Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1037
หลังประชุมแต่งตั้งเสร็จ ทุกคนก็ทำการปฏิญาณตนตามที่โรแลนด์บอก
เหล่าเจ้าหน้าที่เพิ่งจะเคยเห็นขั้นตอนแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่ถึงแม้จะแปลกใจ สุดท้ายทุกคนก็ยังทำตามที่โรแลนด์บอกอย่างไม่ลังเล ยิ่งไปกว่านั้นหลายๆ คนยังจงใจยืดตัวตรงขึ้นมาด้วย
คำปฏิญาณที่ว่าคือ ‘จงรักภักดีต่ออาณาจักร รับผิดชอบหน้าที่อย่างเคร่งครัด’ ซึ่งก็ไม่มีอะไรพิเศษ คำพูดเหล่านี้พวกเสนาบดีต่างก็พูดกันอยู่บ่อยๆ แต่ในสถานการณ์ที่มีความเป็นทางการเช่นนี้ ทุกคนกลับรู้สึกเหมือนคำพูดเหล่านี้มันมีความหมายพิเศษขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้
โรแลนด์รู้ว่าพวกเขากำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
“ในเมื่อพวกเจ้าผ่านพิธีรับตำแหน่งแล้ว อย่างนั้นเราก็มาเริ่มทำงานกันเถอะ” เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง พร้อมกับเอามือตบไปยังแผนที่ขนาดใหญ่บนกำแพงด้านหลัง “กำจัดภัยคุกคามจากปีศาจออกไปจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ รักษาความปลอดภัยทางตะวันตกเฉียงเหนือของเนเวอร์วินเทอร์ เพื่อให้มนุษย์ได้กลับไปลงหลักปักฐานยังกลางทวีปอีกครั้ง นี่คือเป้าหมายหลักของเกรย์คาสเซิลในปีหน้า!”
ความพ่ายแพ้ในสงครามแห่งโชคชะตาสองครั้งทำให้มนุษย์ต้องถอยร่นมายังขอบของทวีป ด้านหลังคือทะเล ไม่มีที่ให้พวกเขาถอยไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทรัพยากรสำหรับการดำรงชีวิตหรือในแง่ของแผนการรบแล้ว การบุกเข้าไปทางตะวันตกคือตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา
ถ้าอยากจะหลงหลักปักฐานในพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาล เขาก็จำเป็นต้องทำลายทาคิลาทิ้งไป เมื่อไม่มีสายแร่อาญาสิทธิ์ ปีศาจก็จะไม่สามารถตั้งเสาโอเบลิสก์ได้ ส่วนเกรย์คาสเซิลก็จะได้พื้นที่แนวหน้าที่ปลอดภัย หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหรือว่ารอคอยเวลาในการโจมตีกลับ พวกเขาก็จะมีความได้เปรียบอยู่ในมือ
เพราะว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหมอกแดงในการเคลื่อนไหวเหมือนอย่างพวกปีศาจ
ในตอนที่ขุมกำลังทางเทคโนโลยีพัฒนาไปจนถึงระดับหนึ่ง ขอบเขตการโจมตีของอาวุธก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ทุกคนต่างเอามือขึ้นมาทาบบนหน้าอกแล้วพูดพร้อมกัน
หลังการประชุมจบลง โรแลนด์เดินกลับมายังห้องทำงาน ชาแดงที่ไนติงเกลชงเอาไว้ให้วางอยู่บนโต๊ะเขาเรียบร้อย
“เหนื่อยหน่อยนะเพคะ”
เธอยังคงมีสีหน้าที่ดูสบายใจ ปลาแห้งที่คาบอยู่ในปากแสดงให้เห็นว่าอารมณ์ของเธอนั้นถือว่าดีทีเดียว
“เอ่อ…ขอบใจนะ” โรแลนด์ยกแก้วชาที่ส่งกลิ่นหอมขึ้นมา จู่ๆ ภายในหัวพลันคิดถึงคำพูดของอันนาเมื่อคืนนี้ขึ้นมา ทำให้เขาอดเหลือบมองดูไนติงเกลไม่ได้
อันนาไม่ได้พูดให้ฟังว่าข้อตกลงที่ว่ามันคืออะไร แต่ว่างานราชาภิเษกในตอนเช้ากับงานเลี้ยงแต่งงานที่จัดขึ้นในตอนเย็น ไนติงเกลก็อยู่กับทุกๆ คน ดูยังไงก็ไม่เหมือนว่าเธอได้ทำ ‘ข้อตกลง’ สำเร็จเลย
ความสงสัยอันนี้ทำเอาเขารู้สึกงุนงง
ยิ่งไปกว่านั้นโรแลนด์ยังแอบรู้สึกว่าถ้าถามไปตรงๆ ทั้งสองคนคงไม่มีทางให้คำตอบที่แท้จริงกับเขาแน่
“ทำไมหรือเพคะ?” ทันใดนั้นเอง เสียงไนติงเกลพลันดึงขึ้นข้างหูเขา “วันนี้หม่อมฉันดูสวยเป็นพิเศษเหรอเพคะ?”
“ไม่…เอ่อ” เขารีบดื่มชาลงไปเพื่อปกปิดสีหน้าตัวเอง “ข้าหมายถึง ก็ไม่เลว..”
“อย่างนั้นมัน ‘สวย’ หรือ ‘ไม่สวย’ ล่ะเพคะ?” อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาพร้อมกับเอาหน้าเข้ามาใกล้เขา โรแลนด์ได้กลิ่นหอมจากผมของเธอ “พระองค์ใจเต้นแล้วนะเพคะ”
ยังไม่ทันที่เขาจะตอบอะไร ไนติงเกลก็หายตัวไปนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้นอน พร้อมกับคาบปลาแห้งเอาไว้ในปากด้วยสีหน้าทะเล้น
โรแลนด์รู้ว่าเธอกำลังหยอกเขาอยู่ เขาส่ายหัวออกมาอย่างเหนื่อยใจ แต่ขณะเดียวกับก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกัน
ไม่ว่ายังไง อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจได้
อีกฝ่ายยังคงเป็นไนติงเกลที่เขาคุ้นเคยคนนั้น
……
บนท้องฟ้าเหนือดินแดนรกร้างในดินแดนตะวันตก
“ความเร็วตอนนี้เท่าไร?”
ไม่มีคำตอบ
หูของไลต์นิ่งมีแต่เสียงลมที่พัดอย่างรุนแรง แม้แต่จะอ้าปากก็ยังทำได้ลำบากมาก ถ้าฝืนพูดต่อไป เกรงว่าลิ้นคงต้องฉีกเหมือนถูกมีดบาดแน่ เธอจำต้องใช้ ‘การสอดประสานของพลังเวทมนตร์’ ออกมา
พริบตานั้นเอง ความหนาวเย็นที่เสียดเข้าไปในกระดูกก็หายไปทันที เสียงลมก็เบาลงจนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
“เมซี่ ความเร็วตอนนี้เท่าไร?” เธอถามอีกครั้ง
“เดี๋ยวข้าดูก่อนนะจิ๊บ!” อีกฝ่ายโผล่หัวออกมาจากในคอเสื้อของเธอ “น่าจะประมาณ 2 เท่าของเหยี่ยวเมอร์ลินจิ๊บ”
น่าจะเป็นเพราะสัญชาติญาณของสัตว์ เมซี่จึงมีความสามารถในการรับรู้เรื่องความเร็วที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อเทียบกับการคำนวนความเร็วจากพลังเวทมนตร์ที่ถูกใช้ออกไปแล้ว การพาเธอมาบินด้วยดูจะมีความสะดวกมากกว่า
“300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหรอ?” ไลต์นิ่งถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ในตอนที่เหยี่ยวเมอร์ลินพุ่งไปหาเหยื่อของมันจากบนฟ้า ความเร็วของมันจะเร็วถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยากจะมีเป้าหมายไหนที่สามารถหลบการโจมตีนี้ไปได้ ตอนนี้เธอบินได้เร็วกว่าเหยี่ยวเมอร์ลินมาก แต่ภายในใจของเธอกลับไม่รู้สึกดีใจเท่าไร
300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง…นี่คือขีดจำกัดในการบินโดยไม่ใช้การสอดประสานของพลังเวทมนตร์
หลังจากที่วิวัฒนาการความสามารถขึ้นมา เธอก็ใช้เวลาอย่างมากในการทำความคุ้นเคยกับความสามารถใหม่ของตัวเอง แล้วก็พยายามควบคุมเทคนิคการใช้การสอดประสานกันของพลังเวทมนตร์ พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงเธออดทนต่อความไม่สบายต่างๆ ในขณะที่บินด้วยความเร็วสูงได้ เธอก็จะสามารถรักษาระดับการใช้พลังเวทมนตร์ให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดได้
ในด้านนี้โรแลนด์เองก็ได้ทำอุปกรณ์ให้เธอใหม่ทั้งหมด อย่างเช่นแว่นตากันลมที่ตัวเลนส์เป็นทรงโค้ง ชุดรักษาอุณหภูมิสองชั้นและกระเป๋าสะพายหลังที่มีแรงต้านน้อยกว่าเดิม เรียกได้ว่าลดภาระด้านน้ำหนักที่เธอต้องแบกรับไปได้มาก
สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอทำลายสถิติในการบินของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกายภาพที่ยังมีอยู่ ตอนนี้ดูเหมือนความเร็ว 300 กิโลเมตรจะเป็นขีดจำกัดที่เธอยากจะข้ามไปได้
และทันทีที่ใช้การสอดประสานของพลังเวทมนตร์ พลังเวทมนตร์เธอก็จะถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว
ไลต์นิ่งรู้สึกอิจฉาร่างกายอันแข็งแกร่งของแม่มดอมนุษย์ขึ้นมา
แต่แน่นอน นับตั้งแต่ที่ตื่นรู้ความสามารถขึ้นมา เธอก็รู้ว่าสิ่งที่เธอสามารถพึ่งได้นั้นมีเพียงแค่ความพยายามฝึกฝนเท่านั้น
บางทีหลังกลับไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เธอคงต้องไปคำแนะนำจากโลก้าเรื่องการฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งแล้วล่ะ
“ระวังจิ๊บ!” จู่ๆ เมซี่ก็ตะโกนออกมาจากในอกของเธอ “พวกเราอยู่ห่างจากซากเมืองทาคิลาไม่ถึง 100 กิโลเมตรแล้วจิ๊บ!”
“อ้อเหรอ…” ไลต์นิ่งหลับตาลง ก่อนจะพยายามสัมผัสถึงปริมาณเวทมนตร์ที่ยังคงเหลืออยู่ในร่างกาย จากนั้นเธอจึงยิ้มมุมปากขึ้นมา “อย่างนั้นเราไปทำให้พวกปีศาจมันตกใจเล่นหน่อยดีกว่า”
หลังควบคุมพลังใหม่แล้ว สุดท้ายโรแลนด์ก็ตกลงที่จะให้เธอออกไปหาของกิน….ไม่สิ ออกไปสอดแนมต่างหาก ต่อให้เธอใช้ความเร็วในการบินที่ต่ำที่สุด เธอก็ยังเร็วกว่าพวกอสูรสยองที่โง่เง่าพวกนั้นมาก ขอเพียงจัดสรรพลังเวทมนตร์ให้ดี โอกาสที่เธอจะเจอกับอันตรายก็เรียกได้ว่าน้อยมาก
แต่ไลต์นิ่งไม่ได้พึงพอใจแต่เพียงเท่านี้ เธอยังจำการสำรวจดินแดนรกร้างครั้งแรกเมื่อสามปีก่อนได้ ตอนที่เธอถูกซากปีศาจที่ถูกแช่แข็งอยู่ในซากโบราณสถานทำให้ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบจะออกจากร่าง ในฐานะที่เธอเป็นนักสำรวจ แต่เธอกลับพ่ายแพ้ให้กับความกลัว ความอับอายตรงนี้จำเป็นต้องทำการชดเชย!
ความหวาดกลัวเกิดจากความไม่รู้ สำหรับเธอในตอนนี้แล้ว ปีศาจมันไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่น่ากลัวอีกต่อไป
“ไลต์นิ่ง เปิดโหมดรบเต็มที่!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เจ้านกพิราบก็รีบหดหัวเข้าไปในคอเสื้อทันที
สาวน้อยเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะมีความคุ้มครองของการสอดประสานพลังเวทมนตร์อยู่ แต่เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงเสียงลมที่ดังมากขึ้นเรื่อยๆ พื้นสีขาวกลายเป็นเหมือนน้ำนมข้นๆ ที่ไหลไปข้างหลังเร็วขึ้น
จนกระทั่งวินาทีนั้นมาถึง
หลังมีเสียงดังสนั่นขึ้นมา ทุกสิ่งรอบตัวพลันเงียบลง
เธอเหมือนไปปลดปล่อยพันธนาการทุกอย่างทิ้งไป ลมและหิมะได้ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ท้องฟ้ากลายเป็นสนามเด็กเล่นให้เธอได้โบยบินอย่างอิสระ
หากใช้คำพูดของฝ่าบาทล่ะก็ เธอได้กลายเป็นผู้นำทางของเสียงไปแล้ว
ไม่ว่าจะทำซ้ำกี่ครั้ง ไลต์นิ่งก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย
เธอถึงขนาดรู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ซากเมืองทาคิลาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ
แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือ พื้นดินที่อยู่รอบๆ ซากเมืองเหมือนจะเปลี่ยนสีไปจากเดิม ดูเผินๆ แล้วเหมือนพื้นโคลนที่เกิดขึ้นหลังจากหิมะละลาย แต่ในตอนที่เธอมองลงไปดีๆ เธอถึงได้พบว่ามันคือก้อนเนื้อและเลือดที่ผสมกันเละเทะไปหมด! ฝูงสัตว์อสูรที่ดำทะมึนแห่กันเข้ามาหาเมืองทาคิลาจากอีกด้านหนึ่ง ราวกับสายน้ำที่โถมทะลักเข้ามายังแนวป้องกันของพวกปีศาจ
จากนั้นร่างกายพวกมันก็หลายสลายกลายเป็นชิ้นๆ