เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 428 เจ้าจะปล่อยหรือ / ตอนที่ 429 ยอมรับชะตากรรม
ตอนที่ 428 เจ้าจะปล่อยหรือ
เฟิงเยี่ยนเฉิงเห็นมู่หรงชูอวิ๋นหดตัวอยู่ข้างหลังฉินเจา พลันโมโหขึ้นมา “ยัยโง่ เหตุใดเจ้ายังอยู่ตรงนั้น? ยังไม่รีบมาอีก จะต้องให้ข้าไปเชิญเจ้ามาด้วยตัวเองหรือไร?” สามีและลูกของนางอยู่ทางนี้ นางเป็นสตรีที่แต่งงานออกเรือนแล้วมาทำเช่นนี้มันใช่หรือ แล้วยังแต่งตัวแบบนี้อีก ใส่ชุดแดงสีสดกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่านางจะแต่งงานกับคนอื่นต่อหน้าพวกเขาทุกคนหรือ หากนางต้องการแต่งกับคนอื่นจริง เขาจะ…จะ…ความจริงเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขายังไม่ทันได้มีโอกาสทำอะไรก็จะโดนพี่ใหญ่ที่ตัวสูงกว่าจัดการอย่างหนักเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้เขาเคยลองมาแล้ว
ทันใดนั้นบรรยากาศพลันเย็นเยือกขึ้นมาก ทั้งเฟิงหลีเลี่ยและฉินเจาต่างกวาดตามองเฟิงเยี่ยนเฉิงด้วยสายตาเย็นชา เฟิงเยี่ยนเฉิงถูกเฟิงหลีเลี่ยจ้องจนแทบยืนไม่อยู่แล้ว เวลาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเขาแอบเรียกมู่หรงชูอวิ๋นว่ายัยโง่มาโดยตลอด ทั้งยังขู่ไม่ให้มู่หรงชูอวิ๋นไปบอกเฟิงหลีเลี่ยด้วย
มู่หรงชูอวิ๋นได้ยินคำเรียกที่คุ้นเคย เท้ากำลังจะย่างออกมาแต่ก็ถูกฉินเจาจับไว้แน่น “หุ้ยซิน วันนี้เป็นวันแต่งงานของพวกเรา ห้ามเจ้าไปที่ใดทั้งนั้น” ต่อให้ตระกูลฉินต้องถูกทำลายจนย่อยยับ เขาก็ไม่มีทางปล่อยมือมู่หรงชูอวิ๋นเด็ดขาด
“แต่แจ้ารู้ว่าข้าชื่อมู่หรงชูอวิ๋น ไม่ใช่ฉินหุ้ยซินที่ตายไปเกือบสิบปีคนนั้น” ช่วงวันเวลาที่นางมาอยู่ในตระกูลฉิน ความดีที่ฉินเจามีต่อนาง ล้วนเก็บอยู่ในใจของนางทั้งนั้น แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความรัก เพียงแต่เป็นความรู้สึกซาบซึ้งเท่านั้น ซาบซึ้งเขาในตอนที่นางกำลังสับสนไม่รู้สิ่งใด เขาได้ใช้น้ำเสียงแหบพร่าน่าดึงดูดและไพเราะบอกกล่าวนางทุกอย่าง ทำให้นางไม่หวาดกลัว แต่ความรู้สึกที่นางมีต่อเฟิงหลีเลี่ยเป็นความรักที่แท้จริง แม้ว่าจะเป็นตอนที่นางปัญญาอ่อน เวลาที่ได้เห็นเฟิงหลีเลี่ยหัวใจของนางจะผิดปกติ เต้นรุนแรง สิ่งนี้บอกให้นางได้รู้ว่าหัวใจข้างในอกของนางยังมีชีวิต ยังเต้นได้อยู่
มือของฉินเจาออกแรงกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาที่อ่อนโยนพลันเปลี่ยนไปคล้ายกับจะพ่นดอกไม้ไฟออกมา เผามู่หรงชูอวิ๋นให้วอดวาย “แต่ว่านั่นคืออดีต ข้ารู้เพียงว่าตอนนี้เจ้าคือคู่หมั้นของข้าฉินเจา”
“นั่นเป็นเพียงความคิดหลอกตัวเอง”
“อะไรนะ? เจ้ากล้าพูดว่าพี่สะใภ้ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้าหรือ?” เฟิงเยี่ยนเฉิงใจเย็นต่อไปไม่ได้แล้ว ทำไมไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับเขาเลย เขาไม่ใช่เด็กแล้ว มีสิทธิรู้เรื่องนี้ “เหอะ เจ้ามันคนบ้านนอก พี่สะใภ้ข้าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แคว้น เป็นพระเชษฐนีของข้า เป็นพระสุณิสาของฮองเฮา เป็นพระชายาของอี้หวัง ไหนเลยที่เจ้าจะมาหมายปองที่สูงได้” เฟิงเยี่ยนเฉิงพูดอย่างดูแคลนเป็นที่สุด
“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอันใดใช่ไหม ไอ้คนชั้นต่ำปล่อยมืออวิ๋นเอ๋อร์เดี๋ยวนี้” มู่หรงมู่เห็นข้อมือขาวละเอียดอ่อนของมู่หรงชูอวิ๋นถูกบีบจนแดงไปหมด สงสารจับใจแต่ยังพยายามเก็บกลั้นเอาไว้ ช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่อวิ๋นเอ๋อร์ของเขาต้องโดนคนอื่นรังแกเช่นนั้นทุกวันหรือไม่ บัดนี้เขาได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่ยังมิอาจปกป้องนางได้
มู่หรงชูอวิ๋นส่งสายตาบอกความหมายว่าไม่เป็นไรให้มู่หรงมู่วางใจเถิด ทุกครั้งนางแกล้งเขาจนอนาจ แต่เขาก็ไม่เคยโกรธเคือง กลับคอยปกป้องนางเหมือนเช่นเคย เปล่งเสียงเรียกอยู่ในใจเงียบๆ “พี่รอง”
ฉินเจาตกใจคล้ายกับถูกปลุกขึ้น จึงคลายมือลงหลายส่วน “เหตุใดเจ้าเจ็บจึงไม่บอกข้า?”
“หากข้าบอกไปเจ้าจะยอมปล่อยมือหรือไม่?”
ฉินเจาเงียบไป เขารู้ว่าแม้นางจะบอกออกมา เขาก็ไม่มีทางปล่อยมือเช่นกัน เขาไม่กล้าเสี่ยง เขาไม่เคยมีความคิดจะปล่อยมือมาก่อน แต่เขาจะไม่ใช้ความรุนแรงถึงเพียงนั้น ภาพข้อมือของนางแดงเป็นผืนกำลังแผดเผาดวงตาของเขาอยู่
มู่หรงชูอวิ๋นราวกับอ่านเขาออก “บอกกับไม่บอกไม่ได้แตกต่างอะไรกัน”
ตอนที่ 429 ยอมรับชะตากรรม
มือของฉินเจาที่จับมู่หรงชูอวิ๋นไว้แข็งทื่ออยู่หลายส่วน คอสะอึก แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ เขายึดความคิดของตัวเองไม่เคยคิดจะยอมปล่อยวาง ไหนเลยจะสนใจความคิดนาง ในใจเริ่มมีระลอกความรู้สึกขมขื่น เหตุใดนางจึงมองเพียงเฟิงหลีเลี่ยไม่มองตนบ้างเลย เขาไม่ยอม ต่อให้ทุกคนจะขัดขวาง เขาก็ยังจะบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญโดยไม่สนใจสิ่งใด เขาไม่เคยเชื่อเรื่องชะตาชีวิต หากเขายอมจริงๆ เขาคงจะยอมไปตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนแล้ว
เดิมทีเขาเป็นลูกชายตระกูลผู้คุ้มกัน เริ่มทำอาชีพนี้มาตั้งแต่รุ่นปู่ของปู่แล้ว เนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนโต จึงได้รับความรักการตามใจเป็นอย่างมากจากพ่อแม่และปู่ย่า เขาเคยเป็นเหมือนเฟิงเยี่ยนเฉิงที่พูดจาโอหังเช่นนั้น เพราะคิดว่าเวลาเกิดปัญหาอะไร ก็มีพ่อแม่ช่วยออกหน้า แต่ว่าช่วงเวลาดีๆ มักอยู่ได้ไม่นาน ตอนที่เขาอายุเจ็ดขวบถูกคนร้ายฆ่าล้างตระกูล ฉินสุยมาพบตัวเขาที่ซอกประตู ในตอนนั้นเขามีสภาพใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว ไม่ได้ดื่มน้ำสักหยดมาหลายวันแล้ว สาเหตุจากท่านแม่ผู้อ่อนโยนได้บอกกับเขาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอันใดห้ามออกมาข้างนอกเด็ดขาด ฉินสุยที่เป็นเพื่อนรักกับพ่อของเขามาถึงช้าไป จึงช่วยเขาไว้ได้เพียงคนเดียว แล้วพาตัวเขากลับมาและเลี้ยงดูเขามาโดยตลอด หากว่าเวลานั้นเขายอมจำนนให้กับโชคชะตา ตอนที่เขาเห็นคนที่ค่อมอยู่บนร่างของท่านแม่กระทำเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉาน ฉีกเสื้อผ้าของนางขาดวิ่นเช่นนั้น เขาก็คงจะกระโจนออกไปใช้ฟันแหลมคมของเขากัดพวกเขาไปแล้ว ทว่าเขาออกไปไม่ได้ เขาจะต้องเก็บชีวิตที่มีค่าน้อยนิดของตัวเองเพื่อกลับมาล้างแค้น ดังนั้นตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยยอมจำนนต่อชะตาชีวิต เมื่อเขาอายุสิบห้าก็หาตัวคนพวกนั้นเจอ จากนั้นสับร่างของพวกเขาเป็นชิ้นๆ นำไปโยนทิ้งหน้าผาบ้างทะเลบ้าง เพื่อเป็นอาหารของเหล่าสัตว์ป่า ทำให้พวกเขาไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
“มู่หรงชูอวิ๋น เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าใครที่ดีต่อเจ้า” ในใจของเฟิงเยี่ยนเฉิง เฟิงหลีเลี่ยให้ความสำคัญมู่หรงชูอวิ๋นมากกว่าน้องชายแท้ๆ คนนี้้อย่างเขาเสียอีก แม้แต่เขายังแอบนึกอิจฉาเป็นที่สุด เพื่อให้มู่หรงชูอวิ๋นรอดเฟิงหลีเลี่ยยอมทนทรมานส่งนางมายังตระกูลฉิน ทุกวันเขาจะก้มมองมืออันน่ารังเกียจ ไม่อยากมองเปียผมอีกครั้ง
ฉินเจาอิจฉาสายตาที่มู่หรงชูอวิ๋นใช้มองเฟิงหลีเลี่ย นั่นเป็นสายตาที่นางไม่เคยใช้มองเขาเลย ยกข้อมือของมู่หรงชูอวิ๋นขึ้นมา ก็พบว่ายังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง “ฮ่าฮ่า” พลันแค่นเสียงหัวเราะ “ที่แท้เป็นเพราะข้าหวังมากเกินไป”
เฟิงหลีเลี่ยยกข้อมือของเขาขึ้น กดเส้นเลือดแดงสดตรงกลางเอาไว้ มือของมู่หรงชูอวิ๋นก็สั่นไม่หยุด ข้อมือขาวดุจดั่งผ้าขาว ปรากฎด้ายแดงแจ่มชัดหนึ่งเส้น
“เป็นฝีมือพวกเจ้า?”
ฉินเจามองด้ายแดงที่เหมือนกันอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ทว่าไม่ใช่ด้ายแดงบนมือของเขา
“ข้าเอง” หมอกู่มาถึงเมื่อใดไม่รู้ ก้าวออกมาช้าๆ “ข้าเป็นคนสลับมันเอง หนอนกู่คะนึงหาใช้ได้สำหรับคู่รักเท่านั้น การผูดมัดไว้บนตัวของคนที่ไม่ได้รักกันมีแต่จะเป็นการทำร้ายคนเท่านั้น ข้าเป็นหมอ ย่อมไม่อยากทำเรื่องขาดศีลธรรมเช่นนี้ บนกายของเจ้าเป็นหนอนธรรมดาที่เลี้ยงขึ้นมาเท่านั้น” ต่อให้เขาจะไม่ชอบฉินเจา ก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายเขามาก่อน
หมอกู่พูดเช่นนี้ทำให้ความสับสนไม่เข้าใจที่พวกเขามี ต่างได้รับการเฉลยข้อสงสัยทั้งหมด ในตอนที่ฉินสุยไปพบเขาเพื่อขอหนอนคะนึงหา เขาก็แอบสงสัยอยู่ในใจ จึงไม่ได้มอบให้ในทันที อย่างไรแล้วผู้คนในหุบเขาจำนวนมากต่างเข้าใจว่าขอเพียงมีใจรัก ไม่จำเป็นต้องใช้หนอนคะนึงหามาผูกมัดอีกฝ่าย เว้นแต่ใช้กับคนที่ไม่อาจได้ใจมา เหมือนกับในปีนั้นที่ผู้อาวุโสเจ็ดมาคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าของเขา ก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลเดียวกันนี่หรอกหรือ การปรากฎตัวของเฟิงหลีเลี่ยทำให้เขาทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องที่ฉินสุยและพวกได้กระทำ อีกทั้งรู้สึกสงสารเด็กน้อยทั้งสองคนที่ต้องมารับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ อีกทั้งได้รู้จักกับหมอเทพ ปลาข้องเดียวกันที่รู้จักกันสายไป จากนั้นเขาได้แอบสับเปลี่ยนเอาแม่หนอนที่ควรจะต้องใส่ไว้บนกายของฉินเจา แต่นำมาวางไว้บนกายของเฟิงหลีเลี่ย เนื่องจากไม่เคยพบเห็นหนอนคะนึงหามาหลายปีแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ระแวงสงสัย เป็นเหตุให้เขาสามารถปกปิดเรื่องราวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ อีกทั้งตอนที่พวกเขาปลูกหนอนคะนึงหาบนตัวมู่หรงชูอวิ๋น ได้ตั้งใจให้นางดื่มยาถอนพิษจากหญ้าไร้กังวล ความทรงจำของมู่หรงชูอวิ๋นจึงค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า” ฉินเจากัดฟันตัวเองจนแทบจะแตกละเอียดแล้ว เขายังรู้สึกแปลกๆ เหตุใดมู่หรงชูอวิ๋นจึงไม่หวั่นไหวให้เขาบ้างเลย แต่กลับยิ่งมีความต่อต้านมากขึ้น ที่แท้เป็นฝีมือของตาเฒ่าสร้างเรื่องคนนี้นี่เอง
ใบหน้าของมู่หรงชูอวิ๋นถูกปิดไว้ด้วยนิ้วหยาบกร้านบังคับให้หันไป ฉินเจามองตาของมู่หรงชูอวิ๋นอธิบายโดยละเอียด พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ครั้งนี้คงต้องขอโทษเจ้าด้วย ครั้งหน้าข้าจะต้องจัดงานแต่งที่ดีให้เจ้าแน่ ตอนนี้ไปกับข้าก่อน ไปยังสถานที่ที่ไม่มีผู้คน” ที่นั่นจะไม่มีคนมาขวางพวกเขาได้
มู่หรงชูอวิ๋นมองนัยต์ตาของเขาที่ดูลนลานขึ้นมาในทันใด แต่นางยังไม่ทันขยับ รู้สึกเจ็บระหว่างเอวเหมือนถูกรัดไว้แน่น นางถูกสกัดจุดเส้นเสียงที่ลำคอ ต่อให้ขยับปากเท่าไรก็ไม่มีเสียงออกมาเลยสักนิด นางมองจ้องฉินเจายากจะเชื่อ นางไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้
ฉินเจาทอดมองสายตาของมู่หรงชูอวิ๋นแล้วรีบเบี่ยงสายตาหลบไป เขาไม่อยากใจอ่อน และไม่อยากเสียใจภายหลังอีก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำผิดต่อนางไปชั่วคราว
ฉินเจาชักดาบที่พกติดตัวกับเอวของตัวเองขึ้นมา กอดรั้งมู่หรงชูอวิ๋นไว้ในอ้อมอก พลางชี้ดาบไปทางเฟิงหลีเลี่ยและพวก “หากพวกเจ้าไม่ยอมปล่อยพวกเราไปตอนนี้ ข้าก็พร้อมที่จะแต่งงานกับนางอีกครั้งในยมโลกด้วยกัน ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็ขัดขวางอะไรไม่ได้แล้ว” เมื่อครู่ที่เขาต้อนรับขับสู้พวกเขา เพราะอยากจะรู้สถานการณ์ด้านนอกเป็นเช่นไร ถึงตอนนี้ก็นานมากแล้วยังไม่ได้ข่าวใดเลย แม้แต่เงาก็ยังไม่เห็นใคร เกรงว่าเรื่องร้ายจะมากกว่าเรื่องดีอย่างที่เฟิงเยี่ยนเฉิงพูดเสียแล้ว หากคนพวกนั้นไม่ไปสู่ยมโลกกันหมดแล้ว ก็คงจะถูกคุมตัวไว้หมด คนของพวกนั้นคงจะไม่ได้มีจำนวนน้อยแสนธรรมดาเป็นแน่ ใครบอกให้เขาหักหลังคนมากมายขนาดนั้น แม้แต่อาจารย์หญิงที่รักและเอ็นดูเขามาก ก็ยังไม่ยืนอยู่ข้างเขาเลย ไม่ว่าจะจุดใดล้วนไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขา สำหรับปัจจุบันนี้คงทำได้เพียงสู้ด้วยตัวเองบนเส้นทางเลือดแล้ว ฉินสุยชะงักอึ้ง แต่ไม่นานก็ได้สติกลับมา ชักดาบออกมาเช่นเดียวกัน เวลานี้พวกเขาไม่เหลือทางสู้แล้ว ทำได้เพียงล่าถอยไปก่อน ผู้อาวุโสอีกหลายคนชักดาบออกมาตามกัน ผู้อาวุโสใหญ่เห็นผู้อาวุโสเจ็ดยืนอยู่ที่เดิม ท่าทางทุกข์ทรมานเป็นที่สุด เขาจึงตะคอกเสียงดัง “น้องเจ็ด เจ้ามัวทำอะไรอยู่? ชักดาบของเจ้าออกมา” ในหมู่พวกเขาแล้ววรยุทธ์ดาบของผู้อาวุโสเจ็ดเยี่ยมยอดที่สุด พรสวรรค์เหนือธรรมดา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสเจ็ดในวัยหนุ่มเช่นนี้ อย่างไรแล้วผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ก็อายุมากกว่าเขาอยู่รอบหนึ่่ง หากไม่ใช่เหตุของอายุ เกรงว่าตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ก็คงต้องเป็นของเขาแล้ว
ผู้อาวุโสเจ็ดคล้ายกับเด็กที่ถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ “พี่ใหญ่ พวกเราจะทำผิดต่อไปอีกไม่ได้แล้ว หากเป็นเช่นนี้จริง อาลั่วนางจะต้องไม่มีวันให้อภัยข้าอีก”
เขาไม่อาจทำให้นางผิดหวังได้อีกแล้ว ความจริงไม่มีผู้ใดรู้ว่าในตอนนั้นเขาคิดจะปล่อยพวกเขาไป แต่ไม่รู้ว่าดาบที่เขาภาคภูมิใจเล่มนั้นแทงไปบนร่างของน่าหลันอี้ได้อย่างไร เสียงกรีดร้องเสียใจเป็นสายของฉินอวิ๋นลั่ว ยังคงดังก้องอยู่ข้างหูของเขามาตลอดหลายปี ตำหนิว่าเขาเป็นคนตระบัดสัตย์คืนคำ
ผู้อาวุโสใหญ่เครียดและโมโหมาก แต่ก็ยังดึงเขามาอยู่ข้างหลังตัวเอง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกจนปัญญา แต่ผู้อาวุโสเจ็ดเป็นคนที่เขาเลี้ยงดูมากับมือจนเติบใหญ่ จึงรู้จักบุคลิกนิสัยของเขาดี แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือ เหตุใดคนผู้นี้จึงคิดไม่ได้ เกือบครึ่งชีวิตแล้วยังไม่เข้าใจเหตุผล ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงหมอกควันที่ผ่านตาไปเท่านั้น อีกอย่างคนเขาก็ตายไปนานแล้ว จะชดใช้อย่างไรก็ชดใช้ไม่ได้ คนที่อยู่ควรจะใช้ชีวิตที่มีอยู่ให้ดี การจมอยู่กับความรู้สึกเสียใจก็ไม่ได้ช่วยให้คนตายฟื้นคืนชีพได้