ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 509 ต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง / ตอนที่ 510 ไม่ต้องบรรเลงแล้ว
- Home
- ลิขิตฟ้าชะตารัก
- ตอนที่ 509 ต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง / ตอนที่ 510 ไม่ต้องบรรเลงแล้ว
ตอนที่ 509 ต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
แต่นางกลับจำได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ความเร็วระดับนี้จะไม่เร็วไปหรืออย่างไร!
ไม่เพียงแต่ไทเฮาที่ตกใจเท่านั้น แม้แต่จวินเสวียนจีและจวินไหวโหรวที่มองอยู่ก็ตกใจไม่แพ้กัน
ก่อนหน้านี้ไม่เห็นว่าอวี้อาเหราจะมีดีที่ตรงไหน แต่นางกลับมีความจำที่ดีถึงเพียงนี้ ช่างน่าตกใจยิ่งนัก ซึ่งนี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จวินเสวียนจีต้องการจะเห็น นางนั้นไม่มีใครสามารถเปรียบเทียบและเอาชนะตัวนางเองได้เลย ทั้งยังเป็นถึงองค์หญิงใหญ่แห่งต้าเยี่ยนที่ได้รับความโปรดปราน แต่อวี้อาเหราเป็นเพียงธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องเท่านั้น แม้หลิงอ๋องจะมีอำนาจมากมาย แต่ไหนเลยจะมาเทียบชั้นองค์หญิงตระกูลสูงเช่นนางได้?
แบบนี้ สถานะของนางก็กำลังสั่นไหวอยู่มิใช่หรือ?
จวินเสวียนจีหวั่นไหวอยู่ภายในใจ ทุกอย่างเอ่อล้นขึ้นมาในใจ แต่ไม่อาจแสดงให้เห็นได้
“ถ้าเช่นนั้นก็ลองดีดให้เราฟังที” ไทเฮาจึงออกคำสั่ง
“หม่อมฉันเพิ่งได้สัมผัส คงจะบรรเลงได้ไม่ไพเราะ จะทำให้ไทเฮากริ้วได้” อวี้อาเหราลังเล ตัวอักษรแทนจังหวะเหล่านั้นจะให้นางอ่านอย่างเดียวก็ย่อมได้ แต่นางกลับไม่รู้ว่าจะบรรเลงออกมาได้อย่างไร
จวินเสวียนจีหัวเราะออกมาในทันที “คุณหนูรองเป็นผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ เมื่อดีดพิณนี้แน่นอนว่าต้องออกมาไพเราะแน่”
“มิผิด รีบบรรเลงเข้าเถิด พิณนี้ต้องผ่านการฝึกซ้อมมาแล้วจึงจะเก่ง เราไม่ว่าอะไรหรอก” ไทเฮาพูดเสริมขึ้น
อวี้อาเหราเงียบไป ไม่ตอบคำ ทำได้เพียงบรรเลงเพลงพิณขึ้นมาตามที่ไทเฮาออกคำสั่ง นิ้วมือสัมผัสกับสายพิณ แล้วบรรเลงไปตามทำนองที่จำมาเมื่อสักครู่ การกระทำของนางดูออกว่าไม่คุ้นเคย เสียงที่บรรเลงออกมาฟังดูบาดหูเล็กน้อย แต่เมื่อบรรเลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น บรรเลงได้เป็นท่อนสั้นๆ จากนั้นก็หยุดลง
แม้จะบอกว่าไม่อาจเทียบชั้นได้กับคนที่เรียนมาแล้วหลายปี แต่ก็ยังถือว่าพอฟังได้ ไม่ถือว่าไม่เพราะอะไร
ไทเฮาได้ยินดังนั้นก็มีท่าทีเฉยเมย ไม่ยินดีแต่ก็ไม่โกรธเคือง จากนั้นปากของนางก็ขยับโดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “บรรเลงต่อสิ เรายืนฟังเจ้าเล่นอยู่ นั่งอยู่ในห้องตั้งนาน เราปวดเอวไปหมดแล้ว”
“เพคะ” อวี้อาเหราเริ่มต้นบรรเลง โดยเสียงพิณที่บรรเลงนั้นดังขึ้นแผ่วเบา
จากนั้นไทเฮาก็หันไปคุยกับจวินเสวียนจีและจวินไหวโหรว “ไปชมดอกไม่เป็นเพื่อนย่าที ตอนนี้ดอกโบตั๋นบานเต็มทีแล้ว หากไม่ชมดอกไม้ยามนี้คงน่าเสียดายแย่”
“หลานรับบัญชาเพคะ” จวินเสวียนจีและจวินไหวโหรวรับคำขึ้นพร้อมๆ กัน
จวินเสวียนจีพูดขึ้นอีกว่า “หากเสด็จย่าทรงโปรด ก็เด็ดมาปักแจกันมาสักสองสามดอกแล้วเลี้ยงเอาไว้ดูเล่นก็ได้นี่เพคะ เมื่อวางเอาไว้ในตำหนักก็คงจะดูสดใสงดงามมิใช่น้อย”
“ไม่หรอก” ไทเฮาส่ายหน้า “ดอกไม้นี้อยู่ในสวนจึงจะบาน หากย่าเด็ดมาก็คงจะร่วงโรยเร็วขึ้นกว่าเดิม”
จวินเสวียนจีชะงัก “แต่ดอกไม้นั้นไม่ช้าก็เร็วก็ต้องโรยรา เหมือนกับสิ่งอื่นๆ ที่มีเกิดย่อมมีดับ ขอแค่ให้เสด็จย่าได้ชื่นชมก็พอแล้ว เพียงแค่มีชีวิตอยู่เพื่อให้เสด็จย่าชื่นชมก็ถือว่าเป็นโชคดีของดอกโบตั๋นแล้วเพคะ”
ไทเฮาทำได้เพียงยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรออกมา
จวินไหวโหรวตามมาติดๆ “ที่เสด็จย่าตรัสก็คือ หากเด็ดดอกไม้มาแล้วมันคงจะโรยราเร็วขึ้น สู้ให้มันอยู่เบ่งบานให้เราได้ชื่นชมอยู่กับต้นเช่นนี้จะดีกว่า ยิ่งมองก็ยิ่งสวย เมื่อเวลาเวียนมาบรรจบ ก็จะเบ่งบานออกมาให้เสด็จย่าได้ชื่นชมอีก แบบนี้ดีหรือไม่เพคะ”
“ดี ดีมากเลยทีเดียว!” ไทเฮาชื่นชม
จวินไหวโหรวเดาใจนางได้ถูกต้อง ทำให้ไทเฮาดีใจจนยิ้มไม่หุบ
เมื่อได้ยินดังนั้น จวินเสวียนจีก็จ้องมองจวินไหวโหรวไม่วางตา ในใจของนางเกิดสับสน สายตาก็ดูสับสนไปด้วย
เมื่อจวินไหวโหรวรับรู้ได้ถึงสายตาของนางก็ไม่แสดงท่าทีอย่างไรเป็นพิเศษ มุมปากของนางยังคงโค้งขึ้นเหมือนยามปกติ แล้วค่อยๆ ยิ้มบางๆ ออกมาอย่างอ่อนโยน
อวี้อาเหราลอบส่งสายตาสำรวจ มุมปากของนางโค้งขึ้น ดูแล้ว องค์หญิงทั้งสองคงไม่ได้สนิทกันเหมือนที่แสดงออกให้เห็นกระมัง
ตอนที่ 510 ไม่ต้องบรรเลงแล้ว
เจาเอ๋อร์เห็นนางยังคงเอาแต่จ้องมองไปทางไทเฮา ก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้ “คุณหนู ท่านซ้อมบรรเลงพิณดีๆ เถิดเจ้าค่ะ เอาแต่มองซ้ายมองขวาเช่นนี้ หากไม่ฝึกซ้อมให้พร้อม แม้แต่พระพักตร์ไทเฮา ท่านก็มองไม่ได้นะเจ้าคะ”
อวี้อาเหราถูกเตือนสติ จึงทำเพียงสูดลมหายใจเข้า แล้วมองไปทางพิณที่อยู่ในมือ
ช่างยากลำบากนัก
เจาเอ๋อร์เห็นใบหน้าเป็นทุกข์เป็นร้อนของนาง มุมปากจึงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
การเชิญหน้ากับพิณเช่นนี้กลับทำราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย น่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? หากเป็นคนอื่น จะไม่อกแตกตายเลยหรืออย่างไรกัน?
อวี้อาเหราก้มหน้าลง แล้วดีดพิณส่งเดช แต่ก็ไม่ได้มีความอดทนมากพอ ยิ่งบรรเลงก็ยิ่งฟังไม่ได้ และยิ่งบรรเลงนางยิ่งตกลงไปสู่ภวังค์ของตัวเอง ดังนั้นเสียงพิณจึงไม่น่าฟังเข้าไปอีก
ไทเฮาที่ก่อนหน้านี้ยังเชื่อใจนาง เมื่อได้ยินเสียงพิณที่ไม่น่าฟังเช่นนี้ก็หันกลับไป มองอวี้อาเหราแล้วเลิกคิ้ว จึงก้าวเร็วๆ เข้าไปหา เมื่อเห็นอวี้อาเหราที่กำลังบรรเลงเพลงพิณด้วยความตั้งอกตั้งใจ ก็อดไม่ได้ที่จะขัดขวาง
ทุกคนพากันปิดหูไปหมด
เมื่อคนอื่นๆ ดีดพิณ ก็เหมือนตกอยู่ในหุบเขาเซียน แต่เสียงพิณของนางเหมือนตกนรกแปดขุม
ไม่ได้บาดหูปกติอย่างเดียว
ก่อนหน้านี้ยังพอรับได้ เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ได้?
เมื่อผ่านไปหนึ่งบทเพลง อวี้อาเหราจึงยอมหยุดลง เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าทุกคนล้วนจ้องมองมาที่นาง มุมปากของนางจึงเหยียดออกมาเป็นรอยยิ้ม “ไทเฮา บรรเลงได้ไพเราะหรือไม่เพคะ?”
“เอ่อ” ไทเฮาลังเล จากนั้นก็ชะงักไป เมื่อเห็นสายตารอคอยของนาง ก็พยักหน้าอย่างอึดอัดใจ “เพราะดี เพราะดี…”
“อย่างนั้นหรือเพคะ?” อวี้อาเหราแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าตัวเองเล่นได้แย่เพียงใด เมื่อไทเฮาว่าเช่นนี้นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก “เมื่อก่อนนี้ หม่อมฉันไม่รู้เลยว่าบรรเลงพิณจะสนุกถึงเพียงนี้ หากไทเฮาทรงโปรด หม่อมฉันจะบรรเลงถวายอีกสักเพลงนะเพคะ”
ยังจะบรรเลงอีกหรือ? ถ้าอย่างนั้น ความอยากอาหารเที่ยงก็คงไม่เหลือ
ทุกคนคิดด้วยความหวาดกลัว
ไทเฮารีบส่ายหน้า “ไม่ต้องเล่นแล้ว เราว่าถึงเวลาที่เจ้าจะต้องเรียนวิธีการเดินหมากแล้วล่ะ”
“เดินหมากหรือเพคะ” อวี้อาเหราพยักหน้าอย่งพึงพอใจ “หม่อมฉันชอบเดินหมากเป็นที่สุด ไทเฮาโปรดรีบสอนหม่อมฉันเถิดเพคะ”
สีหน้าของเจาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังดูย่ำแย่ลง พวกไทเฮาไม่รู้ถึงฝีมือการเดินหมากของคุณหนูนาง แต่นางนั้นดูเช่นเห็นแจ้ง ยามที่เดินหมากกับเซิ่นซื่อจื่อก่อนหน้านี้ ก็แพ้เสียจนหลุดลุ่ย ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่ว่านางจะเดินอย่างไรก็ไม่อาจชนะได้เลย ใครใช้ให้คุณหนูของนางฝีมือแย่ถึงเพียงนี้ได้เล่า
ไทเฮาเห็นนางกระตือรือร้นถึงเพียงนี้ ก็รีบให้คนไปยกกระดานและเม็ดหมากเข้ามาอย่างพึงพอใจ
หลังจากได้เม็ดหมากมาแล้ว ไทเฮาก็อธิบายกับอวี้อาเหรา “เจ้าลองวางหมากให้เราดูหน่อย”
“เพคะ ไทเฮา” อวี้อาเหราตอบรับอย่างชื่นบาน
ทั้งสองเดินหมาก ไทเฮาหยิบหมากดำขึ้นมา กำลังเตรียมจะวางหมากลงไป แต่ก็ถูกอวี้อาเหราร้องทักขึ้นเสียก่อน “ช้าก่อนเพคะไทเฮา หม่อมฉันเดินหมากไม่เป็น ทรงต่อให้หม่อมฉันเถิดเพคะ ให้หม่อมฉันเดินก่อนได้หรือไม่”
“ก็ได้ อย่างนั้นให้เจ้าเดินก่อน” ไทเฮายอมรับแต่โดยดี
อวี้อาเหราถือหมากขาวเอาไว้ในมืออยู่เป็นนาน ไม่ยอมเดินเสียที นางเอาแต่ลังเล ผ่านไปนานก็ยังไม่เดินเสียที ไทเฮามองนางนิ่งๆ “เจ้าจะเดินหรือไม่เดินเล่า”
“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ว่าจะลงตรงไหน เชิญไทเฮาเดินก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันขอเดินทีหลังแล้วกัน หากหม่อมฉันแพ้ ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระสรวล” อวี้อาเหราอิดออดอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ตัดสินใจให้ไทเฮาเดินก่อน