ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 270-2 เรื่องอื้อฉาว
สวีฉ่างที่หดศีรษะหลบอยู่ข้างนอกฟังเสียงทะเลาะของเสด็จพ่อเสด็จแม่ของเขาแล้ว ขนหัวลุก ในใจเอาแต่พึมพำว่า ‘เสด็จแม่เอ๊ย ท่านก็ก้มศีรษะหน่อยสิ ก็แค่ผู้หญิงที่เลี้ยงอยู่ข้างนอกมิใช่หรือ?’
เข้าบ้านก็เข้าบ้านสิ ก็เพียงแค่ของเล่นที่ทำให้เสด็จพ่อดีใจเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่งเท่านั้น เรื่องใหญ่ปานใดกันเชียว? คุกคามไม่ถึงตำแหน่งของท่านเสียหน่อย ท่านจะงัดข้อกับเสด็จพ่อไปไย! อย่างไรเสด็จพ่อก็เป็นคนตัดสินใจของจวนอ๋องจิ้น ท่านเป็นท่านย่าแล้ว ยังชิงรักหักสวาทกับของเล่นอีก มิใช่ลดค่าตนเองหรอกหรือ?
หาท่านเห็นพวกนางแม่ลูกสามคนเกะกะลูกตาจริงๆ ให้พวกนางเข้าจวนมาก่อน ท่านค่อยเล่นงานช้าๆ ก็ได้แล้วมิใช่หรือ? จำเป็นต้องร้องจะฆ่าจะแกงกับเสด็จพ่อยามนี้หรือ? นี่มิใช่ผลักเสด็จพ่อออกโต้งๆ หรือ? สวีฉ่างร้อนใจแทนเสด็จแม่ของเขาอยู่ข้างนอก
แน่นอนคำพูดพวกนี้เขากล้าแต่แอบบ่นในใจ จะให้เขาพูดต่อหน้าเสด็จแม่เขาเขาก็ไม่กล้าเช่นกัน แน่นอนเขาก็ไม่กล้าไปเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อเขา ไม่เห็นเสด็จพ่อเขาโกรธจนเป็นเช่นนั้นแล้วหรือ? ยิ่งไม่กล้าเสนอหน้าเข้าไปใหญ่ อย่างไรเสียว่าไปแล้วเรื่องนี้เขาก็เป็นคนก่อขึ้น เขากลัวเสด็จพ่อสั่งสอนเขาน่ะสิ!
รอถึงยามที่ได้ยินว่าเสด็จแม่เขาหมดสติ สวีฉ่างไม่ทันได้สนใจอย่างอื่นอีกแล้ว เดินสองก้าวก็บุกเข้าห้องไป “เสด็จแม่ เสด็จแม่ท่านไม่เป็นไรน่ะ? ท่านรีบฟื้นเร็ว! อย่าขู่ลูกสิ! หมอ รีบไปเรือนพี่สะใภ้สามเชิญหมอหลวงมา”
สวีฉ่างออกแรงอุ้มพระชายาอ๋องจิ้นขึ้นมา เดินเข้าห้องด้านในวางลงบนเตียง คนทั้งคนคุกเข่าอยู่หน้าเตียง จ้องพระชายาอ๋องจิ้นที่หลับตาสนิทด้วยสีหน้าร้อนรน ในใจเหมือนตีกลอง เสด็จแม่ท่านอย่าเป็นอะไรไปเชียวนะ!
“หมอหลวงล่ะ? ไยหมอหลวงยังไม่มา? ไป ไป รีบไปดูหน่อย!” เวลาผ่านไปเพียงครึ่งเค่อ สวีฉ่างก็รู้สึกนานเหมือนหนึ่งชั่วยาม จึงหมดความอดทนขึ้นมา
“ฉ่างเกอเอ๋อร์!” เสียงที่อ่อนแอเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู
“เสด็จแม่ท่านฟื้นแล้ว!” สวีฉ่างถลาไปหน้าเตียงอีกด้วยความประหลาดใจ มองพระชายาอ๋องจิ้นที่ลืมตาขึ้น แล้วใบหน้ามีแต่ความดีใจ “เสด็จแม่ท่านทำลูกตกใจเกือบตาย”
พระชายาอ๋องจิ้นเห็นมีแต่บุตรชายคนเล็กเฝ้าอยู่หน้าเตียงนาง ส่วนผู้ชายที่ให้สัญญาว่าจะดีกับนางตลอดชีวิตกลับไม่อยู่ ความรู้สึกน้อยใจอดเอ่อขึ้นในใจไม่ได้ “ฉ่างเกอเอ๋อร์ เสด็จพ่อเจ้า เสด็จพ่อเจ้า…” นางสะอื้นจนพูดไม่ออก น้ำตาสองสายไหลลงอาบแก้ม
สวีฉ่างเห็นดังนั้นรีบช่วยนางเช็ดน้ำตาพัลวัน แล้วปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผ่านไปสองวันเสด็จพ่อหายโกรธก็ดีแล้ว! เสด็จแม่ท่านก็เหลือเกิน เสด็จพ่อชอบผู้หญิงคนนั้น ท่านก็ให้นางเข้าบ้านก็หมดเรื่อง ที่นางให้กำเนิดก็เป็นนางหนูอีก เกะกะท่านตรงไหนล่ะ? ท่านมักพูดว่าผู้ชายล้วนมีสามภรรยาสี่อนุมิใช่หรือ? ไยท่านกลับเลอะเลือนขึ้นมาเองล่ะ? ยามนี้เสด็จพ่อกำลังเลือดขึ้นหน้า ท่านรีบเก็บกวาดเรือนออกมาหลังหนึ่ง รับผู้หญิงคนนั้นเข้ามา เสด็จพ่อก็หายโกรธแล้ว!” เขาออกความคิดให้เสด็จแม่ตนเองขึ้นมา
สวีฉ่างยังไม่สู้ไม่ปลอบใจดีกว่า พระชายาอ๋องจิ้นได้ยินคำปลอบใจของเขาแล้วแทบอยากจะหมดสติไปอีกครั้ง นางรู้สึกเพียงว่าแม้แต่บุตรชายคนเล็กก็ไม่ยืนอยู่ข้างนางแล้ว จึงอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ ร้องไห้ฮือๆ ขึ้นมา
“เสด็จแม่ ท่าน ท่านเป็นอะไรไป?” สวีฉ่างเห็นดังนั้นยิ่งทำอะไรไม่ถูกแล้ว
เสิ่นเวยฟังเหอฮวาเล่าอย่างเป็นตุเป็นตะ แล้วตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว
“แค่ก นี่บ่าวก็ฟังจือเอ๋อร์พูดมาเช่นกัน หากยามนั้นบ่าวอยู่ที่นั่นก็ดีน่ะสิ” เหอฮวาเสียดายอย่างหาใดเปรียบมิได้
จือเอ๋อร์ผู้นี้เป็นสาวใช้ชั้นสามในเรือนของพระชายาอ๋องจิ้น เพราะเคยได้รับบุณคุณจากเหอฮวา จึงนานๆ ทีก็มาหาเหอฮวาคุยเล่น
“อ้อ ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นล่ะ? พระชายาอนุญาตนางเข้าจวนหรือไม่?” เสิ่นเวยถามเหอฮวา
“ไม่เจ้าค่ะ ยังพักอยู่เรือนด้านนอกเลยเจ้าค่ะ ได้ยินว่าพระชายาล้มป่วย ป่วยค่อนข้างหนักทีเดียว ลงจากเตียงไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ” เหอฮวาเบ้ปาก ป่วยตายสิดี ยังเพ้อฝันจะควบคุมกดขี่ท่านหญิงบ้านนาง ถุย! กรรมตามสนองแล้วไหมล่ะ?
สาวใช้ข้างกายเสิ่นเวยทั้งหมดล้วนมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น ฮึ ยามนั้นคิดแต่จะยัดคนใส่ข้างกายจวิ้นอ๋องเรา คอยทำให้ท่านหญิงเราไม่สบายใจ บัดนี้ในที่สุดท่านก็ได้ลิ้มรสชาติแล้วสินะ? ยามนั้นท่านพูดได้น่าฟังกว่าร้องเพลงอีกอะไรในฐานะนายหญิงก็ต้องมีคุณธรรมใจกว้าง อะไรรับอนุผลิดอกออกผลให้พวกท่านอ๋องเป็นหน้าที่ของนายหญิง อะไรนายหญิงไม่สามารถหึงหวงริษยาได้… ฮึ บัดนี้ไยท่านไม่รับผู้หญิงข้างนอกของท่านอ๋องเข้าจวนล่ะ?
สวีโย่วเลิกงานกลับมา เสิ่นเวยก็เขยิบเข้าไปแล้ว “ท่านได้ยินเรื่องนั้นแล้วหรือยัง?”
“เรื่องอะไร?” สวีโย่วเงยหน้ามองเสิ่นเวย ไม่ค่อยแน่ใจว่าที่นางถามคือเรื่องใด?
“เรื่องในจวนที่เสด็จพ่อท่านเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกน่ะสิ” เสิ่นเวยพลางเคี้ยวผลไม้พลางใช้คางชี้ไปที่ทิศทางของจวนอ๋องจิ้น
สวีโย่วพยักหน้าว่า “ได้ยินแล้ว เป็นอะไรหรือ?” ข่าวของสวีโย่วต้องเร็วกว่าเสิ่นเวยสักหน่อย แม้เวลาที่เขาอยู่ในจวนอ๋องแต่ละปีไม่นาน ทว่าอย่างไรเสียก็อยู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว ในมืออย่างไรก็มีคนจำนวนหนึ่ง
ยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้เขารู้มานานแล้วว่าช้าเร็วต้องปูดออกมาสักวัน จึงสั่งคนคอยจับตาดูไว้ตลอดเวลา อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเสด็จพ่อเขาย้ายผู้หญิงที่ชื่อม่านเอ๋อร์นั่นมาสามที่แล้ว ตั้งแต่ตรอกอวี๋ซู่ในตอนแรก มาถึงตรอกใบหลิวที่สุดท้ายนี่ เรียกได้ว่ากระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรงแล้ว เสด็จพ่อเขาก็นับว่าครุ่นคิดอย่างหนักแล้ว ทว่าแล้วอย่างไรล่ะ? ก็ยังถูกพระชายาอ๋องจิ้นรู้เข้าจนได้มิใช่หรือ?
“ได้ยินว่าพระชายาป่วยหนักเชียว หรือไม่พวกเราไปปรนนิบัติกัน?” เสิ่นเวยขยิบตาถามสวีโย่ว
สวีโย่วหัวเราะขึ้นมาทันทีว่า “เจ้าอยากไปซ้ำเติมหัวเราะเยาะล่ะสิ!” นางหนูนี่จะไปปรนนิบัติพระชายา? ถ้าเป็นเช่นนั้นคาดว่าพระอาทิตย์น่าจะขึ้นทางทิศตะวันตก “เวยเวยช่วงนี้ว่างมากหรือ?” ไม่หรอกกระมัง นางหนูนี่กลับบ้านมารดาอย่างสนุกสนานมากมิใช่หรือ? วันๆ ขลุกอยู่แต่กับท่านปู่นางจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น ก็ไม่รู้ว่าซุบซิบเรื่องไม่ดีอะไรกันอยู่
“ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ? คนเขากตัญญูมากรู้หรือไม่!” เสิ่นเวยพูดอย่างไม่พอใจ นางกตัญญูมากรู้ไหม นับตั้งแต่ที่ท่านปู่นางกลับจวนรักษาตัว นางแทบจะกลับไปป้อนยาป้อนข้าว รินน้ำชาเทน้ำอ่านตำราไม่เว้นวัน จะไปหาคนกตัญญูเช่นนี้ได้ที่ไหน? ไม่เห็นท่านย่าที่แต่ก่อนไม่ชอบนางบัดนี้ก็มีไมตรีจิตต่อนางแล้วหรือ ก่อนหน้านี้ยังค้นเครื่องประดับชุดหนึ่งมอบให้นาง
สวีโย่วกระตุกมุมปาก กลับไม่ได้แย้งคำพูดของนาง เพียงว่า “มีเวลาว่างเช่นนั้นเวยเวยเจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าดีกว่า ตัวเองลองนับดูว่าเฉยเมยกับข้ามานานเพียงใดแล้ว?” จวนอ๋องบัดนี้โกลาหลไปหมด อย่างไรพวกเขาก็อย่าไปหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า จะได้ไม่ต้องเรื่องตลกไม่ได้ดูกลับโดนหางเลขเข้าไปด้วย ยิ่งกว่านั้นในจวนนั่นก็ไม่ได้ส่งคนมาส่งข่าวเสียหน่อย ใครจะไปรู้ว่าพระชายาป่วยล่ะ? แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน! ใครอยากจะปรนนิบัตินางกัน?
เสิ่นเวยเบ้ปาก ชำเลืองสวีโย่วปราดหนึ่ง จากนั้นยิ้มอย่างเสน่ห์เหลือร้ายว่า “เฉยเมย? ที่ไหนกันล่ะ! ดูใบหน้านี่สิ หล่อเหลาเอาการเชียว เอ๊าะๆ เลย! ต่อให้พี่สาวเฉยเมยต่อตัวเองก็เฉยเมยต่อคุณชายใหญ่ท่านไม่ได้หรอก!” พูดพลางก็ทับลงไปทั้งตัว มือหนึ่งลูบหน้าของสวีโย่ว มือหนึ่งยื่นไปที่สาบเสื้อของเขา ระยะนี้ เสิ่นเวยที่ความรู้กว้างไกลฝึกเรื่องเช่นนี้จนเป็นผู้ชำนาญมานานแล้ว
คนเขาส่งหนังสือท้าดวลมาถึงหน้าบ้านแล้ว สวีโย่วยังรออะไรล่ะ? ย่อมอุ้มภรรยาขึ้นแล้วอย่างนี้อย่างนั้นขึ้นมา
เทียบกับความปรองดองของสวีโย่เสิ่นเวย ทางจวนอ๋องจิ้นช่างปกคลุมไปด้วยเมฆดำจริงๆ เลย!