ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配 - ตอนที่ 8.5 (เล่มสอง)
เซียวอี้ 5
ไม่รู้ว่าร่างทดลองสามคนนั้นไปเอารถออฟโรดมาจากที่ไหน มันจอดอยู่หลังเนินทรายห่างออกไปไม่ไกลนัก ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่อวี่ฉีและเซียวอี้พอดี
ฐานปฏิบัติการถูกสร้างอยู่กลางทะเลทรายเพื่อหลบสายตาจากคนนอก ถ้าอาศัยแค่การเดินเท้าคงต้องสวดอ้อนวอนขอให้ปาฏิหาริย์หล่นใส่หัวเท่านั้นละถึงจะเดินออกไปจากที่นี่ได้ โชคดีจริง ๆ ที่สามคนนั้นมีรถออฟโรดสมรรถนะไม่เลว แถมเธอยังค้นเจอน้ำมันรถสามถังเต็ม ๆ กับน้ำกลั่นสิบกว่าลิตรในกระโปรงหลังรถอีกด้วย
อุณหภูมิตอนกลางวันและกลางคืนของที่นี่แตกต่างกันมากตามที่เซียวอี้บอกไว้ไม่มีผิด ตอนกลางวันอุณหภูมิอาจสูงได้ถึงสี่สิบแปดองศา ส่วนช่วงกลางคืนกลับลดต่ำลงได้ถึงสิบห้าองศา
ในช่วงเที่ยงที่แสงแดดรุนแรงที่สุด อุณหภูมิภายในรถซึ่งห่อหุ้มด้วยโลหะอาจพุ่งสูงถึงจุดที่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทนได้ ดังนั้นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดคือการรีบเดินทางตอนกลางคืนที่อากาศค่อนข้างเย็นสบาย แล้วหาที่ร่มเพื่อพักผ่อนในตอนกลางวันที่แดดร้อนแผดเผาแทน
อวี่ฉีย่อมไม่คัดค้านความเห็นนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงขับรถไปตรงริมแม่น้ำสายหนึ่งที่แห้งขอดไปนานแล้วโดยมีเซียวอี้ชี้ทาง จากนั้นก็ฉวยเอาถุงนอนสองถุงออกมา วางไว้ระหว่างตลิ่งแม่น้ำกับรถออฟโรด แล้วใช้ก้อนหินทับเอาไว้ไม่ให้ขยับ แค่นี้ที่หลบพักง่าย ๆ ก็เป็นอันเสร็จ
ยังไม่ทันได้พักหายใจสักเฮือก เซียวอี้ก็บอกให้เธอเปลี่ยนชุดต่อสู้สีดำบนตัวเป็นเสื้อหลวม ๆ แทน โดยให้เหตุผลว่ากลางทะเลทรายแบบนี้ เสื้อผ้าหลวม ๆ ที่มีน้ำหนักเบาและใส่สบายจะสามารถสร้างชั้นอากาศขึ้นมาระหว่างร่างกายกับเนื้อผ้าได้ ทำให้ช่วยลดการสูญเสียของเหลวจากร่างกายในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนก็ช่วยรักษาความอบอุ่นได้มากกว่า
ขณะที่อธิบายเรื่องพวกนี้ เซียวอี้ก็เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกีฬาแขนยาวสีขาวที่คว้าเอามาจากโกดังเก็บของเรียบร้อยแล้ว เขากำลังนั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับของรถออฟโรด และมองจากที่สูงลงมายังเธอที่เพิ่งย้ายก้อนหินเสร็จไปเมื่อสักครู่
อวี่ฉีหมดคำจะพูดไปชั่วขณะ ในเมื่อเขารู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรใช้แรงงานตอนกลางวันระหว่างสวมชุดต่อสู้ แต่กลับเพิ่งจะมาเตือนหลังจากดูเธอจัดถุงนอนจนเสร็จ แถมขนก้อนหินมาอีกกองแล้วเนี่ยนะ
แต่ในฐานะทหารหัวโตไร้สมองที่มีดีแค่การใช้แรงงาน อวี่ฉีจึงได้แต่น้อมทำตามกุนซือหัวสุนัขที่ไม่ยอมกระดิกกระเดี้ยวแม้แต่นิ้วมืออย่างไร้เงื่อนไขใด ๆ อีกครั้ง เธอพลิกตัวขึ้นมาบนรถอย่างปราดเปรียวว่องไว หยิบเสื้อผ้าจากในกระเป๋าสะพายของตัวเองออกมาเปลี่ยน
เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วลงมาจากรถ เธอก็เห็นเซียวอี้นั่งอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำ กำลังจัดตลับบุหรี่ทำจากเหล็กซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน กับของกระจุกกระจิกจำนวนหนึ่งให้เป็นระเบียบ เขาตัดไม้ขีดไฟท่อนหลังครึ่งหนึ่งทีละก้าน จากนั้นก็ห่อเอาไว้อย่างดี (อวี่ฉีเดาว่าเขาทำแบบนั้นเพื่อจะลดการเปลืองพื้นที่ลง) แล้วใช้ด้ายพันรอบก้านไม้ขีดเอาไว้อย่างแน่นหนา
นอกจากนี้เขายังเอายาที่ใช้บ่อยส่วนหนึ่งมาแยกชนิดกัน เด็กชายใส่ยาสามสี่เม็ดไว้ในขวดยาเล็ก ๆ ขวดหนึ่ง จากนั้นก็เอาขวดยาพร้อมกับเข็มทิศ ไฟเบต้าไลท์ และของอย่างอื่นใส่รวมเข้าไปในตลับบุหรี่นั้น
เขามีสีหน้าจริงจังมากระหว่างทำเรื่องเหล่านี้ นิ้วมือเรียวยาวขาวเนียนจัดวางของทุกอย่างด้วยความชำนาญคล่องแคล่ว ว่ากันว่าเวลาผู้ชายเพ่งความสนใจไปกับอะไรสักอย่างนั้นน่าหลงใหลที่สุด และถึงแม้ว่าเซียวอี้ในตอนนี้จะเป็นแค่เด็กชายที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่อวี่ฉีก็ต้องยอมรับว่า ตอนที่เขาทำงานด้วยความจริงจังและใส่ใจในทุกรายละเอียดนั้นมีเสน่ห์มากจริง ๆ
หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวอี้ถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าอวี่ฉีมองอยู่ข้าง ๆ มาตลอด เขาจึงชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนรีบอธิบายอย่างรวดเร็วคล้ายกับกลัวว่าเธอจะไม่พอใจ “ของพวกนี้เอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ถ้าดูจากความแข็งแกร่งของเธอ จริง ๆ แล้วของพวกนี้ไม่ได้จำเป็นเท่าไรหรอก แต่แน่นอนว่าถ้าเธออยากได้ เอาไว้รอให้มีอุปกรณ์มากพอก่อน ฉันจะทำให้เธออีกชุดก็แล้วกัน”
อวี่ฉีนั่งลงข้างตัวเซียวอี้ เธอเงียบไปพักหนึ่งถึงหันหน้าไปถามเขาอย่างอดไม่อยู่ “จนถึงตอนนี้นายยังคิดว่าฉันจะแย่งของของนายอีกเหรอ?” เธอเอื้อมมือขึ้นขยี้ผมเรียบแปล้ตรงหน้าผากที่มีสัมผัสนุ่มลื่นของเขาเต็มแรงด้วยความอ่อนใจอยู่กลาย ๆ “ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นหรอก แล้วก็ไม่ต้องอธิบายอะไรด้วย อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ อันที่จริงฉันน่ะไม่ใช่แค่จะไม่แย่งของของนาย แต่ถ้านายอยากได้อะไรก็บอกฉันมาได้เลย ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรง ฉันจะช่วยนายสุดกำลังเอง”
เซียวอี้ฟังแล้วก็หลุบตาลง หลังจากกำตลับบุหรี่เหล็กกล่องนั้นเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรมาสักพัก แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็ยื่นมือซ้ายออกมาแบตรงหน้าเธอ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ส่งมือมาให้ฉัน”
อวี่ฉีอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังคงยื่นมือซ้ายส่งไปอย่างว่าง่าย
เซียวอี้เงยหน้าขึ้นมองเธออย่างจนใจแวบหนึ่ง เป็นการแสดงท่าทางเหนือกว่าที่แฝงไปด้วยความโอบอ้อมอารี ไม่ต่างกับเจ้าของนิสัยดีที่กำลังมองสัตว์เลี้ยงที่ทั้งโง่ทั้งทึ่มของตัวเอง เด็กชายถอนหายใจเบา ๆ เฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวเตือนสติว่า “มือขวา”
เมื่อโดนมองด้วยสายตาแบบนี้แล้ว อวี่ฉีก็ได้แต่รู้สึกว่าสติปัญญาของตัวเองนั้นคล้ายจะตกต่ำลงมาหลายขั้นในชั่วพริบตา เธอถึงขนาดรีบชักมือซ้ายกลับแล้วส่งมือขวาไปให้ทันทีด้วยท่าทางที่ประสานงานกันเป็นอย่างดี
เซียวอี้มองเธอหลุดท่าทางเซ่อซ่าอันหาได้ยากนี้แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
เด็กคนนี้เกิดมาพร้อมกับรูปร่างหน้าตาอันยอดเยี่ยม นับเป็นรูปโฉมที่หล่อเหลาสมบูรณ์ลงตัว งดงามทว่าไม่คุกคามข่มขวัญ กลับให้ความรู้สึกอ่อนโยนสงบนิ่งมากกว่า
หากอวี่ฉีเป็นพระเจ้า ตอนสร้างเทวดา เธอจะเลือกเอาใบหน้าและเครื่องหน้าทั้งหลายของเขามาเป็นโมเดลมาตรฐานโดยไม่ลังเลแน่นอน ที่น่าเสียดายคือเขาดันทำให้ของดีที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดแบบนี้เสียเปล่าไปซะได้ ชอบเอาแต่ทำหน้าแข็งเป็นไม้กระดานอย่างกับคนแก่ในร่างเด็กอยู่นั่นละ
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี่ฉีเห็นเขายิ้ม ถึงจะแค่ยกมุมปากโค้งขึ้นสูงเท่ากับขนาดของเมล็ดข้าว และอ่อนจางจนถึงขั้นว่าถ้าไม่มองดี ๆ ก็คงจะมองข้ามไปแล้วแน่ ๆ เพราะมองไม่เห็น ทว่ามันกลับเปลี่ยนท่าทางเย็นชายิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็งและภาพลักษณ์เช่นเซียนที่ไม่จำเป็นต้องกินดื่มของเขาไปโดยสิ้นเชิง ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิวูบหนึ่งพัดผ่าน ดอกสาลี่นับพันหมื่นต้นบานสะพรั่งในชั่วเสี้ยววินาที มันแต่งเติมความเป็นมนุษย์ส่วนหนึ่งให้กับใบหน้าที่มักจะแฝงอารมณ์เย็นชาราวกับเครื่องจักรของเขา
อวี่ฉีมองเขาอยู่สักพัก แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางจริงจังสุด ๆ “เซียวอี้ ก่อนหน้านี้เคยมีใครบอกไหมว่าเวลานายยิ้มแล้วดูดีมาก ๆ ?”
เซียวอี้กำลังกุมมือเธอแล้วใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อตรงปากแผลให้อยู่ พอได้ยินที่เธอพูด เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ก่อนหน้านี้เคยมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดแบบนี้”
อวี่ฉีนิ่งไป และแอบผิดหวังหน่อย ๆ ทริกนี้ถ้าใช้เป็นครั้งแรกยังนับว่าไม่เลว แต่ถ้าใช้ครั้งที่สองครั้งที่สาม ผลที่ได้รับจะไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไรแล้ว
เซียวอี้ค้นเอายาทาแผลหลอดหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าสะพายของตัวเอง เขาบีบยาออกมาเล็กน้อย แล้วทาลงไปบนบาดแผลของอวี่ฉีพร้อมกับเอียงศีรษะมองเธอแวบหนึ่ง
หลังจากนั้นเซียวอี้เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเขาถึงออกปากอธิบายต่อ “หลังจากนั้นเจ้านั่นก็บอกว่า เพื่อการันตีว่าการตัดสินใจทั้งหมดของฉันจะเที่ยงตรงและแม่นยำอย่างสมบูรณ์ ฉันจำเป็นต้องรักษาความสงบนิ่งไว้ให้มากที่สุด ต้องกำจัดสิ่งที่จะมารบกวนความรู้สึกส่วนตัวไปให้หมด” เขาเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คนพวกนั้นก็เริ่มฉีดยายับยั้งการหลั่งฮอร์โมนบางตัวให้ฉันตามกำหนดเวลา”
ต่อให้เป็นอวี่ฉีเองก็คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังของท่าทางเย็นชาผิดปกติของเซียวอี้จะเกิดจากวิธีแบบนี้ เด็กชายปิดบังมันไว้เพราะไม่อยากให้ใครรู้ เห็นได้ชัดว่าความเยือกเย็นและการรู้จักควบคุมตัวเองตั้งแต่กำเนิดมันต่างกับการถูกบังคับโดยสิ้นเชิง ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิงซึ่งมีสัญชาตญาณความเป็นแม่คนหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่เห็นใจเขา
เธอถอนหายใจเบา ๆ แล้วยื่นมือซ้ายไปโอบรอบไหล่ของเด็กชายเอาไว้ ก่อนตบแผ่วเบาหลายครั้งเพื่อปลอบประโลม “ต่อไปนี้ถ้านายอยากจะยิ้มตอนไหนก็ยิ้มออกมาซะ อยากจะร้องไห้ก็ร้องไปเลย ฉันอยากให้นายได้เป็นตัวของตัวเองตามใจชอบมากกว่าความเที่ยงตรงแม่นยำปัญญาอ่อนอะไรนั่น”
เซียวอี้ใช้ผ้าพันแผลพันรอบฝ่ามือของเธอชั้นแล้วชั้นเล่า แล้วตอบ “อืม” เรียบ ๆ คำหนึ่ง เขายังคงไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาตามความเคยชิน
อวี่ฉีรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็รู้ดีว่าความเคยชินบางอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ก็เหมือนอย่างที่เขาว่ากันว่า หนาวแค่วันเดียวไม่อาจทำให้น้ำในแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งหนาสามฉื่อได้[1] ดังนั้นจึงไม่มีทางใช้ความอบอุ่นเพียงวันเดียวมาหลอมละลายน้ำแข็งหนา ๆ จากคืนวันอันหนาวเหน็บนับพันวันได้เช่นกัน
ครู่ต่อมา เธอก็หดมือขวาที่พันแผลเสร็จแล้วกลับมา ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนนี้เองว่าเข่าของอีกฝ่ายเคล็ดอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองเขา “ยังเจ็บเข่าอยู่ไหม?”