็จะทำลายมันทิ้งแล้ว!” ศีรษะกับมือเฉินจื่อหลิงแทบทิ่มทะลุแขนเจินจูอยู่รอมร่อแล้ว นางถูไถไปมาราวกับแมว
เจินจูจนปัญญา และรู้ว่าสหายของเหนียงเหนียงนางนี้เป็นนกที่ขังไว้ไม่อยู่ ชาติกำเนิดจากตระกูลนักรบ ทั้งยังถูกปู่กับพี่ชายเอาอกเอาใจทุกอย่าง ซุกซนมาตั้งแต่เด็กจนชินแล้ว อุดอู้อยู่ในตำหนักข้างตั้งหลายวันเพียงนี้ต้องอึดอัดอยู่แล้ว อีกอย่างยามนี้นางไม่เพียงแต่เป็นสหายคนสนิทของเหนียงเหนียงเท่านั้น ยังเป็นผู้มีความดีความชอบคุ้มกันกษัตริย์อีก ไหนเลยจะปฏิเสธได้ง่ายๆ
ครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก มองด้านนอกอยู่ครู่หนึ่ง ฝนเบาลงไม่น้อยแล้ว จึงจำใจเอ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นข้าจะให้มอมอไปตำหนักฝูชิงเป็นเพื่อนพระชายาซื่ออ๋อง”
……
ฝนตกปรอยๆ กำแพงสีชาดหลังคามรกต ตำหนักสลับซับซ้อน
แม้ว่าทิวทัศน์จะสู้ข้างนอกไม่ได้ ทว่าสำหรับคนที่อุดอู้อยู่ในห้องหลายวัน ก็ยังคงเป็นอะไรที่หาได้ยากอยู่ดี
นางเดินเลียบตามตำหนักอยู่พักหนึ่ง ก็เกือบจะถึงประตูใหญ่อู่เหมินโดยไม่ทันรู้ตัว
มอมอที่ถือร่มให้เอ่ยเสียงเบาว่า “พระชายาซื่ออ๋อง กลับกันเถิด”
เฉินจื่อหลิงก็เหนื่อยล้าบ้างแล้วเช่นกัน เมื่อก่อนอย่าว่าแต่เดินเลย ต่อให้ลำบากลำบนกว่านี้นางก็ไม่รู้สึกเหนื่อย กำลังวังชาเต็มเปี่ยมยิ่ง
ทว่าร่างกายไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ระยะนี้รู้สึกอ่อนเพลียขึ้นเรื่อยๆ นางมองท้องน้อยแวบหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า “อืม กลับกันเถิด”
ในขณะนั้นเอง เสียงโวยวายแผ่วเบาก็ลอยมาจากประตูใหญ่
นางกับมอมอหันไปมองพร้อมกัน เห็นทหารเฝ้ายามกำลังหันหน้าไปหาคนด้านนอกพลางพูดคุยกันอยู่ ถ้อยคำลอยแว่วมาว่า “…ตั้งแต่หลายวันก่อนเกิดเรื่องลอบสังหารในวังขึ้น ประตูเมืองก็ปิดสนิท ไม่มีราชโองการเรียกหาก็ไม่อาจเข้าด้านในได้ ยามนี้เป็นช่วงเข้มงวด หากฝืนบุกเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด จะได้รับโทษเดียวกันกับมือสังหาร รบกวนท่านใต้เท้าบอกกับอี๋ซื่ออ๋องสักคำด้วยเถิด อย่าได้ฝ่าฝนมาเฝ้าทุกวี่ทุกวันเช่นนี้อีกเลย…”
คำสามคำทำให้เฉินจื่อหลิงฝีเท้าชะงักงัน
มอมอก็ได้ยินเช่นกัน นางตกใจขึ้น “พระชายาซื่ออ๋อง เป็น…”
นางเงียบงันไปครู่หนึ่ง “เจ้าไปดูหน่อย”
มอมอรีบสาวเท้าเดินไปทันที
นางยืนอยู่บนระเบียงทางเดินแห่งหนึ่งจ้องประตูใหญ่นิ่ง รอมอมกลับมารายงาน ฝ่ามือชุ่มเหงื่อโดยไม่ทราบสาเหตุ
เขามาเฝ้าอยู่นอกประตูวังทุกวันเพราะอยากจะเข้าวังอย่างนั้นหรือ
วันนั้นหลังจากขวางมีดจึงถูกแทงไป นางเจ็บปวดรุนแรงยิ่งจึงสลบไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร
ต่อมาถูกคนหามออกจากตำหนักเจียสี่ กลับตำหนักฝูชิงจึงได้ฟื้นขึ้นมา
ครู่ต่อมา มอมอก็กลับมากระซิบรายงานว่า “ด้านนอกประตูเป็นอี๋ซื่ออ๋องจริงๆ เพคะ ได้ยินทหารบอกว่า วันนั้นหลังจากเกิดการลอบสังหาร อี๋ซื่ออ๋องก็ถูกองครักษ์พาออกจากวังไปเหมือนเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ไปๆ มาๆ ศาลาว่าการตลอด ถูกตรวจสอบและซักถามเรื่องนี้จนถึงเมื่อสามวันก่อนจึงได้ออกจากศาลาว่าการ ต่อมาได้ทราบว่าวังหลวงงดเข้าออก จึงได้กลับไป แต่วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สางก็มาใหม่อีก…สามวันนี้ เอาแต่เฝ้าอยู่นอกประตูวัง อยากจะเข้าวังไปสักครั้ง พอดีหลายวันนี้ฝนตกหนักลมก็แรง ไม่รู้ว่าเมื่อวานตากลมหรือไม่ ได้ยินว่าวันนี้จึงยังตัวร้อนๆ อยู่”
ตัวร้อนอย่างนั้นรึ
สัตว์ที่มีพละกำลังวังชาแข็งแรงกว่าเสือตัวนั้นน่ะนะ นึกไม่ถึงว่าจะตัวร้อนเป็นด้วย
นางเงียบงันไม่พูดจา เหงื่อบนฝ่ามือแห้งไปแล้วเปียกชุ่มใหม่ เนิ่นนานทีเดียวจึงเอ่ยขึ้นว่า “ยามนี้เล่า กลับไปแล้วหรือ”
“ยังเลยเพคะ มีเรื่องกับทหารเฝ้าประตูเข้าแล้ว ตอนข้าถามทหารแล้วเหลือบมองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ยังยืนอยู่ด้านนอกอยู่เลยเพคะ สวมหมวกสานไว้ ฝนเพิ่งจะซาลงเล็กน้อย ยังเปียกชุ่มไปทั้งร่างอยู่เลยเพคะ”
เป็นคนหยาบกระด้างที่มีเพียงความกล้าหาญแต่ไร้สติปัญญาจริงๆ
ไม่รู้จักกางร่มเอาเสียเลย ฝนตกหนัก ใส่หมวกสานจะมีประโยชน์อะไร
เฉินจื่อหลิงหุบร่มส่งให้มอมอ แล้วมองไปทางกำแพงสีชาดทางด้านนั้นแวบหนึ่ง
มอมอขานรับ กำลังจะหันหลังไป กลับได้ยินเสียงนางลอยมาว่า “อย่าบอกชื่อข้าไป”
มอมอนิ่งอึ้ง ทำเพียงขานรับ
……
ณ ตำหนักฝูชิง แสงเทียนลุกโชน หลังจากฝนฟ้าร่ำไรตกโปรยปรายอยู่หลายวันได้หยุดลง ม่านราตรีก็แจ่มใสอย่างหาได้ยากยิ่ง
ฮ่องเต้และฮองเฮานั่งอยู่บนตั่งนุ่มข้างหน้าต่าง มือถือหมากรุก กำลังเล่นหมากล้อมกันด้วยความผ่อนคลายที่นานๆ จะมีที
หลังจากการลอบสังหารที่ตำหนักใหญ่เมื่อหลายวันก่อน ระยะนี้ซย่าโหวซื่อถิงมัวแต่ยุ่งอยู่กับราชสำนักและห้องหนังสือ
วันนี้ราชกิจเสร็จสิ้นลงอย่างหาได้ยาก
หมากรุกตานี้ ซย่าโหวซื่อถิงไม่รีบไม่ร้อน สีหน้าเรียบนิ่ง ลงหมากอย่างราบรื่น สำเร็จกระบวนเพียงหนึ่งลมหายใจ
อวิ่นหว่านชิ่นมือถือหมากสีขาว ทว่าจิตใจกลับไม่สงบ เงยหน้าขึ้นมามองคนตรงข้ามอยู่บ่อยครั้ง