ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 609 - 2 หญิงงามยังไม่โรยราทว่าท่านกลับจากลาก่อน
ตัวประกันที่อายุน้อยที่สุดผู้นั้นถูกชาวต้าหัวผู้ดุร้ายราวพยัคฆ์และหมาป่ากดอยุ่กับพื้น กำลังดิ้นรนขัดขืน ร่างกายสั่นเทา ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ อยู่รางๆ
ไม่ว่าจะเป็นลูกของบ้านใด อย่างแรกเลยคือเขาเป็นเด็กอายุห้าหกขวบเท่านั้น การแสดงอาการหวาดกลัวเมื่ออยู่หน้าโลหิตและประกายดาบถือเป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติ ฝืนสะกดกลั้นไม่ได้
เมื่อเห็นดาบโค้งซึ่งมีโลหิตหยาดหยดในมือหูปู้กุย ร่างอวี้เจียก็สั่นสะท้านย่างรุนแรง หน้าซีดเผือด ฟันงามกัดริมฝีปากสีชาดจนจมลึก โลหิตค่อยๆ ไหลซึมออกมา
“ซ่าเอ่อร์มู่…” ขนตายาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อย น้ำตาค่อยๆ ไหลริน นางลุกยืนขึ้นเบาๆ การบุกโจมตีของชนเผ่านอกด่านอ่อนลงทันที
เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกนี้ หลินหว่านหรงก็เงยหน้าขึ้นมา ภายในดวงตาซึ่งมีน้ำตานองทั้งสองข้างของอวี้เจีย ความอ่อนแออับจนหนทางแลความลังเลตัดสินใจไม่ได้ที่ทำให้คนใจสลายนั้นกวาดผ่านเบื้องหน้าเขาราวกับสายฟ้า
เขาหายใจไม่ออก จมูกร้าวระบม ฝืนเบือนหน้าหนีไป เพียงแต่โอกาสอันดีที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้จะพลาดไปได้อย่างไร เขาออกแรงตวาดเสียงดัง “เหล่าหู เหล่าเกา ไป ไปเร็ว!”
เขาฟันดาบใส่ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านข้างให้หลบหลีกไป ถึงกระนั้นชาวทูเจวี๋ยกลับกรูเข้ามาสายน้ำไหลบ่า การโจมตีแม้จะลดลง แต่ตัวคนนั้นกลับเหมือนฝูงมด พัวพันเขาอย่างแน่นขนัด นางเซียนคุ้มกันอยุ่ข้างกายโจรน้อย กวัดแกว่งประกายกระบี่อย่างเร็วรี่ เหงื่อแปดเปื้อนแนบแก้มราวกับผ้าแพร
“ท่านแม่ทัพ พวกเราไปด้วยกัน!” พวกเกาฉิวฟันแหวกชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบ รีบห้อมล้อมอยู่ด้วยกัน ออกแรงตะโกนอย่างเต็มที่
มองซ่าเอ่อร์มู่ จากนั้นก็มองชาวต้าหัวที่มีโลหิตอาบร่างเหล่านั้นอีกครา อวี้เจียกัดฟันกรอด สายตาแปรผันสารพัดสารพัน
โอกาสเช่นนี้ชีวิตคนเราจะมีสักกี่ครั้ง หากพลาดไปแล้วก็ไม่อาจเกิดซ้ำอีกครั้งได้อีก! ลาล่ะ อวี้เจีย!
หลินหว่านหรงจับมือน้อยของหนิงอวี่ซี พูดเสียงดังว่า “พี่สาว พวกเราไปกันเร็ว!”
ทหารต้าหัวทุกคนต่างหักหัวม้าพร้อมกัน ฝ่าห่าธนู วิ่งห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายอันอ่อนเยาว์ของซ่าเอ่อร์มู่ดิ้นรนขัดขืนอยุ่ในมือหูปู้กุยไม่หยุด อวี้เจียสองตาเปียกชื้น มือที่กุมดาบสั่นเทาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรยกขึ้นหรือว่าวางลงดี
เมื่อปราศจากบัญชาของข่านใหญ่ ชาวทูเจวี๋ยต่างสับสนทำอะไรไม่ถูก ความรุนแรงในการโจมตีลดทอนลง เพียงชั่วพริบตาก็ถูกชาวต้าหัวบุกเข่นฆ่าออกไปจนกลายเป็นทางโลหิตสายหนึ่ง
หูปู้กุยขี่ม้านำหน้า ทัพกระจัดกระจายที่เหลืออยู่กรูออกไปราวกับมังกรยาว ทลายวงล้อมชนเผ่านอกด่าน ลากออกไปเป็นแถวยาว พุ่งปราดออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดขัดขวางย่างก้าวในการกลับบ้านของพวกเขาได้อีกต่อไป
ประกบติดอยู่ท้ายสุด ข้างหลังมีห่าธนูแน่นขนัดยิงเข้าใส่ราวกับฝูงตั๊กแตน แม้จะหลบหนีด้วยสภาพทุลักทุเล ทว่าสภาพจิตใจกลับผ่อนคลายลงไปมาก เขากับนางเซียนเคียงบ่าเคียงไหล่ ห้อตะบึงอย่างเร็วรี่ กล่าวพร้อมหอบหายใจหนักๆ “พี่สาวเทพเซียน ในที่สุดพวกเราก้ได้กลับบ้านแล้ว!”
หนิงอวี่ซีผงกศีรษะเล็กน้อย ทว่ากลับไม่อาจสะกดกลั้นต่อไปได้อีก นางไออย่างรุนแรง บนใบหน้าอันซีดเผือด โลหิตสีเข้มจางๆ สายหนึ่งค่อยๆ ไหลซึมออกมา ตัดกับผิวอันกระจ่างใสของนาง น่าตื่นตระหนกยิ่งนัก
“พี่สาว!” หลินหว่านหรงตกตะลึงพรึงเพริด ไม่สนใจห่าธนูแน่นขนัดที่อยู่ข้างหลัง รีบเอื้อมมือไปจับมือนาง
นางเซียนเดินทางรอนแรมมาหลายวัน อาการบาดเจ็บเก่ายังไม่หายดี วันนี้ยังอยู่คุ้มกันข้างกายเพื่อช่วยชีวิตเขา ออกแรงสู้ศึกกับทัพใหญ่อีกด้วย สูญเสียพลังมหาศาล เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ นางหน้าซีด มองโจรน้อยพร้อมแย้มยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร แค่หมดแรงเท่านั้น โจรน้อย ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เหมืนถูกคนติดตาม เกรงว่าเรื่องในคืนนี้อาจยังไม่สิ้นสุด หรือว่าสวรรค์จะลงทัณฑ์ข้าจริง?!”
โจรน้อยน้ำตาร้อนคลอเบ้า พูดเสียงดังออกมาว่า “ไม่มีทาง พวกเราใกล้จะได้กลับบ้านแล้ว การลงทัณฑ์ทั้งหมดให้พุ่งเป้ามาที่ข้า ไม่เกี่ยวกับพี่สาว!”
นางเซียนส่ายหน้าเบาๆ ยังไม่ทันเอ่ยวาจา ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านหลัง เสียงฝีเท้าที่ดังกึงก้องพลันทวีความรุนแรงขึ้น ราวกับเสียงอสุนีบาต ไล่ตามเข่นฆ่าราวกับสายน้ำไหลบ่า ข่านใหญ่ดาบทองควบม้าอยู่ด้านหน้าสุด มือถือเกาทัณฑ์ สายตาเย็นเยียบทว่าเด็ดเดี่ยว คราบน้ำตาข้างแก้มยังเห็นชัดเจน
การออกโรงครานี้ของชาวทูเจวี๋ย ธนูอันแน่นขนัดเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เร็วรี่ประหนึ่งสายฝนอันเย็นเฉียบ ม้าศึกทูเจวี๋ยเหนือล้ำกว่าของทหารต้าหัว พวกมันไล่ตามอย่างเร็วรี่จากทั่วทิศทาง ต้องการล้อมกรอบพวกเขา ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนดังอ๊าๆ ทหารต้าหัวท้ายขบวนทยอยร่วงลงจากม้า เพียงชั่วพริบตาก็หายไปห้าหกสิบคน
หลินหว่านหรงเบ้าตาปริแตก ฟันโต้กลับไป ทำให้ชาวทูเจวี๋ยที่ตามมาข้างท้ายร่วงลงจากม้า เพียงแต่ชนเผ่านอกด่านมีจำนวนมากมายมหาศาล ม้าศึกก็ยังยอดเยี่ยมอีก เพียงชั่วพริบตาก็มีหลายร้อยคนที่วิ่งเลยพวกเขาไป วงล้อมที่ถูกบุกทะลวง เมื่อเห็นว่ากำลังจะขาดสะบั้นก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง
“แม่ทัพหลิน!” พวกของเกาฉิวหูปู้กุยที่อยู่ข้างหน้าสุดเห็นแล้วก็ตกใจจนหน้าถอดสี ต้องการวกม้ากลับมาเพื่อช่วยเหลือทันที
“ไม่ได้!” หลินหว่านหรงเต้นผาง ใช้ดาบฟันคอชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านข้าง ตวาดเสียงดังลั่นออกมา “พี่หู พวกท่านรีบไปเร็ว! พาซ่าเอ่อร์มู่กลับไป! ผ่าฝืน ฆ่า!”
“ท่านแม่ทัพ!” หูปู้กุยร้องออกมาคราหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ
“ฆ่า!” เมื่อเห็นว่าชนเผ่านอกด่านมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ วงล้อมใกล้จะเชื่อมติดกันแล้ว ทันใดนั้นหนิงอวี่ซีก็กระโดดขึ้น ใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางกาย กระบี่ยาวในมือกลายเป็นสองเล่มภายในชั่วพริบตา หนึ่งซ้ายหนึ่งชวา ประกายแสงรุนแรงสองสายยิงพุ่งออกไป ประหนึ่งสายรุ้งที่งดงามมากที่สุดบนโลกหล้า
การโจมตีครั้งนี้ใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดของนาง พลานุภาพยิ่งใหญ่ปานใด ฝุ่นดินฟุ้งตลบ ประกายโลหิตสดกระจายไปทั่ว ฉับพลันนั้นชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วนหัวกับร่างแยกออกจากกัน ลอยล่องกระเด็นออกไป
และเพียงชั่วพริบตานี้เอง กลับชิงช่วงเวลาช่วยชีวิตอันล้ำค่ามากที่สุดให้ทหารต้าหัวได้ ทหารแนวหลังจำนวนห้าหกร้อยคนพุ่งทลายวงล้อมที่ถูกทำลายพร้อมบุกเข่นฆ่าออกไปราวกับสายลม
“นางมาร ข้าจะฆ่าเจ้า!” เสียงตวาดด้วยโทสะดังขึ้น ลูกเกาทัณฑ์สีนิลแฝงลมหวีดหวิวรุนแรงดอกหนึ่งยิงมาที่หน้าอก นางเซียนหนิงด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
การโจมตีเมื่อครู่แทบจะใช้พลังวัตรของหนิงอวี่ซีจนหมดสิ้น เกาทัณฑ์ทองคำกับลูกธนูสีนิลอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานนี้บวกกับฝีมือยิงธนูอันล้ำเลิศจของอวี้เจีย ผู้ใดจะต้านทานได้?
นางเซียนหนิงหน้าแดงก่ำ ขยับเอวหลบวูบดั่งกิ่งหลิวต้องลม ยกฝ่ามือขึ้นกระแทกลูกธนูดอกนั้น ธนูสีนิลเบี่ยงเล็กน้อย ถากผ่านไปพร้อมเสียงลมอันรุนแรง
นางยังไม่ทันได้หอบหายใจ บริเวณขนนกของธนูดอกแรกมีหัวธนูดำทะมึนโผล่ออกมา มาอย่างรวดเร็วและรุนแรงดั่งสายฟ้าแลบ เพียงชั่วพริบตาก็บรรลุถึงหน้าอกนาง ยังรุนแรงยิ่งกว่าดอกแรกก่อนหน้าเสียด้วยซ้ำ
ไล่จันทรา! วิชาอัศจรรย์ของข่านใหญ่!
นางเซียนหนิงกัดฟันกรอด ตวาดเจื้อยแจ้วด้วยโทสะ สองมือประนมพร้อมยกมือขึ้นในบัดดล ดันธนูคมกริบดอกนั้นขึ้นไป ธนูสีนิลบินถากผ่านข้างใบหูไป เสียงลมดั่งคมดาบ กรีดตัดเส้นผมนางขาดไปหลายเส้น
“พี่สาวระวัง!” พูดยังไม่ทันจบ หางธนูดอกที่สองกลับมีธนูดอกที่สามพุ่งตามมาอย่างน่าอัศจรรย์ หัวธนูอวบใหญ่สีดำสนิทหมุนวนอย่างเร็วรี่ ส่งเสียงดังหึ่งๆ ราวกับหอยทากที่บินได้ รวดเร็วดั่งควันไฟ ยิงมาที่หน้าอกราวสายฟ้าแลบ
ความเร็วและความแรงของธนูดอกนี้แทบจะสมบูรณ์แบบ ปราศจากร่องรอยให้ตามหา
หนิงอวี่ซียังไม่ได้รั้งสองมือกลับ หน้าอกปราศจากการป้องกัน ธนูดอกนี้ทรงพลานุภาพ แล้วจะต้านทานได้อย่างไรกัน?
นี่คือการลงทัณฑ์ข้าอย่างนั้นหรือ? ดวงตานางผุดรอยยิ้มชอกช้ำ มองโจรน้อยด้วยความอาวรณ์ ทว่ากลับรู้สึกเหมือนร่างกายกระแทกศิลาขนาดใหญ่จนลอยกระเด็นออกไป
“ฉึก!” เสียงธนูจมเนื้อและเสียงกระดูกแตก
แม้จะอยู่ท่ามกลางทหารและม้าศึกนับพันนับหมื่น แต่เสียงนี้กลับชัดเจนราวกับดังอยู่ข้างหู อวี้เจียกวาดตามอง ดวงตาเบิกกว้างในบัดดล ดวงตาแน่นิ่งชะงักงัน
“เพราะอะไร เพราะอะไร…” นางปากขมุบขมิบ กล่าวรำพึงกับตนเอง
โลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักออกจากหน้าอกเจ้าใบ้ ประหนึ่งดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง ทว่าตัวเขานั้นกลับฉีกยิ้ม
“เพล้ง!” ข่านใหญ่ดาบทองผู้งดงาม คันศรที่อยู่ในมือ รวมถึงหัวใจของนางต่างแตกสลายพร้อมกัน นางนั่งร่างอ่อนยวบอยู่บนพื้นราวกับใบไม้แห้งเ**่ยว สายตาเลื่อนลอย สูญเสียจิตวิญญาณภายในชั่วพริบตา
หลินหว่านหรงสองตาเบิกโพลง ทว่าเขากลับยืนนิ่ง ต่อให้ตายก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
ไม่อาจสะกดกลั้นโลหิต ต่างไหลทะลักออกมาจากจมูก ใบหู เบ้าตา และหน้าอกของเขาราวกับตาน้ำที่ผุดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง หยดลงบนหน้าอก หัวไหล่ ท้องน้อย ต้นขาเขา เพียงชั่วพริตาก็กลายร่างเป็นมนุษย์โลหิต
ลูกธนูสีนิลที่สั่นกระเพื่อมดอกนั้นจมลึกลงไปในหน้าอกเขา ปลายขนสีทองประหนึ่งดวงหน้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่ขยับวูบไหวอยุ่เบื้องหน้า งดงามถึงเพียงนี้
เขาขบกรามแน่น ยืนหยัดดั่งหินผา ยืนตะหง่านไม่ยอมล้ม แม้แต่ถอยหลังก็ไม่มี
ธนูสามดอกต่อเนื่องอันไร้เทียมทาน! อวี้เจียปิดบังธนูดอกสำคัญนี้ต่อทุกคน! แสนยานุภาพของธนูดอกนี้ลั่นฟ้าสะเทือนดิน ทะลุผ่านศิลาแหละเหล็กกล้า นางถือเป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้าโดยไม่ต้องละอายแก่ใจ
“แม่ทัพหลิน…”
“น้องหลิน…”
หูปู้กุย เกาฉิวร้องอ๊าๆ อย่างบ้าคลั่งพลางตบหัวม้าให้หันกลับมา พยายามควบม้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ต้องการจะบุกเข่นฆ่ากลับไป ถึงกระนั้นกลับได้ยินแม่ทัพหลินตวาดออกมา “ไป! รีบไปเร็ว!”
“ท่านแม่ทัพ!”
“เหล่าหู ท่านลืมคำพูดข้าแล้วหรือ?! ไป รีบไปเร็วสิ! อึก!” เขาพยายามปิดปาก ทว่าโลหิตสดๆ กลับไหลทะลักราวห่าฝน ออกมาจากใบหูจมูกและปากของเขา
“อ๊า! อ๊า!” เกาฉิวตีอกกระทืบเท้าเสียงดังตึงๆ ราวกับกลองใหญ่ ทหารต้าหัวทุกคนต่างร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
“ไป! ไปกับข้าให้หมด! ใครก็ห้ามหันกลับไป!” หูปู้กุยสะกดกลั้นความเจ็บปวด โค้งคำนับให้แม่ทัพหลินด้วยความเคารพอย่างยิ่งคราหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายแล้วขี่ม้าห้อตะบึง เหงื่อและน้ำตาไหลหลั่งออกมาพร้อมกัน ทหารต้าหัวจำนวนนับไม่ถ้วนตามอยู่ข้างหลังเขา น้ำตาประหนึ่งสายฝน
“โจรน้อย!” หนิงอวี่ซีราวกับเพิ่งตื่นจากห้วงแห่งความฝัน โผเข้าหาราวกับเสียสติ น่ำตาราวกับน้ำทะลักออกจากเขื่อน นางกอดเขาแน่น ลูบไล้ใบหน้าและเส้นผมของเขา
โลหิต โลหิตเปียกชุ่ม! โลหิตของโจรน้อย!
“พี่สาว ข้าเคยพูดแล้ว” เขาหอบหายใจคำโต ทว่ากลับกำลังหัวเราะอยู่ โลหิตสดๆ ดั่งสายฝนพร่างพรมลงมา สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “การลงทัณฑ์ทั้งหมดข้าจะรับเพียงคนเดียว! ไม่เกี่ยวกับท่าน ธนูดอกนี้เป็นข้าที่ชดใช้คืนให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ ตอนนี้ข้าไม่ติดค้างนางแล้ว ข้าดีใจมาก”
“โจรน้อย” นางเซียนน้ำตาไหลทะลัก ซบอยู่ในอ้อมอกของเขาแน่น ใบหน้าแนบกับหน้าอกเขา ปล่อยให้โลหิตจำนวนนับไม่ถวนแปดเปื้อนเส้นผมและใบหน้าของตนเอง
แววตาโจรน้อยค่อยๆ แตกซ่าน ฝ่ามือเย็นเฉียบเหมือนหิมะ จู่ๆ เขาก็ลืมตาโพลงพร้อมพูดว่า “พี่สาว ข้าอยากกลับบ้านมาก แม่ของข้ากำลังเรียกข้าอยู่…”
มือเขาพลันหยุดอยู่กลางอากาศ ปราศจากถ้อยคำอื่นใดอีก
นางเซียนเจ็บปวดใจจนหายใจไม่ออก นางลูบดวงตาที่ยังเปิดอยู่ทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยน เช็ดน้ำตาบนแก้มเขา จุมพิตริมฝีปากอันเย็นเฉียบนั้นเบาๆ คราหนึ่ง “โจรน้อย พวกเรากลับบ้านกัน!”
หลี่อู่หลิงที่กำลังควบม้าห้อตะบึงกัดฟันกรอดพร้อมปาดน้ำตา ทว่ากลับรู้สึกใบหูเย็นวาบ เมื่อลองคลำดูสองครา จู่ๆ ก็กระเด้งด้วยความตกใจ “ดู ดู!”
“ดูอะไร?!” หูปู้กุยเช็ดหางตาพร้อมกล่าวอย่างมีน้ำโห
เสี่ยวหลี่จื่อพูดด้วยความตื่นตระหนก “หะ หะ หิมะตกแล้ว!”
“ผายลม! หิมะตกเดือนห้าที่ไหนกัน!” เขาพูดยังไม่ทันจบก็รู้สึกว่าข้างใบหูเย็นเฉียบ เมื่อเงยหน้ามอง ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ดวงตะวันอันร้อนแรงค่อยๆ ลาลับ บนทุ่งหญ้าบังเกิดสายลมโถมกระหน่ำ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยความมืดมิด ปุยขาวที่มีอยู่เต็มท้องฟ้าปลิวไสวอย่างแช่มช้า ลอยล่องเบาๆ ค่อยๆ กลบดวงตาทั้งสองข้าง เกล็ดหิมะนั้นขาวกระจ่างใสดั่งแก้วผลึก
“หิมะตกแล้ว หิมะตกแล้ว สวรรค์ หิมะตกแล้ว!” หูปู้กุยน้ำตานองพร้อมส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนต่างร่ำไห้อย่างรุนแรง
หิมะขนาดเท่าขนห่านทยอยโปรยปรายลงมา ตกกระทบใบหน้าและเส้นผม ร่วงหล่นลงบนทุ่งหญ้า ผสานกับคราบโลหิตสีแดงฉานเป็นหนึ่งเดียว
หิมะโปรยปลายเดือนห้า ร้อยปียากจะได้พานพบสักครั้งหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง ชาวทูเจวี๋ยเบิกตาโพลง คุกเข่ากราบกรานลงกับพื้นเพื่อขอพรจากสวรรค์
อวี้เจียนั่งอย่างสงบนิ่งกลางทุ่งหญ้า หลุบตาลงต่ำ ไม่ร้องไห้ไม่หัวเราะ ปราศจากเสียงใดๆ หิมะขาวลอยล่องไปหมด ตกกระทบลงบนเรือนผมสีนิลอันเรียบลื่นของนางอย่างแช่มช้า ประหนึ่งบุปผาน้อยอันงดงามที่ทัดลงบนเส้นผม
ท่ามกลางหิมะโปรยปราย บริเวณขมับอันงดงามกระจ่างใสประดุจของนางนั้นคล้ายแต่งแต้มด้วยเกล็ดหิมะ แรกเริ่มก็เบาบาง จากนั้นก็ค่อยๆ เข้มขึ้น ทีละนิด ทีละหน่อย ค่อยๆ บังเกิดเป็นสีที่ตัดกัน จนกระทั่งขาวโพลนไปหมด