แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 1043 เสี่ยวเชี่ยนคิดหาวิธีดีๆออกแล้ว
“ผมคิดว่าคุณจะยืนกรานปฏิเสธพี่รองเสียอีก ไม่นึกว่าคุณจะเห็นพ้องไปด้วย” อวี๋หมิงหลางวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา
เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนที่มีสติพร้อมอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของเธอ แทบจะไม่มีอารมณ์ส่วนตัวมาเป็นตัวตัดสิน นี่ก็เป็นจุดเด่นของอาชีพเธอ แต่ครั้งนี้เธอกลับยอมถอย เห็นด้วยกับวิธีของพี่รอง ทำให้อวี๋หมิงหลางอดแปลกใจไม่ได้
“การเป็นไปของเรื่องราวต่างๆมันมักจะล้ำหน้ากว่าที่เราคิดไว้เสมอ คนที่ใช้สติมากเกินไปจะไม่มีความสุข ฉันอยากลองเสี่ยงดูสักครั้ง พี่รองเองก็เหมือนกัน พวกเราไม่เชื่อว่าถ้าทุกคนพยายามแล้วจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเด็กคนนี้ไม่ได้”
เสี่ยวเชี่ยนมองท้องฟ้าที่มืดสนิท ว่ากันว่าฟ้าเป็นผู้ลิขิตชะตาคน
แต่เธอไม่ยอมแพ้ พี่รองก็เหมือนกัน
ลองสู้กันสักตั้ง
ชะตาอยู่ในกำมือเราไม่ใช่ฟ้า!
“บังเอิญจัง ผมก็คิดแบบนั้น” อวี๋หมิงหลางไม่ได้แสดงความคิดเห็น นั่นก็เพราะเขารู้ว่าความคิดของเมียก็คือสิ่งที่เขาคิด
ครอบครัวใหญ่ก็มีข้อดีแบบนี้ พอเกิดปัญหาใหญ่มีคนมาช่วยแบกรับหลายคนมันก็ไม่ได้หนักเกินกว่ากำลังแล้ว ตัดสินใจจะเลี้ยงดูพ่านพ่านก็หมายความว่าทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน แต่ไม่มีใครคิดว่าไม่เหมาะ
เสี่ยวเชี่ยนจัดการเรื่องนี้ไปตามสัญชาตญาณ แต่พอนอนลงหลับตาก็เหมือนมีเสียงของชีอวี่เซวียนลอยอยู่ข้างหู
คุณน่ะจิตใจดีใจอ่อนเกินไป
คำพูดนี้สร้างความสะเทือนใจให้เสี่ยวเชี่ยนเป็นอย่างมาก เธอเก็บเอามาคิดตลอด คิดๆดูถ้าตานั่นรู้ว่าสุดท้ายเธอจัดการกับปัญหายังไงจะต้องหัวเราะเยาะเธอแน่นอน
แต่ไม่เลย
ชีอวี่เซวียนชงชาดื่ม เวลาล่วงเลยมาดึกมากแล้วแต่เขากลับไม่รู้สึกง่วง
นึกถึงเบบี๋เชี่ยนคนหัวรั้น สาวน้อยที่ทำให้เขาเป็นห่วงมาครึ่งค่อนชีวิต
สักพักเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“ไปหาคนของศูนย์ตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกที่ใกล้เมืองหลินที่สุด ถ้ามีคนส่งตรวจดีเอ็นเอของเด็กที่ชื่ออวี๋อีไป๋ให้ทำผลออกมาไม่ตรงกันให้หมด อืม ก็คือให้แสดงผลว่าไม่ใช่พ่อลูกกัน”
ซึ่งก็หมายความว่า หากมีการส่งตรวจดีเอ็นเอของพ่านพ่าน ชีอวี่เซวียนสั่งให้หน่วยงานที่รับเรื่องทำผลปฏิเสธให้หมด เพื่อยืนยันว่าพ่านพ่านไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนๆนั้น
ส่วนเหตุผลที่ทำแบบนี้น่ะเหรอ…
ชีอวี่เซวียนแกว่งแก้ว น้ำชาสีใสที่อยู่ในนั้นเกิดเป็นคลื่น
การรับมือกับเด็กแบบนี้แค่สั่งสอนไปตามธรรมชาติก็พอ อิทธิพลของสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงดูส่งผลกับเด็กมากกว่า แต่ความจริงอันโหดร้ายก็คือ บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในยีนใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงกันได้ง่ายๆ ว่ากันตามเหตุผลไม่ควรให้เด็กแบบนี้มาอยู่ข้างกายเสี่ยวเชี่ยน แต่ชีอวี่เซวียนก็ไม่อยากเห็นเสี่ยวเชี่ยนต้องเหนื่อยกับเรื่องนี้
ถ้าสุดท้ายแล้วเด็กคนนี้เติบโตไปเลวร้ายอย่างที่เสี่ยวเชี่ยนคิด ชีอวี่เซวียนคิดว่าถึงตอนนั้นตัวเองค่อยลงมือจัดการเด็กคนนี้ก็ยังทัน
แต่ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อนาคตของพ่านพ่านนั้นผูกพันอยู่กับครอบครัวเสี่ยวเชี่ยนอย่างตัดกันไม่ขาด เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่มีใครคาดคิด แต่นั่นก็เป็นเรื่องในภายหลัง
ต้าอีรู้สึกว่าช่วงหลายวันมานี้พี่รองดูแปลกๆ ถึงปกติเขาจะเป็นคนพูดน้อย แต่ท่าทางในช่วงหลายวันมานี้กลับดูผิดปกติ ถึงขนาดที่ว่าต้าอีรับรู้ได้ถึงความวิตกกังวลของเขา
ใช่ มันคือความกังวล
ปกติพี่รองเป็นคนที่มีสุขภาพจิตแข็งแรงมาก เรื่องที่ทำให้เขาถึงขั้นกังวลได้จะต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่มากแน่นอน แต่ต้าอีถามยังไงก็ไม่ได้ความ ทำได้แค่เป็นกังวลตามเขาไปด้วย คนท้องพอเครียดก็จะกินได้น้อยลง จากสามมื้อ ของว่างสองมื้อ ลดลงเป็นเหลือสองมื้อไม่กินของว่าง เล่นเอาบรรยากาศในครอบครัวอวี๋ถึงกับหดหู่ แม่อวี๋กลุ้มใจไปซื้อตำราอาหารมาหลายเล่มกลัวลูกสะใภ้ขาดสารอาหาร น้าแม่บ้านคิดว่าตัวเองบกพร่องต่อหน้าที่จนแทบอยากลาออก
พอรู้สึกได้ว่าผู้ใหญ่ดูผิดแปลกไป เด็กน้อยพ่านพ่านก็เริ่มแสดงอาการไม่ปกติตามไปด้วย เด็กน้อยเริ่มลอกหนังที่มือเล่น หนังกำพร้าที่ขึ้นข้างเล็บก็ดึงเล่น แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆนี้ไม่เป็นที่สังเกตของคนอื่นๆในบ้าน เนื่องจากทุกคนพุ่งความสนใจไปที่คนท้องอย่างต้าอี
จนกระทั่งสามวันให้หลังเสี่ยวเชี่ยนก็มาหา เธอเรียกพี่รองออกไปคุยสักพัก พอกลับเข้าไปในบ้าน สายตาของพ่านพ่านก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของพ่อ
พี่รองหายหน้านิ่ว หมดความวิตกกังวล คล้ายกับว่าเมฆครึ้มที่โอบล้อมรอบตัวเขาในช่วงหลายวันมานี้ได้หายไปหมดแล้ว
พ่านพ่านพอเห็นพ่อมีสีหน้าแบบนั้นใบหน้าบึ้งตึงก็ผ่อนคลายลงทันที เขามองพ่อตัวเองด้วยท่าทางกลัวๆ
พี่รองเดินเข้าไปอุ้มพ่านพ่านขึ้นมา นับตั้งแต่เด็กคนนี้เข้าเรียนอนุบาลพี่รองก็ไม่ค่อยได้อุ้มอีก เด็กผู้ชายพอโตแล้วจะทำตัวแสดงความรักมากเกินไปไม่ได้
“พ่อฮะ…” พ่านพ่านลังเล
“มีอะไรเหรอ? ตอนบ่ายเดี๋ยวพ่อพาไปดูบ้านแล้วเลยไปเที่ยวด้วยดีไหม?” ก้อนหินที่ถ่วงอยู่ในใจของพี่รองได้หายไปแล้ว เขาอุ้มลูกชายด้วยความสบายใจ
เอกสารที่เสี่ยวเชี่ยนเอามาให้ระบุไว้ว่าพ่านพ่านไม่ใช่ลูกชายของคนๆนั้น
ลูกชายไม่ต้องแบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ คนที่ดีใจที่สุดก็คือพี่รอง
ถึงแม้จะตัดสินใจแล้วว่าต่อให้เด็กคนนี้จะเป็นลูกใครก็ตามเขาก็ยังจะอบรมเลี้ยงดูเป็นอย่างดีเหมือนเดิม แต่ในจิตใจส่วนลึกของพี่รองก็ไม่อยากให้วันหนึ่งในช่วงที่พ่านพ่านเติบโตเกิดพบว่าตัวเองมียีนของนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ แบบนั้นมันไม่ยุติธรรมต่อเด็กที่เปรียบเหมือนผ้าขาว
ตอนนี้ผลออกมาเป็นแบบนี้พี่รองดีใจเป็นที่สุด
ต้าอีนั่งอยู่ที่โซฟาเห็นพี่รองยิ้มแล้ว อารมณ์ขุ่นมัวในใจเธอในช่วงสองวันมานี้ก็หายไปด้วย
สามคนพ่อแม่ลูกบ้านนี้ต่างเป็นคนพูดน้อย แต่พวกเขากลับสัมผัสได้ถึงสภาพอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของแต่ละคน พอพี่รองอารมณ์ดี ต้าอีกับพ่านพ่านก็รู้สึกผ่อนคลายลงไปด้วย
“พ่อฮะ จริงๆแล้วผม…” พ่านพ่านหยุดพูดกลางคัน ดวงตาเริ่มแดง “ผมไม่สนว่าจะไปเที่ยวที่ไหน แต่ผมอยากให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันตลอดไป”
เอ๋? เด็กคนนี้พูดระบายความรู้สึกในใจออกมาเป็นด้วยเหรอ? ต้าอีกับพี่รองรู้สึกเซอร์ไพร้ส์มาก เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆพ่านพ่านเป็นเด็กที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ประโยคนี้เหมือนเป็นการอ้อน ทำให้ต้าอีกับพี่รองแอบดีใจ ลูกชายมีพัฒนาการทางด้านอารมณ์แล้ว
มีแค่เสี่ยวเชี่ยนที่รู้สึกแปลกๆ เธอมองสำรวจพ่านพ่านทั่วตัว สุดท้ายก็จ้องไปที่มือเด็กน้อย พอเห็นหนังที่ถูกลอกออกเป็นขุยๆเธอก็คิ้วขมวด
“หนูจะอยู่กับพ่อแม่ไปตลอด มีพ่อกับแม่ที่ไหนก็จะมีหนูอยู่ที่นั่น หนูต้องช่วยพ่อกับแม่เลี้ยงน้องด้วยนะ พอโตแล้วก็ดูแลครอบครัวแทนพ่อ” พี่ลองอุ้มพ่านพ่านด้วยความรู้สึกอบอุ่น
พ่านพ่านพยักหน้า เขาจะจดจำคำพูดนี้ตลอดไป พอโตขึ้นก็จะเป็นเหมือนพ่อ ปกป้องครอบครัวนี้
ในใจสมองของเสี่ยวเชี่ยนมีความคิดประหลาดอย่างหนึ่งแวบเข้ามา แต่เธอก็ส่ายหน้าสลัดความคิดนั้นทิ้ง
คิดมากไปมั้ง พ่านพ่านเพิ่งจะกี่ขวบ จะรู้เรื่องที่พวกผู้ใหญ่ปิดบังได้ยังไง ขนาดต้าอีที่เรียนจิตวิทยายังไม่สังเกตเห็น เด็กคนนี้ก็คงแค่ออดอ้อนตามประสาเด็กแหละมั้ง
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเด็กน้อยถึงได้วิตกกังวลจนดึงหนังมือตัวเองเล่นก็น่าจะเป็นเพราะช่วงสองวันมานี้พี่รองกังวลเรื่องผลตรวจดีเอ็นเอ ก็เลยพลอยเครียดตามกันไปด้วย
ปัญหาเรื่องประวัติที่แท้จริงของพ่านพ่านดูเหมือนจะจบลงแล้ว
ชีอวี่เซวียนที่อยู่ห่างออกไปหลายเมืองยังคงกังวลเรื่องนี้ เขาโทรหาคนของตัวเองที่ส่งไปจัดการเรื่อง
“ว่าไงนะ? ไม่มีการส่งตรวจดีเอ็นเอของอวี๋อีไป๋?”
งั้นเอกสารที่เสี่ยวเชี่ยนได้ไปมันเรื่องอะไรกัน?