เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 432 หวนกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา
ฉินอวิ๋นซินวางถ้วยยาที่มีไอขาวลอยคลุ้งไว้ที่โต๊ะด้านข้าง พลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ยังไม่ฟื้นอีกหรือ?”
ตั้งแต่วันนั้นที่กลับมาจากแท่นบูชา มู่หรงชูอวิ๋นยังไม่ได้สติขึ้นมาเลย นี่ก็เข้าสู่วันที่สามแล้ว นางกลับไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะหมอเทพทั้งสองยืนยันว่ามู่หรงชูอวิ๋นไม่ได้เป็นอะไร เกรงว่าเขาคงเดือดร้อนใจจนกระโดดข้ามกำแพงไปแล้ว
เฟิงหลีเลี่ยส่ายหน้า หมอเทพบอกไว้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นเป็นกังวลมากเกินไป สภาพจิตใจถูกทำร้ายอย่างหนัก รวมกับเรื่องที่เกิดขึ้นกระทันหันในวันนั้นด้วยแล้ว นางจึงรับไม่ไหวเป็นลมหมดสติไป
เฟิงหลีเลี่ยไม่เคยละสายตาไปจากมู่หรงชูอวิ๋นเลย สายตาจ้องติดอยู่บนร่างของนาง มือใหญ่ของเขากุมมือของนางไว้แน่น ส่วนกุยอวิ๋นเด็กน้อยผู้น่าสงสาร นานมากแล้วที่เฟิงหลีเลี่ยไม่ได้อุ้มเลย นอกจากช่วงเวลาที่มู่หรงชูอวิ๋นยังไม่ได้กลับมาอยู่ข้างกายเขาก็ได้อุ้มบ้าง แต่หลังจากนั้นมาก็ให้มู่หรงมู่และพวกช่วยดูแลแทน ในสายตาของเขามีเพียงมู่หรงชูอวิ๋นเท่านั้น จะแวบมาดูสักประเดี๋ยวก็ยังไม่มี เฟิงเยี่ยนเฉิงกลับรู้สึกไม่ติดใจเรื่องนี้ ตัดไปสักคนยิ่งดี จะได้ไม่มีคนมาแย่งหลานชายกับเขา แต่ว่าช่วงเวลาดีๆ มักมีอยู่ไม่นาน ไม่รู้ว่ามู่หรงไป๋มาถึงตั้งแต่เมื่อใด อุ้มกุยอวิ๋นไม่ยอมวาง อีกทั้งพูดกล่อมอยู่ตลอด เด็กดีไม่เสียแรงที่เป็นเมล็ดพันธ์ุของตระกูลมู่หรง หน้าตาเหมือนเขาราวกับแกะสลักออกมา เฟิงเยี่ยนเฉิงเดิมคิดจะคัดค้าน แต่พบว่าในที่นี่นอกจากตนและเฟิงหลีเย่แล้ว ที่เหลือก็เป็นคนตระกูลมู่หรงทั้งนั้น คิดอยากจะไปหาเฟิงหลีเลีี่ยให้ช่วย ใครจะไปคิดว่าเฟิงหลีเลี่ยกลับตำหนิตนมากลับมา อีกทั้งกำชับไม่ให้เขาเข้ามาอีก เขาจึงทำได้เพียงน้อยเนื้อต่ำใจแทบตาย
“เป็นเพราะข้าทำร้ายนาง หากไม่ใช่เพราะข้า นางคงไม่ต้องได้รับความลำบากมากมายเพียงนั้น ทำให้พวกเจ้าต้องแยกจากกันไปนาน” ฉินอวิ๋นซินมีน้ำตาเอ่อคลอมาที่ขอบตา เก็บกลั้นไว้ไม่ให้ไหลลงมา
เฟิงหลีเลี่ยไม่ได้ตอบโต้นาง เงียบอยู่นาน ส่วนที่ว่าผู้ใดผิดนั้น ไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาที่ฟ้ากำหนดให้พวกเขา
“โอ๊ย!”
ได้ยินเสียงครางแผ่วเบา เสียง สายตาของคนทั้งสองเหลือบไปมองที่ใบหน้าของมู่หรงชูอวิ๋นทันที ฉินอวิ๋นซินสองมือกุมเกี่ยวกันแน่น ด้านในเต็มไปด้วยเหงื่อ นางกลัวว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะไม่ยอมรับนาง วันนั้นนางคิดอยากจะอธิบายเรื่องราวกับมู่หรงชูอวิ๋นให้กระจ่าง แต่มู่หรงชูอวิ๋นหมดสติไปเสียก่อน
มู่หรงชูอวิ๋นลืมหนังตาหนักอึ้งขึ้นมา แสงสีขาวสว่างทำให้นางมองเห็นไม่ชัดว่าคนตรงหน้าคือใคร ตาแห้งจนรู้สึกแสบไปหมด จึงอดไม่ได้ที่จะกระพริบตาถี่ๆ กระทั่งเห็นชัดแล้วว่าเป็นผู้ใด นางร้องเรียกอย่างชะงักอึ้ง “พี่ชายใหญ่!” น้ำตาประกายใสดูน่าเวทนาไหลรินลงมา ตกลงบนมือของพวกเขาที่กุมจับกันไว้ ความอบอุ่นทำให้เฟิงหลีเลี่ยกระชับมือ “เจ้าเด็กโง่ อย่าร้องไห้” นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงหลีเลี่ยพูดว่านางโง่ เซ่อซ่าจนน่าสงสาร
ฉินอวิ๋นซินพลันรู้สึกว่าดูไม่ค่อยเหมาะที่ตนจะอยู่ตรงนี้ จึงแอบถอยออกไปเงียบๆ พร้อมกับช่วยปิดประตูให้พวกเขาด้วย พลางบอกกับพวกเด็กๆ ที่ชอบสร้างความวุ่นวายกลุ่มนั้นว่าอย่าทะเล่อทะล่าพรวดเข้าไปด้านใน
มู่หรงชูอวิ๋นซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเฟิงหลีเลี่ย ร้องไห้อยู่นานกว่าจะหยุดลงได้ แต่ก็ยังสะอึกสะอื้นอยู่บ้าง
เงยหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตามองเฟิงหลีเลี่ย “พี่ชายใหญ่ ลูกของพวกเรา?” มู่หรงชูอวิ๋นเพิ่งจะนึกถึงเรื่องสำคัญนี้ได้ จึงเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง
เฟิงหลีเลี่ยเจ็บปวดใจ ลูบแผ่นหลังปลอบโยนนางเบาๆ “เขามีชื่อว่ากุยอวิ๋น เป็นเด็กที่เชื่อฟังมาก หน้าตาเหมือนกับเจ้ามากจริงๆ” เวลาที่เขามองกุยอวิ๋นมักจะคิดถึงมู่หรงชูอวิ๋นเสมอ
หากมู่เยี่ยนมาได้ยินคงอดบ่นไม่ได้ เห็นชัดว่าเป็นเพราะพระองค์ไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่น กุยอวิ๋นจึงทำได้เพียงดูดนิ้วตัวเอง ใครให้เขาเป็นพ่อที่ในใจมีแต่แม่ของลูกแต่ไม่มีลูกกันเล่า
มู่หรงชูอวิ๋นได้ยินกุยอวิ๋นสองคำนี้ ไม่อาจกลั้นเก็บได้อีก น้ำตาพลันไหลพราก กุยอวิ๋น กุยอวิ๋น เป็นความหมายว่ารอการกลับมาของอวิ๋นเอ๋อร์ นางไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นเฟิงหลีเลี่ยพูดสองคำนี้ออกมาด้วยความรู้สึกเยี่ยงไร
เฟิงหลีเลี่ยพบว่าตัวเองหมดท่าแล้ว จึงก้มหน้าลง ริมฝีปากชุ่มฉ่ำประทับลงบนขนตาสั่นคลอนเล็กน้อยของมู่หรงชูอวิ๋น
เฟิงหลีเลี่ยคิดว่าหลังจากมู่หรงชูอวิ๋นกลับมาแล้ว เขาจะได้ใช้ชีวิตที่มีภรรยาอยู่เคียงข้าง ซึ่งมู่เยี่ยนก็คิดเช่นเดียวกัน ทั้งยังคิดอยากหาภรรยาสักคน หลังจากเขาหน้าด้านไปเป็นพ่อเลี้ยงลูกของมู่เหยียนแล้ว เขาได้ตัดใจจากหลานเอ๋อร์โดยสิ้น อย่างไรแล้วบนโลกใบนี้มีผู้หญิงอีกมาก ใยจะต้องแอบรักข้างเดียวอยู่บนคานไม้เช่นนี้ด้วย
ความจริงเขาคิดมากไปเอง
เฟิงหลีเลี่ยเพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้อง กวาดตามองภายในห้องที่ว่างเปล่าไม่มีผู้ใด เอ่ยถามเสียงเข้ม “พระชายาเล่า?” น้ำเสียงเย็นเยียบดั่งน้ำค้างแข็งเดือนสิบสอง เพียงลมพัดก็เสียดแทงเข้าถึงกระดูก
สาวใช้ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว “พระชายาไปพระตำหนักเชิงเขากับองค์ชายน้อยเพคะ”
เฟิงหลีเลี่ยย่นคิ้วขมวด “เมื่อใด?”
“หลังมื้อเช้าก็ออกไปเพคะ” เฟิงหลีเลี่ยทำนางตกใจแทบร้องไห้แล้ว เหตุใดพระชายาจึงไม่อยู่ หากพระนางอยู่ ตนคงไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับท่านอ๋องในสภาพเช่นนี้ เวลาอยู่ต่อหน้าพระชายาอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด แต่ยามใดที่พระชายาไม่อยู่ก็จะเย็นชาจนยากจะเข้าใกล้
เฟิงหลีเลี่ยโมโหไม่พูดพร่ำทำเพลง ควบจี๋เฟิงม้าตัวโปรดที่ยังไม่ทันนำผูกเข้าคอกม้า ทยานออกไปก่อน มู่เยี่ยนรีบตามไป หนวดเป็นโบว์กระตุกสั่นอยู่หลายครา
ตั้งแต่มู่หรงชูอวิ๋นกลับมาก็หลงรักและตามใจกุยอวิ๋นมากเป็นพิเศษ เพราะต้องการชดเชยให้กับเขา แม้แต่เฟิงหลีเลี่ยเมื่อก่อนเป็นคนที่นางชอบมากที่สุดยังต้องหลบไปอยู่ด้านข้าง คนทั้งสองก็ไม่ได้มีลูกอีกคน เนื่องจากเฟิงหลีเลี่ยไม่อาจทนรับวันเวลาที่ต้องสูญเสียมู่หรงชูอวิ๋นไปได้อีก ลูกเป็นสิ่งที่ใช้ชีวิตของนางแลกมา เขาไม่ยอมเด็ดขาด ต่อให้มู่หรงชูอวิ๋นจะดื้นลงไปกลิ้งปากสบถคำรุนแรง เฟิงหลีเลี่ยก็จะยืนหยัดในการตัดสินใจของตัวเอง ไม่ยอมโอนอ่อนเป็นอันขาด มีครั้งหนึ่งเฟิงหลีเลี่ยดุกุยอวิ๋น และมู่หรงชูอวิ๋นบังเอิญมาเห็นเข้า นางได้เห็นลูกชายส่งสายตาน่าสงสารมองมาทางตนเอง โกรธเฟิงหลีเลี่ยขึ้นมาทันที ไม่พูดจาหอบกุยอวิ๋นกลับบ้านแม่ตัวเอง เป็นเวลาสองเดือนเต็มไม่ยอมกลับตำหนัก แม้ฮ่องเฮาจะแอบเปรยให้มู่หรงชูอวิ๋นยอมย้ายกลับมา แต่เมื่อน่าหลันฉิงผู้ที่รู้สึกผิดต่อเฟิงหลีเลี่ยมาโดยตลอดได้ทราบสาเหตุก็พามู่หรงชูอวิ๋นและกุยอวิ๋นเข้าไปพักในวังอยู่ช่วงหนึ่งเป็นเวลานาน
แม่คนอื่นเขาต่างก็สอนลูกอ่านหนังสือศึกษาตัวอักษร แต่มู่หรงชูอวิ๋นกลับพากุยอวิ๋นปีนต้นไม้แหย่รังนก ปลาในสระที่เฟิงหลีเลี่ยเลี้ยงไว้ล้วนเป็นปลาที่เหล่าขุนนางและเศรษฐีนำมาถวาย ทว่าเวลานี้ถูกพวกนางจับขึ้นมาย่างกิน เมื่อเฟิงหลีเลี่ยกลับจากประชุมเห็นมู่หรงชูอวิ๋นและกุยอวิ๋นราวกับลูกแมวสองตัวที่ไม่รู้ว่าวิ่งมาจากที่ใด ผู้คนต่างคิดว่าครั้งนี้มู่หรงชูอวิ๋นจะต้องถูกตำหนิเป็นแน่แล้ว แม้แต่กุยอวิ๋นที่คอยหลบอยู่หลังมู่หรงชูอวิ๋นมาตลอดก็ยังหดหัวอย่างระแวดระวังไปด้วย กลัวว่าหากโผล่หน้าออกมาจะโดนโทษ จึงเก็บร่างเล็กของตัวเองแอบประชิดข้างหลังมู่หรงชูอวิ๋นขึ้นอีกหลายส่วน เวลานี้คนที่จะปกป้องเขาได้ก็มีเพียงเสด็จแม่ที่ไม่หวาดกลัวต่อฟ้าดินผู้นี้เท่านั้น นางเป็นคนที่ชอบธรรมที่สุด ใครจะรู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นเพียงแต่ตกใจเล็กน้อย จูงมือเฟิงหลีเลี่ยดังเทพสวรรค์พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายใหญ่ ท่านช่วยข้าย่างได้ไหม ข้าทำไม่เป็นเจ้าค่ะ” เฟิงหลีเลี่ยกวาดตามองเสื้อผ้าสีขาวที่เลอะเปื้อนด้วยฝีมือของนาง ทว่าไม่แสดงอาการหงุดหงิดเลยสักนิด ก่อนจะนั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างาม ช่วยก่อไฟที่สองแม่ลูกพยายามทำอยู่นานสองนาน
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งหลงรักกุยอวิ๋นมากขึ้นอีก แม้แต่ลูกที่เกิดจากมู่หรงสิงและเยียนหรูเสวี่ยก็ยังเทียบไม่ได้ถึงครึ่ง ทุกครั้งเวลาที่กุยอวิ๋นกลับมานางจะอุ้มไว้ในอ้อมอก เอ่ยประโยคหนึ่งด้วยความรักและเมตตาไม่หยุด “เหลนตัวน้อย ในที่สุดเจ้าก็มาหายายทวดแล้ว” ราวกับเด็กน้อยที่กำลังแง่งอน เมื่อก่อนนางรังเกียจที่มู่หรงจางชอบทำเช่นนี้ บัดนี้นางเองก็เป็นเช่นนี้ ทุกครั้งเวลาที่มู่หรงชูอวิ๋นเห็นกุยอวิ๋นไปฟุบอยู่ในอ้อมอกของฮูหยินผู้เฒ่า ก็มักจะตำหนิเขา อย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่าก็อายุมากแล้ว ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร เดิมทีบอกว่าจะออกไปเดินเล่นกับมู่หรงจาง แต่เมื่อเห็นเหลนชายของตนเองมาก็บอกว่าไปเดินด้วยไม่ไหวแล้ว การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอายุยืนยาวนั้นสำคัญกว่าเรื่องใด สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับครอบครัวหนึ่งก็คือการได้อยู่ด้วยกัน และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข
เนื่องจากตระกูลซูเป็นพรรคพวกของท่านอ๋องรอง หลังจากเฟิงหรงสวี่ขึ้นครองราชย์ ได้โค่นล้มอำนาจของพวกเขาจนหมด จ้างงานคนที่ครอบครัวยากจนจำนวนมาก ชำระล้างราชสำนักจนสะอาด เฟิงหรงสวี่มีความสุขกับการได้เดินเล่น ไม่ต้องมีตาเฒ่ามาตามเร่งรัดให้ไปเติมเต็มวังหลังทุกวี่วัน มู่หรงอิงรับซูซื่อกลับไป คนทั้งสองต่างคนต่างก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องเก่า ต่างก็ใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน
ทว่าคนที่รักและตามใจกุยอวิ๋นที่สุดก็คืออาเล็กที่คอยทำเรื่องเล็กน้อยให้กับเขา ทุกวันจะใช้อำนาจส่วนตัวสั่งให้คนนำของอร่อยไปให้กุยอวิ๋น สอนกุยอวิ๋นเขียนอ่านหนังสือ หากไม่ใช่เพราะอายุใกล้กัน คนอื่นคงจะคิดว่าเฟิงเยี่ยนเฉิงเป็นบิดาของกุยอวิ๋นเสียเองแล้ว
วันนั้นฉินเจาเห็นสถานการณ์เสียท่าแล้ว ในจังหวะที่พวกเขาไม่ทันได้ระวัง หยิบดาบแทงทะลุหน้าอกของตัวเอง เซล้มลงไปกองข้างเรือนร่างของฉินสุยและภรรยา
ส่วนคนอื่นๆ เฟิงหลีเลี่ยก็ไม่ได้ลำบากพวกเขามากมาย เพราะอย่างไรแล้วเขาก็ได้รับปากกับมู่หรงชูอวิ๋นแล้ว