เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 49 เสียงตัดพ้อท่ามกลางความสุขทั่วหุบเขา
เมื่อหลี่ไท่เห็นอวิ๋นเยี่ยองครักษ์ของเขาก็ตื่นตระหนกมาก เพราะองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นผู้ซึ่งดูเหมือนชาวนาชรายืนเรียงตัวอยู่ในกระบวนท่าพร้อมโจมตีรูปแบบเฟิงสื่อเจิ้น[1] หัวหน้าองครักษ์เพียงแค่ขยับกายก็กันหลี่ไท่เอาไว้ที่ด้านหลัง ดาบที่แขวนอยู่ข้างเอวก็ออกจากฝักในทันใด เขาได้รับคำเตือนจากหน่วยข่าวกรองว่าระยะนี้จะมีโจรร้ายหมายจะสังหารเชื้อพระวงศ์ จะต้องคอยคุ้มกันเว่ยอ๋องเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นใช่ว่าชีวิตเดียวของเขาจะสามารถอธิบายให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปได้
หมายกำหนดการประจำวันของเว่ยอ๋องนั้นได้กำหนดไว้ตายตัว ยังโชคดีที่เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในสำนักศึกษา เพียงแต่ในแต่ละวันจะต้องไปที่น้ำตกเพื่อตรวจดูกังหันน้ำซึ่งเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ เป็นเวลาสามวันแล้ว ถ้าหากโชคดีอีกเพียงสองวันเว่ยอ๋องก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในสำนักศึกษาไม่ต้องออกไปแล้ว ซึ่งนี่ถือเป็นวาสนาที่ดีมากในการเป็นองครักษ์
เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยหลี่ไท่จึงผลักองครักษ์ออกแล้วรีบร้อนวิ่งมาหาและโอ้อวดใส่อวิ๋นเยี่ยว่า “เสี่ยวเยี่ย ตอนเจ้าขึ้นเขามาเห็นกังหันน้ำที่ข้าทำขึ้นหรือไม่ เป็นอย่างไร พลังแข็งแกร่งอะไรปานนี้ใช่ไหม ตอนนี้ก็เหลือแค่ การติดตั้งตัวเชื่อมต่อบนฝั่งก็สามารถแทนที่ช่างตีเหล็กเพื่อที่จะตีเหล็กได้ทั้งวันทั้งคืนแล้ว ด้วยวิธีนี้การผลิตเหล็กในต้าถังเราก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เป็นอย่างไร”
“ชิงเชวี่ย ไม่เลวเลยจริงๆ เจ้าเพียงแค่เข้าใจในเรื่องพื้นฐานที่สุดเท่านั้นก็สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่ง ชิงเชวี่ยเจ้าทำให้ข้าซาบซึ้งและประหลาดใจจริงๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคาดการณ์ได้เลยว่าเจ้าต้องได้ฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แน่ ซึ่งไม่ใช่ด้วยฐานะเว่ยอ๋อง แต่จะเป็นชื่อหลี่ไท่ที่ถูกส่งกล่าวขวัญถึงไปตลอดกาล เจ้าลองคิดดู กังหันน้ำสามารถนำมาทำอะไรได้บ้าง การกะเทาะข้าวเปลือกของพวกชาวนาใช้ได้หรือไม่ ลาที่โม่แป้งใช้ได้หรือไม่ การบดแร่ใช้ได้หรือไม่ ไม่เพียงแต่การตีเหล็กเท่านั้น ชิงเชวี่ย ความคิดต่อยอดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก นำคุณสมบัติทั้งหมดที่มีแสดงออกมาให้หมด การศึกษากฎแห่งสรรพสิ่งเจ้าจะต้องเป็นคนแรกที่เมื่อถึงตอนนั้นก็จะดำรงอยู่โดยเป็นที่ยกย่องนับถือของผู้คนทั่วหล้า”
ใบหน้าอ้วนกลมของหลี่ไท่ยิ้มบานเป็นกระด้ง ทั้งยังค่อนข้างเขินอายเล็กน้อยแล้วดึงแขนของอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “เสี่ยวเยี่ย เจ้าพูดได้ถูกต้องอย่างที่สุดเลย พวกเราไปดูกังหันน้ำด้วยกัน แล้วเจ้าดูให้ละเอียดอีกครั้ง เพลากลางที่ทำขึ้นจากเหล็กไปเลี่ยนกังจึงมีความทนทานมาก เมื่อคืนข้าไปดูแล้วมันยังทำงานได้อย่างราบรื่นมาก เหลือเวลาอีกสองวันข้าก็จะสามารถยืนยันได้ว่ามันสามารถใช้งานในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้หรือไม่”
เมื่อมองดูแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของหลี่ไท่ อวิ๋นเยี่ยก็พบว่ามันค่อนข้างดูโหดร้ายไปสักหน่อยที่จะบอกความจริงกับเขา เว่ยอ๋องผู้มีเกียรติแท้ๆ แต่ละวันต้องทานเศษอาหารเหลือ ขณะที่ท่านอ๋องคนอื่นได้ใช้ชีวิตอย่างลุ่มหลงมัวเมา กินอาหารเลิศรสอันโอชะ เขากลับต้องนั่งยองๆ อยู่ในห้องตีเหล็กและดูช่างเหล็กตีเหล็ก เผชิญหน้ากับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังคงไม่ยอมถอดใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปเว่ยอ๋องหลี่ไท่ช้าเร็วจะได้กลายเป็นผู้สูงส่งเป็นแน่ แม้ว่าเขาจะมีนิสัยประหลาดต่างๆ ขอเพียงแค่สามารถยืนหยัดต่อไปอีกยี่สิบถึงสามสิบปี อวิ๋นเยี่ยก็สามารถมองเขาด้วยแววตาที่นับถือเทพเซียนได้แล้ว
“ชิงเชวี่ย ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่ว่าจะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพคือแก่นแท้ของการพัฒนาของสรรพสิ่ง ดังที่กล่าวว่าเชือกเลื่อยไม้ให้หักได้ น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน ก็ว่าด้วยเหตุผลข้อนี้แล” อวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ที่พูดได้อย่างมีพลังและความหมายลึกซึ้งสุดหยั่ง อย่างน้อยพวกผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งมาก ขอเพียงแค่สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาฟังไม่เข้าใจก็จะต้องเป็นความรู้ที่ดีแน่ๆ
“ข้าต้องการให้เจ้าไปดูกังหันน้ำเป็นเพื่อนข้า ไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาผายลมบ่นกระปอดกระแปดมากมายเยี่ยงนี้ รีบไปที่น้ำตกเร็วๆ”
เมื่อคำพูดประโยคนี้หลุดออกมาอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกในทันทีว่าความเห็นอกเห็นใจของเขาช่างไร้สาระสิ้นดี หมอนี่ยังคงต้องฝึกฝนบนเส้นทางของวิทยาศาสตร์ต่อไป
“สำหรับเรื่องนี้น่ะหรือ ชิงเชวี่ย ไม่ต้องไปดูหรอก กังหันน้ำของเจ้าพังลงอีกแล้วเมื่อครู่นี้เอง เจ้าก็สามารถถือเป็นบทเรียนได้อีกครั้ง ใกล้ความสำเร็จเข้ามาอีกก้าวแล้ว หากตอนนี้เจ้าไปก็คงเห็นเพียงแค่กังหันน้ำจมอยู่ใต้ก้นบึงเท่านั้นเอง”
หลี่ไท่เหมือนม้าที่ถูกลูกธนูปักอยู่ที่บั้นท้าย ร้องโหยหวนแล้วรีบร้อนลนลานวิ่งไปที่น้ำตก องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็รีบร้อนวิ่งตามไป ปากก็เอาแต่ร้องตะโกนขอให้เว่ยอ๋องโปรดรอด้วย
วันนี้มีคนมากมายขึ้นเขา เฉิงฮูหยินและหนิวฮูหยินได้ขึ้นเขามาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนและพักอาศัยอยู่ในอาคารเล็กๆ ของพวกนางเอง ไม่พบแขกง่ายๆ หลายวันนี้ซินเย่ว์ก็อยู่บนเขาท่องเที่ยวบนเขาอวี้ซันเป็นเพื่อนฮูหยินทั้งสองท่าน
การถือร่มค่อยๆ เดินท่องไปท่ามกลางสายฝนในฤดูใบไม้ผลิช่างถือเป็นการเสพสุขอย่างมากมาย ทางเดินหินเล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยตะไคร่สีเขียวนั้นลดเลี้ยวเคี้ยวคดและค่อยๆ ถูกสีเขียวเบื้องหน้ากลืนกินอย่างกลมกลืน แต่สิ่งที่ไม่สามารถกลืนกินได้นั่นก็คือร่มกระดาษน้ำมันสีสันสดใส
เหล่าฮูหยินผู้สูงศักดิ์และสาวใช้ที่ก้าวมวยผมสองข้างส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เป็นครั้งคราว ทำให้เขาอวี้ซันจึงยิ่งมีกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิมากขึ้น ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้ามาทำการคารวะก็ได้ยินรถเทียมวัวส่งเสียงอี๊ดแอ๊ดดังให้ได้ยิน หวงสู่ที่สวมเสื้อฟางนั่งคร่อมอยู่บริเวณที่นั่งกุมบังเ**ยนด้วยความภาคภูมิใจ ส่งเสียงเร่งวัวสีน้ำตาลที่อยู่ข้างหน้าแล้วหันกลับไปมองภรรยาที่นั่งอยู่ในเกวียน อิงเหนียงอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขนของนาง ศีรษะเล็กๆ ที่สวมหมวกรูปหัวเสือเผยใบหน้าให้เห็น นี่คือลูกชายคนใหม่ของพวกเขา ซิ่วเหนียงเอียงศีรษะมองดูน้องชายที่น่าเกลียดน่าชังของนาง ใช้ผ้าเช็ดหน้าคอยเช็ดน้ำลายที่ไหลออกจากปากน้องชายเป็นระยะๆ ด้วย เกวียนเทียมวัวนี้ได้บรรทุกความสุขมาจนเต็มคันรถ
เห็นอวิ๋นเยี่ยยืนยิ้มอยู่ข้างทางพลางมองดูครอบครัวของเขา หวงสู่ก็หน้าแดงและกระโดดลงจากเกวียนเพื่อคารวะอวิ๋นเยี่ย
“หวงสู่คารวะโหวเหยีย”
ไม่ได้พบหวงสู่หนึ่งเดือนกว่าๆ ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ดูมีความต่ำต้อยน้อยลง ค้อมตัวคารวะก็ดูเข้มแข็งมีพลัง บารมีของสำนักศึกษาก็ค่อยๆ ส่งผลต่อตัวเขาด้วย ต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่ว่าทำอะไรก็ดูราวกับเป็นโจร เดินเหินมักจะชอบลัดเลาะไปตามกำแพง
“เจ้าไม่ได้ถูกอู๋อ๋องยืมตัวไปยังสถานที่ก่อสร้างไม่ใช่หรือ ทำไมวันนี้ก็กลับเสียแล้วล่ะ จัดการงานเป็นอย่างไรบ้าง” ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกลับมาเมื่อหลายวันก่อนก็ได้ยินว่าหลี่เค่อขอตัวหวงสู่ไปช่วยหาห้องลับที่เก็บสมบัติในคฤหาสน์เก่าตระกูลโต้ว หรือว่าจัดการเสร็จแล้ว
“เรียนโหวเหยีย คลังสมบัติของตระกูลโต้วหาพบแล้ว มีทั้งหมดสามจุดข้าน้อยใช้เวลาสองชั่วยาม โง่เขลาทั้งตระกูล พวกเขาสร้างห้องลับไว้ใต้สระน้ำในสวนหลังบ้าน เมื่อคนอื่นมองไม่ออกก็คิดว่าพวกเขาโง่เอง หรือคิดว่าคนใต้หล้านี้โง่เขลากันหมดทุกคน หลังจากห้องลับถูกสร้างขึ้นแล้วยังแสร้งทำเป็นสร้างสระน้ำเหนือห้องลับ พื้นที่บริเวณนั้นยกสูงมากจนแม้แต่หัวสัตว์ที่ระบายน้ำเข้าและออกยังไม่แขวนอยู่เลย ก็เท่ากับเป็นสระน้ำนิ่ง มีสระน้ำในสวนหลังของผู้ใดที่ไม่ได้เป็นกระแสน้ำไหลกันบ้าง สร้างสระน้ำกระแสน้ำนิ่งเพื่อเลี้ยงยุงกันหรือ”
เมื่อพูดถึงความถนัดของเขา หวงสู่ก็มีท่าทีของปรมาจารย์อย่างชัดเจน แม้กระทั่งความต่ำต้อยอันน้อยนิดสุดท้ายก็หายไปหมดสิ้น ในเมื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ต้องมีความมั่นใจดั่งผู้เชี่ยวชาญ เมื่อได้เห็นผู้เชี่ยวชาญมากมายในสำนักศึกษาย่อมรู้ว่าผู้เชี่ยวชาญวางท่าทีเป็นอย่างไร
“อืม ไม่เลว ตั้งใจทำงานในสำนักศึกษาให้ดี อนาคตยังมีงานมากมายที่ต้องพึ่งพาเจ้า ภารกิจคราวนี้ทำได้ดีมาก เงินเดือนของเจ้าควรต้องเพิ่มขึ้นเสียหน่อยแล้ว กลับไปต้องแวะไปทักทายผู้ดูแล”
หวงสู่ชอบฟังคำพูดนี้มากที่สุด หลังจากได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดดังนี้แล้วก็ยิ้มจนมองไม่เห็นตาดำเลย ค้อมตัวพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ขอบคุณที่โหวเหยียให้รางวัล แต่ว่าท่านหลี่ได้ขึ้นเงินเดือนให้ข้าน้อยแล้ว ตอนนี้ได้เดือนละสองก้วนแล้ว ท่านอ๋องก็บอกว่าเรื่องนี้ข้าน้อยจัดการได้อย่างสวยงามมาก จึงได้ให้รางวัลข้าน้อยจำนวนห้าสิบก้วนเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย ท่านหลี่ยังอนุญาตให้ข้าน้อยได้ลาพักสามวัน จึงถือโอกาสในช่วงวันหยุดทั้งครอบครัวไปเยี่ยมพี่เมียที่ตรอกซินเฟิง”
เมื่อมีลูกคนใหม่เกิดมาก็ควรต้องมีของขวัญ อวิ๋นเยี่ยจึงปลดสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งออกจากตัวเขาแล้วโยนให้หวงสู่และพูดกับเขาว่า “นี่คือของขวัญพบหน้าที่มอบให้เด็กน้อยคนนี้ ในเมื่อสิ่งที่สมควรได้รับก็ได้รับไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่มากเรื่องอีก ภรรยาเจ้าเพิ่งคลอดบุตรอย่าลืมบำรุงรักษาร่างกายด้วย ยังต้องเดินทางอีกไกล ข้าก็จะไม่พูดให้มากความอีก รีบไปเถอะ รีบไปรีบกลับ”
เมื่อเห็นอิงเหนียงกำลังจะลงมาจากรถเทียมเกวียน จะให้หญิงที่เพิ่งอยู่ไฟครบเดือนยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนนั้นดูไม่เหมาะสม อวิ๋นเยี่ยจึงยกมือขึ้นห้ามอิงเหนียงไว้และเร่งให้หวงสู่ออกเดินทาง
เหล่าทหารผ่านศึกเหล่มองรถเกวียนที่จากไป ท่านอาเจียงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ก็คือโจรปล้นสุสานคนนั้นหรือ ข้าดูแล้วไม่เหมือนโจรปล้นสุสาน แต่กลับเหมือนช่างตีอาวุธในสมัยอยู่ในกองทัพเสียมากกว่า แต่ท่าทีนั้นก็ดูคล้ายอยู่หลายส่วน”
“ท่านอาเจียง ความฝันของข้าคือการให้ทุกคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี การจะไม่ทำสงครามนั้นมันไม่ง่ายเลย หวังอย่างยิ่งว่าจะมีปีใหม่ที่สงบสุข ผู้คนในยามศึกสงครามยังสู้สุนัขไม่ได้ ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุขแล้ว ทุกคนควรได้ลิ้มรสการเป็นคนสักช่วงหนึ่งให้เต็มที มีอะไรไม่ดีตรงไหนกัน”
“ดี ดี แน่นอนต้องเป็นเรื่องดี ข้าในตอนนี้ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขกายสบายใจ มีเหล้ารสดีให้ดื่มทุกวัน กินอิ่มท้อง เสื้อผ้าก็เรียบร้อย ลูกๆ ก็มีงานทำ ชั่วชีวิตนี้ยังจะเรียกร้องอะไรอีก วันเวลาเช่นนี้เมื่อก่อนแม้ฝันข้าก็ยังไม่เคยคิดเลย”
หลังจากพูดจบก็ปลดน้ำเต้าใบเล็กออกจากเอวกระดกเหล้าเข้าปากหนึ่งคำ หลับตาและกลั้นลมหายใจ ผ่านไปเป็นเวลานานจึงค่อยถอนหายใจออกมายาวๆ ดูเหมือนรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าเฉิงฮูหยินไปถึงที่ไหนแล้ว บนภูเขาเขียวเช่นนี้ก็จะมีแต่เสียงหัวเราะของพวกนางดังขึ้นเท่านั้น ช่างเถอะ ไว้พบกันคราวหน้าก็แล้วกัน
ได้พบเฉิงฉู่มั่วที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตามอมแมมที่ประตูสำนักศึกษา ยืนเบิกตาแดงก่ำจ้องมองไปที่ประตูของสำนักศึกษา หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ดึงชายเสื้อขึ้นมาแล้ววิ่งพุ่งไปที่ประตูด้านขวา อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจและนั่งอยู่ใต้เพิงหน้าประตูรอให้เฉิงฉู่มั่วออกมาจากประตูทางด้านซ้าย
“เสี่ยวกงเหยียอยู่ที่นี่มานานเพียงไหนแล้ว ทำไมจึงดูทุลักทุเลเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยเรียกองรักษ์ของสำนักศึกษามาสอบถาม
“โหวเหยียท่านโปรดเกลี้ยกล่อมเสี่ยวกงเหยียด้วย เขาอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามวันแล้ว หลายวันก่อนเว่ยอ๋องกล่าวว่าประตูของสำนักศึกษาเป็นค่ายกลห่วยแตก ใต้หล้านี้นอกจากคนจำนวนหนึ่งที่มีอยู่ไม่กี่คนแล้ว คนที่เหลือนั้นไม่สามารถเข้ามาได้ ทั้งยังบอกด้วยว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้นด้วย แน่นอนว่าเสี่ยวกงเหยียจึงไม่ยอมแพ้โดยบอกว่าเขาจะเข้าไปไม่ได้ได้อย่างไรกัน ในช่วงสามวันที่ผ่านมานอกเหนือจากการกินอาหารและอาบน้ำแปรงฟันแล้ว เวลาที่เหลือก็หมกมุ่นอยู่ที่นี่”
“เขาไม่ได้คิดถึงวิธีการอื่นบ้างหรือ เอาแต่วิ่งพุ่งเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าไม่ได้บอกเขาหรือว่าการวิ่งเข้าไปโดยไม่ใช้สมองเช่นนี้ ชั่วชีวิตก็อย่าหวังจะได้เข้าไปเลย” ถึงแม้ว่าเฉิงฉู่มั่วจะเป็นพวกไม่รู้จักพลิกแพลงแต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่เขลา ถูกคนกระตุ้นจนถึงขั้นนี้ อวิ๋นเยี่ยสามารถจินตนาการได้ในหัวได้เลยว่าท่าทางของหลี่ไท่ในตอนนั้นยียวนน่ารังเกียจมากเพียงไร
“หลายวันนี้เสี่ยวกงเหยียได้ใช้บันได เชือกและทุบกำแพงด้วยค้อนแล้ว โหวเหยียท่านก็ทราบว่าบันไดสามารถพาดไปได้เพียงแค่กำแพงปีกกาเท่านั้นซึ่งยังเหลือระยะห่างจากด้านบนของกำแพงอีกช่วงหนึ่ง ด้านบนยอดของกำแพงก็มีลวดหนามอยู่ หากปีนข้ามไปก็คือไม่คิดจะมีชีวิตแล้ว เมื่อแขวนเชือกและปีนขึ้นไปถึงยอดของกำแพง ด้านบนของกำแพงก็เหมือนใบมีดแหลมคมไม่มีที่จะให้ยืน หากกระโดดข้ามไปและตกลงมาจากกำแพงก็ต้องถึงตายแน่ ข้าน้อยได้บอกกับเสี่ยวกงเหยียแล้ว เสี่ยวกงเหยียก็ไม่ยอมฟังทดลองหมดแล้ว ทั้งยังได้รับบาดเจ็บจึงได้ยอมหยุด”
ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็เห็นเฉิงฉู่มั่วออกมาจากทางด้านซ้ายอีกครั้ง เห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังรอเขาอยู่ก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทักทายกับอวิ๋นเยี่ย “เสี่ยวเยี่ย เจ้าก็มาด้วยหรือ ประตูผุพังนี้ขวางทางพี่ชายมาสามวันแล้ว เจ้ารอก่อน ข้ากำลังจะสามารถเข้าไปได้แล้ว เมื่อครู่พอจะเห็นลู่ทางบ้างแล้ว”
ไร้สมองแล้วยังปากแข็งอย่างไม่คิดชีวิตอีก อวิ๋นเยี่ยนั้นก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ว่าหลายวันนี้ไม่เห็นเฉิงฉู่มั่วแม้แต่เงา ที่แท้มาที่นี่เพื่อปะลองฝีมือกับประตูใหญ่นี่เอง ก็ต้องถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่มีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถผ่านเข้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษานี้ได้ อย่างมากที่สุดก็ให้องครักษ์เปิดประตูปล่อยให้เขาเข้าไปก็เท่านั้น จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงเพียงนี้หรือ
“เจ้าสามารถเข้าไปได้บ้าบออะไรกัน ทั้งยังบอกมีลู่ทางแล้ว เจ้าลองพูดลู่ทางที่ว่าให้ข้าฟังหน่อย”
เฉิงฉู่มั่วหน้าแดงไปทั้งใบหน้า ตะโกนเสียงดังใส่แล้วก็วิ่งพุ่งเข้าไปทางด้านซ้ายอีกครั้ง ยังไม่ถึงสิบห้านาทีก็เดินคอตกหมดอาลัยออกมาจากทางด้านขวาอีกครั้ง คราวนี้ก็เริ่มเขาอ่อนเล็กน้อย
——
[1] กระบวนโจมตีรูปแบบเฟิงสื่อเจิ้น เป็นหนึ่งในรูปแบบกระบวนท่าของกองทัพในสมัยโบราณ ซึ่งมีจำนวนสิบคนยืนเรียงกันสามแถวเป็นรูปหัวลูกศร