เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 50 ขงจื่อกล่าวว่าสละชีพเพื่อความถูกต้อง เมิ่งจื่อกล่าวว่าพลีชีพเพื่อคุณธรรม
- Home
- เจาะเวลาสู่ต้าถัง
- ตอนที่ 50 ขงจื่อกล่าวว่าสละชีพเพื่อความถูกต้อง เมิ่งจื่อกล่าวว่าพลีชีพเพื่อคุณธรรม
อวิ๋นเยี่ยพยุงเฉิงฉู่มั่วให้นั่งลง จากนั้นถกขากางเกงของเขาขึ้นมา เมื่อเห็นก็ถึงกับหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ภายใต้ขากางเกงนั้นมีปากแผลเปิดขนาดใหญ่ เนื้อหนังเหวอะหวะ ปากแผลเปิดจนคล้ายปากของทารก อวิ๋นเยี่ยจึงรีบตบที่ด้านหลังของเฉิงฉู่มั่วไปหนึ่งฝ่ามือ ไอ้เจ้าคนงี่เง่า ไม่อดกลั้นอะไรเลย คนอื่นพูดเพียงคำสองคำก็ยึดถือจริงจัง ดูท่าแล้วเหมือนว่าจะปีนกำแพงไม่พ้นแล้วถูกลวดหนามเหล็กด้านบนเกี่ยวแทงเข้า กำแพงที่สร้างโดยตระกูลกงซูถ้าหากสามารถข้ามผ่านไปได้โดยลำพังแล้ว ชื่อเสียงของหลู่ปันคงต้องย่อยยับป่นปี้ไปตั้งนานแล้ว
เพราะไม่มียาอยู่ในมือ จึงขอน้ำเต้าที่บรรจุเหล้าจากท่านอาเจียงนำเหล้ามาล้างแผล มีผู้ป่วยที่เกือบจะเป็นโรคบาดทะยักนอนอยู่ที่บ้านหนึ่งคนแล้ว หากจะให้มีคนนอนเพิ่มอีกคนอวิ๋นเยี่ยต้องคลั่งใจตายแน่
จึงเตะบั้นท้ายขององครักษ์เฝ้าประตู “ยังไม่เปิดประตูอีก จะรอให้ข้าเปิดมันเองหรือไร”
ทหารองครักษ์จึงรีบเดินเข้าด้านในไปตามเส้นทางที่ถูกต้องของเขาวงกต โดยทหารผ่านศึกพยุงเฉิงฉู่มั่ว ขาของเจ้าคนงี่เง่าคนนี้เลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุด แต่ดวงตาก็ยังมิวายกลิ้งกลอกไปมาเพื่อจดจำเส้นทาง คิดว่าคราวหน้าตนเองจะต้องคลำทางเข้ามาให้ได้
“ไม่ต้องจำหรอก ไม่เกิดประโยชน์ มีกำแพงหลายแห่งที่ขยับเขยื้อนได้ เส้นทางที่เดินในครั้งนี้คราวหน้าก็จะเปลี่ยนไป กดบาดแผลของตัวเองเอาไว้ให้ดีจึงจะเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่า” เนื่องจากครั้งที่แล้วถูกอวิ๋นเยี่ยแก้ค่ายกลได้อย่างง่ายดาย คนตระกูลกงซูรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก เฒ่ากงซูจึงเอาจริงขึ้นมาโดยออกเงินส่วนตัวสร้างกำแพงขึ้นใหม่อีกสองสามแห่ง ถึงกับทำให้มันสามารถเคลื่อนย้ายได้ ซึ่งก็ได้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก วิศวกรรมโยธาในยุคดั้งเดิมนึกไม่ถึงว่าจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ช่างชวนให้ตกตะลึงยิ่งนัก อวิ๋นเยี่ยไปขอภาพแบบก่อสร้างจากเฒ่ากงซูเตรียมที่จะศึกษาเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าเฒ่ากงซูจะชี้ไปที่ป้ายวิญญาณของหลู่ปัน ต้องการให้อวิ๋นเยี่ยคำนับบรรพชนของเขาเป็นอาจารย์ จากนี้ไปภาพแบบก่อสร้างของตระกูลกงซูก็อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยหยิบดูจนพอใจได้ตามอัธยาศัย
อวิ๋นเยี่ยไม่แม้แต่จะคิดก็ได้ปฏิเสธไป ตนเองมีอาจารย์ที่แต่งขึ้นจากจินตนาการอยู่แล้วท่านหนึ่ง จะให้คำนับผู้อื่นเป็นอาจารย์ได้อย่างไร แม้จะเป็นหลู่ปันก็ไม่ได้ จะต้องถูกผู้อื่นติฉินนินทาลับหลังว่าเป็นคนสารเลวที่ทรยศต่อคำสอนอาจารย์ แล้วจะให้มีหน้าอยู่ต่อในฉางอันได้อย่างไรกัน
เฒ่ากงซูไม่ยอมให้อวิ๋นเยี่ยดูภาพแบบก่อสร้าง อวิ๋นเยี่ยจึงเปลี่ยนรหัสผ่านประตูของสำนักศึกษา การเรียงลำดับประโยคกลอนให้อยู่ในแถวเดียวกันที่เป็นรหัสผ่านเดิมถูกเขาเปลี่ยนเป็นหลักการโซโดกุ โดยเติมข้างหน้าว่าแผนภูมิตำแหน่งดาวไว้บนกำแพงเงา ที่จริงแล้วก็เป็นหลักการของการล็อกประตูป้องกันการโจรกรรมบ้าน เพลาหลักหนึ่งเส้นจะมีเก้าสลักเก้าอัน ขอเพียงแค่ใส่ตัวเลขที่เหมาะสมให้ถูกตำแหน่งก็จะสามารถปลดล็อกกลอนประตูได้ ขอเพียงแค่ใส่ให้ถูกทั้งเก้าตำแหน่งกลอนประตูทั้งหมดก็จะหล่นลงมาและประตูจะเปิดออก
เพื่อป้องกันไม่ให้เลขหนึ่งถึงเก้าเห็นได้ชัดเจนเกินไป อวิ๋นเยี่ยจึงทำการแก้ไขให้แต่ละหมายเลขจากหนึ่งถึงเก้าเพิ่มขึ้นสามเท่ากลายเป็นสาม หก เก้า สิบสองจนถึงสูงสุดที่ยี่สิบเจ็ด ค่ารวมก็เปลี่ยนจากสิบห้าเป็นสี่สิบห้า
มีเพียงการทำให้ผลรวมของเส้นแนวตั้ง แนวนอนและมุมทแยงเป็นสี่สิบห้าจึงจะสามารถเปิดกำแพงเงาได้ เหล้าเก่าในขวดใหม่แต่ชื่อเสียงของแผนภูมิตำแหน่งดาวนั้นโด่งดังเกินไป ตำนานกล่าวกันว่าในยุคสมัยฝูซีนั้นได้มีเต่ามังกรขึ้นมาจากแม่น้ำและมอบให้กับฝูซีผู้มีเคล็ดลับล้ำลึกสุดหยั่ง ซึ่งเชื่อว่ามันเป็นแก่นแท้ของวัฒนธรรมเหอลั่ว[1] ในสมัยโบราณจึงยิ่งกล่าวถึงเขาในเชิงเป็นตำนานมากขึ้นกว่าเก่า อวิ๋นเยี่ยคิดว่าคำเล่าลือไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นผลลัพธ์ของตำนานมากมายเพียงนั้น จึงเชื่อไม่ได้อย่างเด็ดขาดว่าเรื่องราวจะอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ เขายอมที่จะเชื่อว่าเป็นเพราะฝูซีไม่มีอะไรจะทำ จึงได้เขียนเกมการเติมตัวเลขในตารางบนหลังเต่าและค้นพบกฎอย่างหนึ่งทางคณิตศาสตร์โดยบังเอิญ คราวนี้เรื่อง ประตูของสำนักศึกษาจึงได้กลายเป็นสถานที่ประลองความสามารถกันระหว่างอวิ๋นเยี่ยและตระกูลกงซู หากอวิ๋นเยี่ยยังไขปริศนาค่ายกลของตระกูลกงซูไม่ได้ ของสิ่งนี้ไม่มีทางที่จะถูกปลดล็อกได้ จะมีใครสามารถหาทางออกที่ถูกต้องจากสถานที่ที่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ ตระกูลกงซูกำลังน้ำลายไหลมองตัวเลขประหลาดๆ เหล่านั้นที่อวิ๋นเยี่ยตั้งค่าไว้อย่างจนด้วยเกล้า หลี่กังทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงได้นำอาจารย์และนักเรียนของสำนักศึกษามาร่วมกันตัดสิน ซึ่งทั้งสองเสมอกัน แต่กำแพงของสำนักศึกษาหากไม่มีคำสั่งของหลี่กังห้ามเคลื่อนย้ายโดยพลการ กำแพงเงาไม่จำเป็นต้องปิดเพราะเมื่อปิดแล้วไม่มีใครสามารถเปิดได้ อาจารย์และนักเรียนของสำนักศึกษาไม่ควรที่จะต้องเดินผ่านประตูด้านข้างเสมอจริงไหม หลี่ไท่เพื่อที่จะหาเรื่องเฉิงฉู่มั่วจึงจงใจปิดประตูลงมาและใส่สลักไว้หนึ่งชิ้น ก็เพราะเขารู้ว่าต้องเป็นตัวเลขที่อยู่ตรงกลางสุดซึ่งก็คือสิบห้า ตั้งใจจะดูเฉิงฉู่มั่วขายหน้า เมื่อมาถึงกำแพงเงา เหล่าองครักษ์ก็เบือนหน้าหนีอย่างรู้งาน มีเพียงเฉิงฉู่มั่วที่จ้องมองตาแป๋วด้วยความไม่เข้าใจดูการเคลื่อนไหวของอวิ๋นเยี่ยอย่างละเอียด ซึ่งการเคลื่อนไหวของอวิ๋นเยี่ยนั้นเร็วมาก พบว่ามีตัวเลขที่ผิดไปอยู่หนึ่งตัวซึ่งก็คือเลขสิบห้า จึงได้เลื่อนหมายเลขสิบห้าไปตรงกลางตามร่อง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้น กำแพงเงาของสำนักศึกษาขยับได้แล้ว จึงให้องครักษ์ของสำนักศึกษาออกแรงทั้งหมดที่มีผลักประตูให้เปิดออก เขาไม่อยากที่จะให้การผลักประตูเข้าไปต้องวุ่นวายพัวพันถึงตัวเอง ซึ่งก็จริงดังคาด การออกแรงผลักประตูได้กระชากถูกเส้นเอ็น ทันทีที่ประตูเปิดออกก็มีอะไรขาวๆ ร้องคำรามบินเข้าใส่องครักษ์ ซึ่งองครักษ์ก็เคยเห็นมันมานานแล้ว เพียงแค่ก้มตัวลงเจ้าสิ่งขาวๆ ก็บินข้ามศีรษะไปกระแทกเข้ากับกำแพงด้านนอกเกิดเสียงดังตูม กลุ่มหมอกควันก็ลอยคละคลุ้ง ปูนขาว หลี่ไท่นั้นไม่เคยใช้สิ่งดีๆ เลย โชคดีที่มันไม่ใช่แคลเซียมออกไซด์ ถ้าเป็นของสิ่งนั้นต้องเกิดเรื่องแน่นอน เหล่าทหารผ่านศึกเหงื่อออกเต็มร่าง เหตุการณ์ในวันนี้พวกเขาไม่เคยพบเจอเลยในช่วงชีวิตการทำศึกมานานหลายปี เพียงแค่คิดถึงตรอกที่คดเคี้ยวเหล่านั้นด้านบนถูกติดตั้งร่องซุ่มยิงอยู่อย่างหนาแน่น ถ้าหากมีใครต้องการโจมตีสำนักศึกษาก็ไม่รู้ว่าจะมีคนจำนวนเท่าไรที่ต้องตายอยู่ในตรอกเล็กๆ แห่งนี้ และเมื่อยิ่งคิดว่าโหวเหยียบอกว่ากำแพงนั้นสามารถขยับได้ก็ขนหัวลุกซู่ ขณะเปิดประตู หากที่ลอยออกมาไม่ใช่ถุงปูนขาวแต่เป็นห่าลูกศรที่กระหน่ำมา ผู้ที่เปิดประตูมีหรือยังจะมีชีวิตรอดได้
มองออกว่าเหล่าทหารผ่านศึกนั้นไม่สบายใจ อวิ๋นเยี่ยพูดว่า “อันที่จริงการทำเช่นนี้มันไร้ประโยชน์ เป็นเพียงการประชันความรู้กันอย่างหนึ่ง หากต้องการจะโจมตีสำนักศึกษามีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะโจมตีจากประตูใหญ่ เลือกสถานที่ใดที่หนึ่งก็ได้เพียงเท่านี้ก็สามารถทำลายลงได้อย่างง่ายดาย เว้นเสียแต่ว่าสำนักศึกษานั้นร่ำรวยพอที่จะสร้างกำแพงทั้งหมดให้เป็นเช่นนี้” เหล่าทหารผ่านศึกจึงได้เข้าใจในทันใด จริงด้วยสินะ ไม่ว่าแนวป้องกันของเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงไหน แต่ก็มีสถานที่ที่เจ้าไม่สามารถป้องกันได้เสมอ เปลี่ยนสถานที่โจมตีก็พอแล้ว ต่างก็เป็นพวกสูงวัยแล้วแต่กลับยังทำผิดพลาดในสิ่งที่เหล่าผู้เยาว์มักจะทำผิดพลาดกัน
อวิ๋นเยี่ยออกแรงใส่กลอนประตูทั้งเก้าให้ครบและพูดกับองครักษ์ของสำนักศึกษาว่า “ประเดี๋ยวท่านอ๋องกลับมาแล้วบอกเขาว่าการบ้านของเขาในวันนี้คือการแก้กลไกแผนภูมิตำแหน่งดาวไม่เช่นนั้นการสอบกลางภาคของเขา ข้าจะให้เขาศูนย์คะแนน” เฉิงฉู่มั่วหัวเราะพรืดขึ้นมา ความแค้นของเขาได้รับการแก้แค้นแล้วแน่นอนว่าต้องปลอดโปร่งโล่งใจ องครักษ์ของสำนักศึกษาเดินอ้อมจากประตูข้างออกมายังประตูใหญ่ด้านหน้าด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ รอหลี่ไท่กลับมาและแจ้งฝันร้ายนี้ให้เขาทราบ เพิ่งจะเย็บบาดแผลให้เฉิงฉู่มั่วเสร็จ เขาก็รอไม่ไหวต้องการที่จะไปดูเรื่องขายหน้าของหลี่ไท่ที่ประตูสำนักศึกษาเสียให้ได้ ขวางอย่างไรก็ไม่อยู่ ยืนอยู่บนระเบียงบนชั้นสอง ในเวลานี้ในสำนักศึกษาไม่มีคนว่างงานเดินไปมาแล้ว ชาวสวนหลายคนกำลังตัดแต่งต้นกล้าเอล์มที่กงซูมู่เป็นผู้ปลูกเอาไว้ ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ต้นไม้เล็กๆ ที่ไม่สามารถแตกใบเป็นต้นเอล์มได้เริ่มมีสีเขียวอ่อนๆ มียอดอ่อนสีน้ำตาลงอกออกมา เพื่อให้มันเติบโตเป็นพุ่มแนวราบแทนที่จะโตสูงชะลูด ชาวสวนจึงต้องตัดยอดของมันทิ้ง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ภายหน้ายามใช้เป็นเขาวงกตจึงจะสามารถดักผู้คนไว้ได้ ไม่รู้ว่ากงซูมู่คิดจะทำอะไร หรือจะบอกว่าเขาตั้งใจจะปรับเปลี่ยนสำนักศึกษาให้เป็นเมืองแห่งกลไก ความเป็นไปได้นี้สูงมาก ตาเฒ่าคนนี้หมกมุ่นกับเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เพียงวันหรือสองวันเสียหน่อย ในสำนักศึกษามีระฆังทองสัมฤทธิ์ที่เต็มไปด้วยคราบสีเขียวเกรอะกรังอยู่อันหนึ่งที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความโบราณซึ่งไม่รู้ว่าหวงสู่ไปเอามันมาจากที่ไหน เมื่อเคาะระฆังแล้วเสียงช่างไพเราะน่าฟังและกระจายเสียงออกไปได้ไกลมาก จึงได้ถูกหลี่กังนำมาใช้บอกเวลาในสำนักศึกษา ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงจะมีคนรับใช้คนหนึ่งของสำนักศึกษาเคาะระฆังทองสัมฤทธิ์บอกเวลาโดยเฉพาะ จ้าวเหยียนหลิงที่หลงใหลในเสียงดนตรียังถึงกับแต่งเพลงสั้นๆ ท่อนหนึ่งขึ้นซึ่งไพเราะมาก หลี่กังเดินออกมาจากห้องเรียนมือหนึ่งถือกาน้ำชาซึ่งของสิ่งนี้ไม่เคยห่างจากมือกลายเป็นของรักของหวงของเขาไปเสียแล้ว ด้านหลังจะมีหั่วจู้คอยถืออุปกรณ์การสอนของอาจารย์เดินตามอยู่ไม่ห่างซึ่งทั้งสองเดินตรงมายังอาคารสำนักงาน
อวิ๋นเยี่ยยืนรอรับหลี่กังอยู่ด้านหน้าอาคาร หลี่กังยังไม่ทันได้เดินเข้าใกล้เขาก็ก้าวขึ้นมาและกล่าวทักทาย “ต้องลำบากอาจารย์หลี่แล้ว ข้าน้อยคารวะอาจารย์”
เหลาหลี่มองจากบนลงล่างพินิจพิเคราะห์อวิ๋นเยี่ยอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ได้ลำบากอะไร แต่เจ้าต่างหากที่ต้องเดือดร้อน กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว” เมื่อพบหน้าเพียงแค่เห็นรอยยิ้มความเจ็บปวดทั้งหมดก็มลายหายไปสิ้นพร้อมกับรอยยิ้มนี้
“มันคุ้มค่าหรือไม่ที่ปะทะกับผู้ทรงอิทธิพลเพื่อผู้หญิงธรรมดานางหนึ่งด้วยอารมณ์ชั่ววูบ” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่อาจารย์อวี้ซันยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยและเอ่ยถามขึ้น
“ข้าไม่ได้ทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าเพียงแค่ทำเพื่อความยุติธรรมของใต้หล้านี้ การเสียสละตนเพื่อความยุติธรรมของนักปราชญ์รุ่นก่อนมีอยู่ไว้ให้ดูเป็นเยี่ยงอย่างนั้นไม่อนุญาติให้ข้าถอยกลับ”
“เสียใจภายหลังหรือไม่ ข้าได้ยินเรื่องครอบครัวเจ้าหมดแล้ว การเผชิญหน้ากับการล้างแค้นของศัตรูเจ้าเสียใจภายหลังหรือไม่” อาจารย์อวี้ซันรบเร้าถามต่อ
“เสียใจสิ จะไม่เสียใจได้อย่างไร ถ้าหากใครคนหนึ่งในครอบครัวเกิดเหตุร้ายขึ้น ข้าก็เสียใจอย่างหาที่สุดมิได้”
หลี่กังผู้ที่เดิมกำลังยืนอยู่ในห้วงแห่งความซาบซึ้ง เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดดังนี้ก็เกือบจะดึงเคราขาด “หากพบเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าก็ยังจะลงมืออีกอย่างนั้นหรือ”
“ข้าทนดูเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ คิดว่าก็ยังคงจะลงมือ เพียงแต่ก็เสียใจภายหลังเมื่อทำมันลงไปแล้วเท่านั้นเอง”
“เจ้าหนุ่ม ขงจื่อกล่าวว่าสละชีพเพื่อความถูกต้อง เมิ่งจื่อกล่าวว่าพลีชีพเพื่อคุณธรรม เจ้าเป็นแบบอย่างของผู้อื่นจะมาทำตัวโลเลได้อย่างไร” ช่วงเวลาที่คุยกันอยู่นั้นรอบกายก็มีอาจารย์กลุ่มใหญ่รายล้อมเข้ามา บางคนนั้นเจ็บแค้นใจด้วยคุณธรรมที่มีอยู่เต็มอก บางคนคับแค้นใจและละอายที่ไม่กล้าลุกขึ้นสู้ ทั้งยังมีผู้ที่โศกเศร้าจากมโนธรรมส่วนลึกที่ไม่อยู่ที่นี่อีกด้วย ที่แสดงออกเกินจริงมากที่สุดก็เห็นจะเป็นอาจารย์จินจู๋ที่ตีอกชกลมพูดว่า “ข้าได้เอาพฤติกรรมของเจ้าเป็นแบบอย่างของการทวงความยุติธรรมให้ชาวประชาแล้ว แบบอย่างของความกล้าไม่เกรงกลัวต่ออำนาจอิทธิพล ใครจะรู้ว่าเรื่องที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมเช่นนี้ เจ้าจะทำได้สมบูรณ์เยี่ยงนี้ ตอนนี้กลับเสียใจภายหลังเจ้าจะให้ข้าอธิบายกับลูกศิษย์เหล่านั้นได้อย่างไร”
อวิ๋นเยี่ยถูกพวกเขาผลักไปมาเหมือนใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ถ้าหากไม่ใช่กลุ่มคนของสุภาพชน อวิ๋นเยี่ยเกรงว่าคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากหากวันนี้ต้องการให้จบลงแต่โดยดี
เขาจึงตะโกนเสียงดังขึ้น “เงียบ! การกระทำการเรื่องใดๆ เกี่ยวอะไรกับการเสียใจภายหลังด้วย หากคราวหน้ามีเรื่องเช่นนี้อีก ข้าก็ยังคงจะทำมันและจากนั้นก็ยังคงเสียใจภายหลังเท่านั้นเอง นี่มันเป็นคนละเรื่องกัน เสียใจภายหลังก็ส่วนเรื่องเสียใจภายหลัง การกระทำเรื่องใดๆ ก็ส่วนของการกระทำนั้นๆ ไม่ควรนำมาพูดรวมกัน”
ท่ามกลางกลุ่มของอาจารย์ มีเพียงอาจารย์หยวนจางเพียงคนเดียวที่พยักหน้าและพูดกับทุกคนว่า “ความกล้าหาญจำเป็นต้องใช้เวลาสั่งสม และบางครั้งความกล้าหาญก็เป็นร่างแปลงของความโกรธ พวกเราไม่สามารถฝืนบังคับให้ทุกคนมีความกล้าหาญไร้ความหวาดกลัว ข้าเพียงแค่หวังว่าเหล่าลูกศิษย์ที่พวกเราสั่งสอนนั้นไม่ใช่คนขี้ขลาดเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ทุกท่านยึดติดกับภาพลักษณ์ภายนอกเกินไป”
เมื่อทุกคนเจอเหตุการณ์เช่นนี้เข้า ในช่วงเวลาสั้นๆ จึงไม่สามารถวิเคราะห์อะไรได้ถูก ดังนั้นก็นัดหมายเวลาเพื่อถกเถียงกันอีกครั้งก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นอาจารย์และลูกศิษย์ทุกคนจะเข้าร่วมด้วยทั้งหมดจะได้ทำให้ความจริงเรื่องความกล้าหาญและความรักในเกียรติศักดิ์ของตนเองให้ประจักษ์ต่อใต้หล้าอย่างชัดเจน กงซูมู่มาหาอวิ๋นเยี่ยด้วยความหวาดหวั่นลนลาน หลี่ไท่ศิษย์โง่ของเขาตอนนี้ยังคงติดอยู่ในเขาวงกตและไม่สามารถแก้กลไกแผนภูมิตำแหน่งดาวได้ จึงได้ส่งองครักษ์มาขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ ใครจะรู้ว่ากงซูมู่เองก็แก้กลไกไม่ได้ สองศิษย์อาจารย์ได้ลองทุกอย่างที่รู้กันจนหมดแล้ว กำแพงเงาก็ยังนิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย นิสัยถือหางศิษย์ของตัวเองของกงซูมู่กำเริบขึ้นจึงรีบร้อนวิ่งมาหาอวิ๋นเยี่ยเพื่อคิดบัญชี ต้องการจะถกปัญหาเรื่องผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยให้ชัดเจนเสียหน่อย ศิษย์ที่โง่เง่าของเขายังคงร้องไห้อยู่ในกำแพงเงานั่น
หลี่ไท่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินมีก็แต่เพียงกลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะให้เขาศูนย์คะแนน เขาเคยเห็นสิ่งนั้นซึ่งหนักราวหนึ่งจินได้ หากได้ของสิ่งนั้นก็ต้องแขวนไปจนถึงการสอบครั้งต่อไป มีแต่ผลคะแนนสอบใหม่ออกมาของสิ่งนั้นจึงจะถูกส่งมอบให้คนอื่นที่ได้ต่อไป หลี่ไท่ซึ่งเป็นโอรสสวรรค์ที่ภาคภูมิใจในตัวเองมาโดยตลอดมีหรือจะยอมรับความอัปยศเช่นนี้ได้ แต่เขากลับไม่สามารถแก้กลไกที่อวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ตั้งโจทย์ได้ เรื่องเช่นนี้แม้จะไปขอความเมตตาจากเสด็จพ่อก็ไม่เกิดประโยชน์ บางทีอาจจะนำมาซึ่งการลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นอีกด้วยซ้ำ
——
[1] วัฒนธรรมเหอลั่ว ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมเก่าแก่ของจีน โดยมีศูนย์กลางวัฒนธรรมอยู่ที่ลั่วหยางที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อภาคกลาง