ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 1940 เลื่อนขั้นเป็นเซียนสวรรค์ (4) / ตอนที่ 1941 เลื่อนขั้นเป็นเซียนสวรรค์ (5)
- Home
- ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ
- ตอนที่ 1940 เลื่อนขั้นเป็นเซียนสวรรค์ (4) / ตอนที่ 1941 เลื่อนขั้นเป็นเซียนสวรรค์ (5)
ตอนที่ 1940 เลื่อนขั้นเป็นเซียนสวรรค์ (4)
แม้แต่ยอดฝีมือขั้นเซียนสวรรค์ของอาณาจักรเทียนฉียังทนอัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์แบบนี้ไม่ได้
กลับกันอวิ๋นลั่วเฟิงดูค่อนข้างผ่อนคลายราวกับกำลังอาบน้ำ
ความจริงแล้วไม่มีใครรู้ว่าร่างกายของอวิ๋นลั่วเฟิงถูกสายฟ้าครอบงำไปแล้วแต่ว่านางก็อดทนเพื่อไม่ให้ความพยายามก่อนหน้านี้ของนางสูญเปล่า โชคดีที่นางเคยประสบกับอัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์แบบนี้มาแล้วและพอจะมีภูมิต้านทาน เทียบกับชายชราทั้งสองแล้วนางอยู่ในสภาพที่ดีกว่ามาก
“เด็กน้อย เจ้าชั่วร้ายเกินไปแล้ว เจ้าจะต้องได้รับการลงทัณฑ์แน่นอน! ” ชายชราในชุดสีขาวกัดฟัน เขาเอ่ยอย่างโกรธแค้นในขณะที่ในปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด
“ข้าก็แค่ผ่านด่านเลื่อนระดับ” อวิ๋นลั่วเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ามาปรากฏตัวอยู่ข้างข้าเอง อัสนีสวรรค์ไม่มีตา เจ้าจะโทษข้าได้อย่างไร”
ความจริงแล้วอวิ๋นลั่วเฟิงก็ไม่ได้เป็นคนเรียกอัสนีสวรรค์พวกนี้มา พวกเขาก็แค่โชคร้ายเท่านั้นเอง
ตูม!
เมื่ออัสนีสายหนึ่งที่ทรงพลังกว่าก่อนหน้านี้ผ่าลงมา ในที่สุดชายชราทั้งสองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้วทรุดลงไปกับพื้น
ชายชราตะโกนอย่างเดือดดาลด้วยพลังเฮือกสุดท้าย “ต่อให้พวกเราตายอยู่ที่นี่ สวรรค์ก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่! ”
เด็กผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ดึงดูดอัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์ที่ทรงพลังขนาดนี้ ถ้านางยังเติบโตต่อไปผลที่ตามมาก็คือหายนะ!
หลังจากนั้นพวกเขาก็สูญเสียพลังทั้งหมดไป และเปลือกตาก็ค่อยๆ ปิดลง
เมื่อชายชราทั้งสองหมดแรงจะต่อต้าน อวิ๋นลั่วเฟิงก็ไม่สามารถทนต่อไปได้ ร่างของนางก็สั่นเล็กน้อยแล้วทันใดนั้นก็ส่งเรียกออกมา
“อวิ๋นอี้! ”
พรึ่บ!
ทันใดนั้นร่างทรงพลังร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวตรงหน้าอวิ๋นลั่วเฟิง เขาปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนไม่ทราบ แล้วป้องกันการโจมตีรุนแรงจากอัสนีลงทัณฑ์
อัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์ยังคงผ่าลงบนร่างใหญ่โตของอวิ๋นอี้และเกือบจะกลืนกินเขาเข้าไป แต่ว่าอวิ๋นอี้ก็ยังมีใบหน้านิ่งสนิท เปลือกตาไม่ขยับแม้แต่น้อย
“หุ่นเชิดงั้นหรือ”
ฉีหลิงและคนอื่นทั้งหมดต่างตะลึงเมื่อเห็นอวิ๋นอี้ป้องกันการโจมตีของอัสนีสวรรค์ลงทัณฑ์ จากนั้นพวกเขาก็เห็นฉากที่ยิ่งน่าตะลึงกว่าเดิม…
อัสนีลงทัณฑ์ทั้งหมดถูกอวิ๋นอี้ซึมซับไว้ ระหว่างที่ดูดกลืนพวกมัน เขาก็ปลดปล่อยพลังมหาศาลออกมาและดวงตาเย็นชาของเขาก็ดูทรงพลังมาก
“เซียนสวรรค์งั้นหรือ”
หลังจากที่ดูดซับอัสนีสวรรค์แล้วหุ่นเชิดก็เลื่อนขั้นเป็นเซียนสวรรค์งั้นหรือ
ฉีหลิงและคนอื่นสูดหายใจด้วยความแปลกใจ พวกเขาตะลึงกับสิ่งที่เห็น
ส่วนชายชราทั้งสอง…
พวกเขาหวังว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะถูกอัสนีสวรรค์สังหารด้วยเหมือนกัน หลังจากที่เห็นแบบนี้พวกเขาก็หน้าซีดและดวงตาก็เต็มไปด้วยความกลัว
“สังหารพวกเขา! ” อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้มบางแล้วพูดอย่างเฉยชา
ไม่นานอวิ๋นอี้ก็พุ่งเข้าไปสังหารพวกเขา
ในเมื่อผู้อาวุโสทั้งสองสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปภายใต้อัสนีสวรรค์แล้ว อวิ๋นอี้จึงสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดายไม่ต่างกับหั่นผัก ทันทีที่เขาโบกมือ ผู้อาวุโสก็ถูกแทงทะลุอก เมื่อผู้ฝึกฌานขั้นเซียนสวรรค์ตายคนอื่นก็พ่ายแพ้ แต่ภายใต้การข่มขู่ของอวิ๋นอี้ก็ไม่มีใครกล้าหนีสักคนเดียว
อวิ๋นลั่วเฟิงเดินไปหาฉีซูและคนอื่นๆ ช้าๆ นางมองฉีหลิงยังตกตะลึงอยู่ “ไปตรวจดูว่าเจ้ารู้จักพวกเขาทั้งสองคนหรือไม่”
“ได้”
ดวงตาของฉีหลิงเป็นประกายซับซ้อนและรู้สึกว่าตัวเองโชคดี
เขารู้สึกโชคดีที่เขามีอวิ๋นลั่วเฟิงช่วยเขา เขามั่นใจในความแข็งแกร่งของอวิ๋นลั่วเฟิง ไม่ช้าก็เร็วนางต้องสามารถรวบรวมแคว้นเฟิงอวิ๋นได้แน่
ตอนที่ 1941 เลื่อนขั้นเป็นเซียนสวรรค์ (5)
ฉีหลิงเดินไปหาชายชราทั้งสองช้าๆ แล้วดึงหน้ากากหนังมนุษย์ออก
ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมใจไว้แล้วแต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นเยียบ
“สองคนนี้เป็นสมาชิกของสภาผู้อาวุโสของอาณาจักรเทียนฉี และพวกเขาก็เชื่อฟังแค่คำสั่งของบิดาข้าเท่านั้น”
ฉีซูมองฉีหลิงแล้วก็พบว่าเขามีสีหน้าโศกเศร้า ตอนนี้เขาก็รู้สึกเห็นใจว่าตอนนี้ฉีหลิงช่างคล้ายกับตัวเขาก่อนหน้านี้เหลือเกิน โชคดีที่พวกเขาทั้งคู่ได้เจอกับอวิ๋นลั่วเฟิงที่มีพระคุณเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา
“แม่นางอวิ๋น” ฉีหลิงหันหน้าไปถามอวิ๋นลั่วเฟิง “คนพวกนี้ติดตามข้ามาหลายปีแต่กลับถูกสังหารโดยไร้ซึ่งความผิด ข้าไม่อยากฝังเขาไว้ที่นี่ ข้าจะให้คนที่รอดชีวิตพาร่างพวกเขากลับไปที่อาณาจักรเทียนฉีแล้วส่งวิญญาณกลับบ้าน…
…ส่วนเรื่องการประลองระหว่างสี่อาณาจักร ข้าจะเข้าร่วมด้วยตัวคนเดียว! ”
ถึงแม้ว่าเขาจะตัวเดียวแต่เขาจะพยายามเต็มที่เพื่อชนะ!
อวิ๋นลั่วเฟิงพยักหน้า “ได้ พาพวกเขากลับบ้านเถอะ อีกอย่างเจ้ายังมีโอกาสได้แก้แค้นให้คนของเจ้า”
ฉีหลิงไม่ได้พูดอะไร เขาไม่เคยคิดว่าบิดาของเขาจะทำเรื่องแบบนี้เพื่อช่วยน้องสาม ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบิดาดังนั้นเขาคงไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ แต่ว่าเขาไม่มีทางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้แน่นอน!
ถ้าชายคนนั้นไม่ได้ทำอะไรแย่ๆ ในอนาคต เขาก็คงแค่กักขังอีกฝ่ายไว้เมื่อเขากลับไปถึงบ้าน แต่ถ้าอีกฝ่ายยังพยายามจะลงมือกับเขาอีกล่ะก็…
ถ้าเป็นอย่างนั้นต่อให้อีกฝ่ายเป็นบิดา เขาก็ไม่มีวันยกโทษให้!
ฉีหลิงหายใจออกช้าๆ แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา “การประลองระหว่างสี่อาณาจักรกำลังจะเริ่มแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
พูดจบฉีหลิงก็ออกคำสั่งยอดฝีมือที่ยังมีชีวิต พวกเขาโค้งคำนับให้เขาแล้วจากไปจากนั้นก็เตรียมตัวพาร่างคนตายกลับไปยังบ้านเกิด
ฉีหลิงสะบัดแขนเสื้ออย่างกลั้นอารมณ์ไว้ไม่ได้ “พระสนมหลิน ถ้าเจ้าอยากใช้ข้าเป็นบันไดให้บุตรชายเจ้า เจ้าก็ได้ทำผิดผลาดครั้งใหญ่แล้ว ข้าจะป็นผู้ชนะในการประลองระหว่างสี่อาณาจักรนี้และข้าจะไม่มีวันยอมแพ้! ”
เมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของฉีหลิง อวิ๋นลั่วเฟิงก็พยักหน้าอย่างพอใจ…
โม่เชียนเฉิงมองอวิ๋นลั่วเฟิงจากด้านข้าง เขาพยายามจะพูดอะไรหลายครั้งแต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดลงไป
อวิ๋นลั่วเฟิงเหลือบมองโม่เชียนเฉิงที่ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแล้วถามเสียงเบาว่า “มีอะไร”
โม่เชียนเฉิงก้มหน้าด้วยท่าทีอับอาย “ขอโทษด้วยที่ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย”
ตอนนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาคิดว่าอวิ๋นลั่วเฟิงเกือบถูกคนพวกนั้นสังหาร หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและเดือดดาล แต่ว่าไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ช่วยอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้…
เขาปลดผนึกได้สายเกินไป!
ถ้าเขาสามารถปลดผนึกได้เร็วกว่านี้ ไม่แน่…อวิ๋นลั่วเฟิงก็คงไม่ต้องเสี่ยงตาย!
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย”
“แต่ว่า…”
แต่ว่าเจ้าคือเจวี๋ยเชียน แล้วข้าจะยืนดูอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร
โม่เชียนเฉิงรู้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่พูดออกไป
“อย่างที่เจ้าเห็น ข้ามีอันตรายร้ายแรงคอยตาม เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าอยากติดตามข้า” อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตาแล้วถาม
โม่เชียนเฉิงกัดปาก “ข้าไม่ติดตามเจ้าจะอันตรายยิ่งกว่า เจ้าไม่กลัวว่าจะมีใครบางคนพยายามสังหารข้าแล้วทำให้ข้าปลดผนึกได้หรอกหรือ”