ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 289.2 เหตุไฉนความรักในใจข้า ท่านจึงไม่รู้ (2)
แขนเสื้อกว้างของอี๋ซื่ออ๋องเลื่อนลง สิ่งของติดตัวไหลลงเข้าฝ่ามือ แล้วยัดใส่ฝ่ามือเฉินจื่อหลิง “หย่าไม่ได้ แต่โอกาสเป็นแม่ม่ายนั้นมีอยู่ มา ฆ่าข้าเสีย ก็จะสามารถคืนอิสระให้แก่เจ้า ให้เจ้าได้สมปรารถนาแล้ว”
ฝ่ามือนางมีมีดสั้นเพิ่มมา พอมองให้ชัดก็ตกใจ “นี่มัน…”
เป็นกริชที่นางโดนโหยวซื่อโยนลงแม่น้ำตอนอยู่เจียงเป่ย และหาไม่เจอแล้ว!
นางกับตงเอ๋อร์หากันอยู่นานก็หาไม่เจอ นึกไม่ถึงว่าเขาจะหาเจอได้
กริชได้ขัดเงาและทาสีใหม่ ฝักของมันมีความอุ่นร้อนจากร่างกายคนแผ่ออกมา แค่มองก็รู้ว่าเป็นสิ่งของที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น หลังจากที่เขาหาของประจำกายสุดรักสุดหวงของนางเจอก็พกมันไว้กับตัวตลอดอย่างนั้นหรือ
นางมองเขาอย่างนิ่งอึ้ง “กริชนี้ ท่านไปหา….”
“เพื่อกริชนี้ ข้าเกือบจะกลายเป็นทรราชแห่งเจียงเป่ยแล้ว ประชาชนชาวเจียงเป่ยแทบจะก่อกบฏหักคันธงขึ้นสู้แล้ว ชื่อเสียงวีรบุรุษแห่งแผ่นดินของข้าก็เกือบจะเสียให้แก่กริชเล่มนี้แล้วด้วย” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ
หากไม่ใช่เพราะรวบรวมประชาชนทั้งเมืองให้วางงานทั้งหลายของตัวเองแล้วไปสูบแม่น้ำทุกสายในเจียงเป่ยให้แห้ง ตั้งแถวค้นหาตลอดทั้งวันทั้งคืน คงยากที่จะหาของรักของหวงของนางกลับคืนมาได้
เมื่อก่อนไม่ว่าจะป่าเถื่อนและดื้อรั้นเพียงใด ก็วางประชาชนไว้เป็นที่หนึ่งเสมอ
มักจะจดจำคำสั่งเสียของเสด็จพ่อได้ น้ำสามารถบรรทุกเรือและสามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน ต้องเห็นปวงชนเป็นสำคัญ
แต่เพื่อได้รับรอยยิ้มเดียวของนาง กลับทำเรื่องโค่นล้มนิสัยไป
เฉินจื่อหลิงใจเต้นแรงยิ่ง
ดวงตาอี๋ซื่ออ๋องกลับลึกล้ำขึ้น ช่วยนางยกข้อมือบางขาวนุ่มขึ้นไปวางไว้บนดวงใจตน “วางใจเถิด ฝ่าบาททรงหวาดกลัวข้ามาตลอด เห็นข้าเป็นขวากหนามในสายตา ฮองเฮาก็ปกป้องเจ้าเอาไว้ ต่อให้ฆ่าข้าไป ก็แค่กำจัดภัยร้ายให้บ้านเมืองเท่านั้น ไม่ต้องใช้ชีวิตมาชดใช้หรอก”
คมมีดเข้าไปในชุดผ้าไหมของเขาลึกขึ้น เกิดรอยยวบเล็กๆ ขึ้น
เฉินจื่อหลิงรู้สึกว่าเรี่ยวแรงเขาค่อยๆ มากขึ้น และเห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น บนชุดคลุมตรงหน้าอกของเขามีคราบเลือดไหลซึมออกมา สีหน้านางพลันซีดเผือด ชักมือออกอย่างแรง ในที่สุดก็ทิ้งกริชลงกับพื้น “ท่านมันคนเสียสติ…”
นางข่มน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป พลั่งพรูลงมาจากขอบตา
เขาโอบเอวบางนางไว้ แบกขึ้นไหล่ สาวเท้าก้าวยาวๆ ตรงไปยังห้องในเรือนหลัก เอ่ยอย่างเปรมปรีดิ์ว่า “ตงเอ๋อร์ ขนเสื้อผ้าหมอนมุ้งของคุณหนูเจ้ามา!”
ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยง้องอนสตรีมาก่อน
ทว่า ยามนี้ดูท่าแล้ว จะยากสักเท่าใดกันเชียว ทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่นยิ่ง!
……
ขอบฟ้าปรากฏแสงอรุณขึ้น ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนขึ้นฟ้า
เมื่อเฉินจื่อหลิงลุกขึ้นจากเตียง ตั้งสติครู่หนึ่งจึงยืนยันได้ว่าเมื่อคืนตนย้ายมาอยู่ในห้องเขาแล้ว
เมื่อคืน เขาอุ้มนางกลับมาในห้องตัวเองและไม่ให้นางออกไปอีก ให้ขุนนางแพทย์มาดูแผลไฟไหม้บนมือนางก่อน พอเห็นว่าไม่เป็นอะไรก็ให้ตงเอ๋อร์เข้ามาปรนนิบัตินางอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอน จากนั้นเขาก็ดับเทียน ท่ามกลางความสลัว นางถูกเขากอดจากทางด้านหลังหลับไปทั้งคืน
ตอนแรกร่างนางเกร็งเขม็ง กลัวว่าเขาจะทำเรื่องเลวๆ เหมือนเมื่อก่อนตอนอยู่ที่เจียงเป่ย
โชคดีที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย ทำเพียงกอดเอวนางไว้จากด้านหลัง วางศีรษะไว้บนไหล่บางของนาง กระซิบข้างหูนางว่า “กลับเจียงเป่ยไป เจ้าชอบอ่านตำราพิชัยสงครามก็อ่าน ชอบฝึกทหารก็ไปฝึกให้ข้า แล้วก็พวกอนุในเรือนตะวันตก หลังจากเจ้าจากไปข้าก็ปล่อยไปหมดแล้ว เจ้ากลับไปหากยังขวางหูขวางตาอยู่ ข้าจะจุดไฟอีกรอบ เผาเรือนทางนั้นให้เกลี้ยง อ้อ จริงสิ เผาจวนซื่ออ๋องที่เจียงเป่ยไปเลยดีหรือไม่ ข้าจะสร้างให้เจ้าใหม่…”
คนผู้นี้วางเพลิงจนติดใจไปแล้วกระมัง เอะอะก็จะวางเพลิง ไปที่ไหนก็จะวางเพลิง
นางหมดคำจะพูด ร่างแข็งเกร็งกลับค่อยๆ ผ่อนคลายลง
นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะตามใจนางถึงขึ้นนี้ จึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ปล่อยไปหมดแล้ว ท่านหักใจได้หรือ”
“มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์กัน เดิมทีก็ล้วนเป็นคนอื่นที่ให้มาอยู่แล้ว ไม่ถูกปากข้าเลยสักนิด ยามนี้ข้าเลือกที่ตัวเองต้องการได้แล้ว คนอื่นๆ ไสหัวไปไกลๆ” แรงมือเขาหนักขึ้น รัดเอวนางแน่นขึ้นอย่างหยาบคาย
ลมหายใจนางร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดความง่วงงุนในลมหายใจของทั้งคู่ก็ค่อยๆ สูงขึ้น
ต่างเหนื่อยกันมากแล้ว
เขาสูดเอากลิ่นหอมของนางเข้าไป ก่อนเข้าสู่ห้วงนิทราพึมพำว่า “เหตุใดไม่กี่เดือนก็อ้วนขึ้นมากเพียงนี้เล่า…”
อาจเพราะอารมณ์เมื่อคืนพลุ่งพล่านเกินไป เสียแรงไปมาก นางไม่ทันได้ตอบพึมพำเบาๆ เข้าสู่ห้วงนิทราไป
ยามนี้ ความอุ่นของเขายังหลงเหลืออยู่บนเตียงข้างกาย
เขาชินตื่นเช้าไปฝึกอาวุธเพื่อรักษาร่างกายและจิตใจไว้ ถึงแม้ยามนี้จะอยู่เมืองหลวง แต่ความเคยชินนี้ก็น่าจะไม่ได้หยุดชะงักไป คงไปฝึกอาวุธนอกเรือนกระมัง
นางนึกย้อนไป ตอนฟ้าเพิ่งจะสางเขาตื่นขึ้นมา ดูเหมือนจะจุมพิตบนหน้าผากนาง จากนั้นจุมพิตนั้นก็เคลื่อนมายังริมฝีปากตน ขบเม้มเชื่องช้าสัมผัสแผ่วเบา จากนั้นก็วนเวียนไม่ละห่าง
นางลูบริมฝีปากตามสัญชาตญาณ เป็นดังคาด บวมอยู่เล็กน้อย ใบหน้าร้อนจึงผะผ่าว
ในขณะนั้นเอง ตงเอ๋อร์ก็ผลักประตูเข้ามา เห็นว่านางตื่นแล้วจึงวางถาดในมือลงบนโต๊ะแปดเซียน ยิ้มอย่างลึกซึ้งแฝงความนัย “คุณหนูตื่นเสียที ใกล้จะเที่ยงแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินจื่อหลิงกินปูนร้อนท้อง โพล่งออกไปว่า “เมื่อคืนข้าไม่ได้ทำอะไรกับเขาเลยนะ ข้าก็แค่เหนื่อยเกินไป จึงนอนนานไปหน่อย!”
ตงเอ๋อร์อดหัวเราะไม่ได้ ช่างเถิด คุณหนูกับซื่ออ๋องเพิ่งจะดีกัน อีกทั้งอยู่ห่างกันช่วงสั้นๆ เพื่อพบกันอีก จะยิ่งรักกันมากกว่าเพิ่งแต่งงาน คงจะยังเขินอายกันอยู่ จึงช่วยนางลงจากเตียงอย่างใกล้ชิด “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ยามนี้คุณหนูกำลังตั้งครรภ์ ซื่ออ๋องย่อมไม่กล้าทำอะไรอยู่แล้ว”
ตั้งครรภ์อย่างนั้นรึ เฉินจื่อหลิงนิ่งอึ้ง
ตงเอ๋อร์เห็นสีหน้านางจึงได้สติ “คุณหนูคงไม่ได้ยังไม่บอกซื่ออ๋องหรอกกระมัง”
เฉินจื่อหลิงส่ายหน้า
ตงเอ๋อร์ลูบหน้าผาก “เรื่องสำคัญเพียงนี้เหตุใดจึงยังไม่บอกเล่าเจ้าคะ”
เฉินจื่อหลิงสูดหายใจลึก “ข้า…ลืม”
เมื่อคืนถูกเขาอุ้มเข้าห้องมา ทั้งยังโดนขุนนางแพทย์มาดูแผลไฟไหม้ให้อีก ไหนจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สุดท้ายถูกเขานอนกอดไว้ นางก็เหนื่อยล้ามากแล้ว ไม่มีเวลาบอกสักนิด
ลืมอย่างนั้นรึ ตงเอ๋อร์ไม่รู้จะร้องไห้หรือว่าหัวเราะดี
เฉินจื่อหลิงแย้มยิ้ม “รีบร้อนไปไย อีกเดี๋ยวเจอเขาค่อยบอกแล้วกัน”
ตงเอ๋อร์พยักหน้า “ก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ ซื่ออ๋องกำลังฝึกธนูอยู่ที่ลานบ้านหน้าเรือน กำชับกับข้าว่าให้คุณหนูทานมื้อเช้าเสียก่อน ข้าเห็นซื่ออ๋องเข้าครัวไปสั่งการในครัวแต่เช้าตรู่ อาหารเช้ามื้อนี้ซื่ออ๋องเป็นคนจัดการหมดเลย”
เฉินจื่อหลิงมองอาหารเช้าบนโต๊ะแวบหนึ่ง ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่นางชอบตอนอยู่เจียงเป่ยทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้พักอยู่ตำหนักฝูชิง ค่อนข้างจะกินของมันๆ ไม่ได้ วันนี้กึ๋นเป็ดใส่โจ๊กปลา กลับกินได้อย่างเอร็ดอร่อย ไม่รู้สึกคลื่นไส้สักนิด
ทานมื้อเช้าเสร็จ นางก็บิดขี้เกียจ “ตงเอ๋อร์ ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าที อิ่มจะแย่แล้ว”
ตงเอ๋อร์หัวเราะ ออกไปเดินเล่นอะไรกันล่ะ อดใจรอบอกข่าวดีกับซื่ออ๋องไม่ไหวมากกว่า นางรีบขานรับแล้วออกไปเป็นเพื่อนเฉินจื่อหลิง
เพิ่งจะออกจากเรือนมาไม่นาน ก็เห็นพวกคนรับใช้ในจวนเดินไปทางเรือนตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรีบร้อน ในมือยังขนหีบกันอยู่ด้วย
ทั้งสองฉงน เหตุใดจึงท่าทางเหมือนย้ายบ้านอย่างนั้นเล่า
ตงเอ๋อร์ดึงคนรับใช้คนหนึ่งไว้ “นี่พวกเจ้ากำลังขนอะไรกันอยู่รึ”
“เรียนพระชายา เมื่อเช้ามีคนมาที่จวน ยามนี้พักอยู่ที่เรือนตะวันตกของจวน พวกนี้ล้วนเป็นสัมภาระทั้งสิ้น ผู้ดูแลใหญ่สั่งให้พวกเรายกลงมาจากรถม้าแล้วขนย้ายเข้าไปเจ้าค่ะ”
ตงเอ๋อร์ฉงน “ใครกัน”
คนรับใช้ตรงหน้าลังเลครู่หนึ่ง ไม่กล้าปิดบัง จึงบอกไปตามตรงว่า “มาจากเจียงเป่ยเจ้าค่ะ”
เฉินจื่อหลิงใจกระตุก
ตงเอ๋อร์ก็คาดเดาบางอย่างได้เช่นกัน นางเปิดหีบออก ล้วนเป็นเสื้อผ้าเครื่องประดับฉูดฉาดของสตรีทั้งสิ้น
หรือว่าจะเป็น…
ตงเอ๋อร์ถลึงตาใส่คนรับใช้ “ยังจะแกล้งโง่ไม่รู้คำถามอีกรึ”
คนรับใช้จำต้องเอ่ยบอก “เป็นอนุจากจวนที่เจียงเป่ย โหยวซื่อเจ้าค่ะ”