วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 819 อยากจะสู้ด้วยตัวเองหรือไง
ลัวเซิงเดินทางมาถึงเอเจนซี่ในวันต่อมา ออฟฟิศแห่งนี้กินพื้นที่กว่าครึ่งชั้นของอาคารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง
แน่นอนว่าถังหนิงไม่ได้อยู่ที่นั่น นี่ไม่ใช่สถานที่แบบที่เธอจะปรากฏตัวต่อให้เธอเป็นคนเปิดออฟฟิศแห่งนี้ภายใต้ชื่อเธอก็ตาม
ลัวเซิงสำรวจสถานที่ก็พบว่ามันไม่ได้แตกต่างไปต่างเอเจนซี่เจ้าอื่นๆ และมีทุกอย่างที่จำเป็น
จากที่เห็น ถังหนิงดูเหมือนจะจริงจัง
ในตอนนี้ หน้าที่หลังของหลงเจี่ยในเอเจนซี่คือการจัดหางานชิ้นแรกให้ลัวเซิง
“ดูนายไม่ค่อยคุ้นกับที่นี่เท่าไหร่นะ” หลงเจี่ยลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเดินตรงมาที่โซฟาก่อนนั่งลงตรงข้ามกับเขา
“ก็นิดหน่อยครับ”
“ตอนนี้นายเป็นศิลปินของเรา ดังนั้นสิ่งแรกที่นายต้องทำคือการเปิดใจให้กว้าง นายคิดจริงเหรอว่าตัวเองมีค่าแค่สามสิบล้าน” หลงเจี่ยถาม “ในเมื่อนายเซ็นสัญญากับเราแล้ว นายจะต้องร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่เราวางแผนให้ ไม่ต้องคิดว่าคู่แข่งของตัวเองคือสมาชิกวงเอ็มเอสวาย…
“การคิดอะไรสั้นๆ หมายความว่าชะตากรรมของพวกนั้นไปได้อีกไม่ไกลหรอก”
“ถ้างั้นใครคือคู่แข่งของผมล่ะ”
“ตัวนายเอง” หลงเจี่ยกล่าวก่อนจะวางบทละครลงตรงหน้าอีกฝ่าย “ดูบทละครนี่ซะ”
หลังดูสิ่งของแปลกตาตรงหน้า ลัวเซิงก็ขมวดคิ้วมุ่น “ผมแสดงละครไม่เป็น… ไม่มีทางที่ผมจะเล่นเป็นหนุ่มน้อยได้แน่”
“การเล่นในละครไอดอลเป็นวิธีที่จะทำให้นายได้รับความนิยมได้เร็วที่สุด นายไม่จำเป็นต้องมีทักษะการแสดง แต่เล่นเป็นตัวของตัวเองในละครเรื่องนี้ก็พอ ฉันไม่คิดว่านายเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนเท่าไหร่นะ ว่าตัวนายเองไม่มีทางเลือก” หลงเจี่ยกล่าวด้วยเสียงจริงจัง
“ฉันรู้ว่านายชอบร้องเพลง แต่บอกฉันสิ… หลังจากเปิดตัวมานาน นอกจากการสร้างข่าวซุบซิบนิดหน่อยกับการปรากฏตัวบนเวทีเล็กๆ ไม่กี่เวทีแล้ว นายมีความสำเร็จอย่างอื่นอีกไหม ทุกวันนี้มีคนอีกเยอะที่ร้องเพลงได้ แม้แต่ชาวนาหรือพนักงานทำความสะอาดธรรมดาๆ ถ้าแต่งองค์ทรงเครื่องสักหน่อยก็ขึ้นเวทีได้แล้ว
“ต่อให้อยู่ในวงก็การันตีอะไรไม่ได้ แล้วนายจะแข่งกับคนอื่นด้วยตัวนายเองได้ยังไง”
ลัวเซิงยังไม่คล้อยตามร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สุดท้ายเขาก็ยังเอาบทละครนั้นกลับมาด้วย
ลัวเซิงปฏิเสธงานที่พวกเธอจัดการให้ตามที่ถังหนิงคาดการณ์ แต่หลังจากการถ่ายทำละครเรื่องนี้ เธอรู้ดีว่าเขาจะต้องเสียใจกับคำข้องใจของเขาเองในวันนี้
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าหลงเจี่ยจะได้บทนี้มา โชคดีที่เธอรู้ดีว่าวงการนี้ทำงานอย่างไรและรีบสร้างเครือข่ายของเธอขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะถังหนิงตั้งใจจะอุทิศทุกอย่างให้กับเอเจนซี่นี้
เป็นก้าวสำคัญที่พวกเธอต้องทำ พวกเธอไม่มีทางเลือกอื่น
หลังจากศึกษาทุกอย่างอยู่ที่บ้านมาหนึ่งเดือน หลงเจี่ยก็กลับมาทำงานอย่างรวดเร็วและลู่เช่อเองก็ยุ่งกับงานของเขา แม้ทั้งสองจะค่อนข้างเหน็ดเหนื่อยแต่ความเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายกลับเพิ่มมากขึ้น
เช่นเดียวกับลูกสาวของทั้งคู่ พวกเขาพบพี่เลี้ยงที่เชื่อใจได้ที่จะให้ดูแลลูกสาวของพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้พี่เลี้ยงทำทารุณกับลูกน้อยเหมือนอย่างที่พี่เลี้ยงหลายคนถูกฟ้องร้อง หลงเจี่ยติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในบ้านหลายตัว หลังจากจับตามองพี่เลี้ยงคนนี้อยู่พักใหญ่ เธอพบว่าอีกฝ่ายเป็นพี่เลี้ยงที่มีความรับผิดชอบและดูแลลูกสาวของพวกเขาราวกับลูกของตัวเอง นั่นทำให้ทั้งหลงเจี่ยและลู่เช่อโล่งใจ
แน่นอนว่าลัวเซิงไม่พอใจกับการจัดการต่างๆ ที่หลงเจี่ยทำให้
เอสเอ็มวายเป็นวงดนตรี แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาแสดงละคร…
กว่าจะถึงตอนที่เขาดัง เอสเอ็มวายอาจจะไปอยู่จุดสูงสุดแล้วก็ได้
เมื่อเห็นลูกชายตัวเองนั่งอมทุกข์อยู่ที่บ้าน คุณนายลัวจึงเข้ามาถามถึงสาเหตุ ลัวเซิงอธิบายให้แม่ของเขาฟังว่าหลงเจี่ยจัดงานอะไรมาให้เขาด้วยความข้องใจและสับสน “แม่ ผมยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยสักนิด…”
“ลูกบ้าหรือเปล่า” คุณนายลัวตบเข้าที่หลังหัวลูกชายของตัวเอง “คำพูดของผู้จัดการหลงมั่นสมเหตุสมผลแล้ว ลูกทำงานดนตรีมานานแค่ไหนแล้ว หลังจากทำวงมาปีหนึ่งลูกได้อะไรบ้าง ลูกก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก ในขณะที่งานโทรทัศน์น่ะมันไม่เหมือนกัน…
“ถ้าลูกแสดงในละครโทรทัศน์ แม่ก็จะดูลูกในโทรทัศน์ได้ คนทั้งประเทศจะได้เห็นลูก! เท่ากับประสบความสำเร็จไปครึ่งทางแล้ว
“ตอนที่ลูกเป็นนักร้องแล้วแม่พูดถึงเอสเอ็มวาย ไม่มีใครสักคนรู้จักด้วยซ้ำ
“แต่นี่มันละครไอดอล…
“แม้แต่แม่ยังดูละครไอดอลของไทยเมื่อไม่นานมานี้เลย ผู้หญิงไม่ว่าจะเด็กหรือแก่มีใครบ้างไม่ชอบคนหน้าตาหล่อๆ
“ที่สำคัญที่สุดคือเหตุผลที่ผู้จัดการหลงจัดงานให้ลูกไปเป็นนักแสดงแทนที่จะเป็นการร้องเพลง เพื่อที่ลูกจะได้ไม่ต้องไปดึงดูดความสนใจจากเอเจนซี่เจ้าเก่านั่น แบบนั้นลูกจะมีอุปสรรคน้อยลง ผู้จัดการหลงทำทุกอย่างโดยคำนึงถึงลูกทั้งนั้น แต่ลูกกลับเอาแต่บ่น ลูกนี่มันไม่รู้จักความมีเมตตาของคนอื่นจริงๆ”
ได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดลัวเซิงก็ตาสว่างและตระหนักได้ว่าตัวเองคิดอะไรตื้นๆ แค่ไหน
หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพูดกับแม่ของตัวเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง”
ลัวเซิงยังเด็ก จึงไม่ใช่เรื่องผิดที่จะจัดว่าเขาเป็นไอดอลคนหนึ่ง อีกทั้งเขายังมีหน้าตาหล่อเหลาและตรงกับสเปกที่บรรดาสาวๆ ต่างอยากได้เป็นแฟน ดังนั้นการร่วมแสดงในละครไอดอลจะต้องดึงดูดผลตอบรับที่เป็นบวกได้อย่างแน่นอน
อีกอย่าง ละครไอดอลไม่ได้ไร้สาระทุกเรื่อง มีหลายเรื่องที่กลายเป็นละครอมตะ
ดังนั้นไม่ช้าลัวเซิงจึงไปรายงานตัวที่กองถ่ายพร้อมกับบทละครของเขา
เดิมทีเขาคิดว่าบรรดานักแสดงและทีมงานจะจับผิดและวิจารณ์การแสดงของเขาไม่ก็เอาแต่เพ่งเล็งแต่รูปลักษณ์ภายนอกของเขา แต่ที่จริงแล้วทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้กำกับ
และผู้กำกับหลินผู้โด่งดังในด้านละครไอดอลนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าปฏิบัติกับนักแสดงวัยรุ่นเป็นอย่างดี
เขาเป็นผู้กำกับที่มีพรสวรรค์มากและเป็นคนที่ยืดหยุ่นได้
“ลัวเซิง ละครไอดอลเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก ฉันคิดว่าตัวละครที่หลงมั่นเลือกให้นายมันเหมาะกับนายมากเลย”
ทั้งพระเอกและนางเอกของเรื่องต่างก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่ แม้ทั้งคู่จะพอมีประสบการณ์ในการแสดงมาบ้าง แต่ไม่มีใครมีสิทธิ์ดูถูกคนอื่นทั้งนั้น
ในเมื่อพวกเขาต่างอยู่ในระดับเดียวกัน ทุกคนเข้ากันได้อย่างรวดเร็วและให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี
ประกอบกับโบนัสจากหลงเจี่ยด้วยการมาเยี่ยมกองถ่ายเป็นระยะเพื่อนำอาหารและขนมมาให้บรรดานักแสดงและทีมงาน ทำให้ชีวิตในกองถ่ายของลัวเซิงไม่เต็มไปด้วยความมืดหม่นและคำใส่ร้ายป้ายสีเหมือนอย่างที่เขาเคยประสบมาในอดีต
แต่กระนั้น ก็ยังมีบางคนที่มักตั้งคำถามเกี่ยวกับเอเจนซี่ของเขาอยู่เป็นระยะ
ซึ่งเขาจะยิ้มและตอบว่า “จู้ซิงมีเดีย”
แม้จะไม่มีใครเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ลัวเซิงเชื่อว่าชื่อนี้จะได้รับการกล่าวขวัญไปทั่ววงการบันเทิงในไม่ช้า
ละครไอดอลมักจะเป็นละครสั้นและจบภายในประมาณยี่สิบตอน ดังนั้นละครที่พวกเขากำลังถ่ายทำอยู่ที่มีชื่อว่า ‘ระวังให้ดี จอมปีศาจกำลังมา’ จึงจบในสิบแปดตอน
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ประสบการณ์ในครั้งนี้ ลัวเซิงพบว่าภาพลักษณ์เกี่ยวกับละครไอดอลที่เขาเคยจินตนาการไว้นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเนื้อเรื่องที่ดีไม่ได้มีแค่ในละครธรรมดาและความงดงามของวัยรุ่นเองก็สร้างเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมได้
ไม่ช้าละครเรื่องนี้ได้ลงในโทรทัศน์ช่องหนึ่งและได้เวลาฉาย…
ดังนั้นเวลาที่จะได้เห็นผลลัพธ์ได้มาถึงแล้ว!