Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1247 หัวใจของอัศวิน
แมนเฟลใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะฟื้นขึ้นมาจากความมึนงง
ดวงตาของเขาพร่ามัว บนใบหน้าเจ็บปวด อยากจะลืมแต่ก็ยังทำได้ยากลำบาก
บ้าเอ้ย ไหนบอกว่าการต่อสู้ระหว่างขุนนางจะไม่ต่อยหน้าไง?
หลังพยายามอยู่นาน เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง แล้วค่อยๆ คลานเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังหวาดกลัวสองคนนั้นแล้วดึงเอาผ้าออกมาจากปากพวกเธอ “ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวข้าพักแปบแล้วจะแก้มัดให้พวกเจ้า”
ทั้งสองคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ พวกเธอได้แต่พยักหน้าเบาๆ
ครั้งนี้เขาพักอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะรวบรวมแรงไปแก้มัดเชือกให้ “เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว ระวังอย่าให้ถูกเจ้าคนนั้นมันจับได้อีกล่ะ…”
เจ้าคนนั้นมันคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้วล่ะ พอเรือขนคนเต็มแล้วออกจากฝั่ง ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็น่าจะมีแต่ผู้อพยพ เขาคงจะไม่มีความกล้าพอที่จะทำเรื่องพวกนี้ต่อหน้าทุกคน
หญิงสาวที่ถูกแก้มัดเดินอ้อมตัวเขาอย่างหวาดกลัว ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องเก็บของไป เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบค่อยๆ ห่างออกไป สุดท้ายก็เหลือแต่เพียงความเงียบ
ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเธอไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลย แม้แต่คำว่าขอบคุณ
แมนเฟลนั่งพิงกำแพงพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ภายในหัวจู่ๆ ก็มีคำพูดของคนขับรถม้าดังขึ้นมา
‘ข้าว่านะเจ้าหนุ่ม อย่าพยายามทำตัวเป็นคนดีนักเลย โดยเฉพาะข้างนอกนั่น…ไม่อย่างนั้นซักวันเจ้าจะเดือดร้อนเอาได้’
เขาส่ายหัวโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป
เขาชินกับเรื่องแบบนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ?
ตอนนี้เขาหวังแต่เพียงว่าตัวเองจะกลับไปยังห้องโดยสารได้ก่อนที่เรือจะออกจากท่า จะได้ไม่ถูกคนอื่นแย่งที่นอนไป
ทันใดนั้นเอง แมนเฟลพลันได้สินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ อีกครั้ง เสียง ‘เอี๊ยดๆ’ ของแผ่นไม้ค่อยๆ เข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ
เวรล่ะ เจ้ามิก คินลีย์นั้นมันยังต่อยไม่พออีกเหรอ?
เสียงฝีเทาดังมาอยู่ที่หน้าประตูห้องเก็บของ จากนั้นประตูก็ถูกเปิดแง้มๆ ก่อนจะมีหัวคนโผล่เข้ามาหัวหนึ่ง
แมนเฟลงุนงง คนที่มาคือหนึ่งในหญิงสาวสองคนนั้น
หลังจากที่ประตูถูกเปิดออก เขาถึงได้พบว่าหญิงสาวทั้งสองคนต่างอยู่กันครบ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังหิ้วถังน้ำเดินเข้ามาอย่างยากลำบาก เหมือนกำลังเธอกำลังใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งถังน้ำถูกเอามาวางไว้หน้าเขา เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าด้านในนั้นใส่น้ำสะอาดเอาไว้จนเต็มถัง
“พวกเจ้า…”
หญิงสาวคนหนึ่งหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมา หลังจากจุ่มน้ำเสร็จก็เอามาเช็ดคราบเลือดบนหน้าเขา ส่วนอีกคนหนึ่งก็ขอโทษขอโพยไม่หยุด “ขะ ขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เจ้าต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ ตอนนั้นพวกเรากลัวจริงๆ ก็เลยไม่กล้าพูดอะไรออกไป…เพราะว่า เพราะว่า…เจ้าบอกว่าตัวเองก็เป็นขุนนางเหมือนกัน”
แมนเฟลหัวเราะออกมาเบาๆ
ถึงแม้ร่างกายจะเจ็บไปทั้งตัว แต่เขาก็ไม่อยากจะควบคุมสีหน้าของตัวเอง
“เอ่อ เจ้าหัวเราะอะไร…”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาพูดตัดบทอีกฝ่าย “นับตั้งแต่ที่ขึ้นเรือลำนี้มา มันก็ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างทาสกับขุนนางอีกเพราะว่าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลได้ยกเลิกสถานะทาสไปแล้ว แล้วก็ริบเอาอำนาจขุนนางทั้งหมดไปด้วย พูดอีกอย่างก็คือพวกเราต่างก็เป็นคนเหมือนกัน”
ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าแมนเฟลจะไม่รู้เรื่องที่เกรย์คาสเซิลไม่มีอัศวินแล้ว พ่อค้าที่เดินทางไปมาในแต่ละที่ได้นำเอาข่าวนี้กลับมาป่าวประกาศถึงอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทตั้งนานแล้ว ในสายตาของขุนนางส่วนใหญ่ นี่เป็นเรื่องที่ผิดอย่างมาก แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกสนใจตระกูลวิมเบิลดัน
หลังจากที่ครอบครัวตกต่ำ ภายในใจเขาก็มีคำถามหนึ่งวนเวียนอยู่ตลอด นั่นคืออัศวินคืออะไรกันแน่?
ตอนที่พ่อเขายังอยู่ เขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลย เขาคิดมาตลอดว่าช้าเร็วสุดท้ายเขาก็ต้องรับสืบทอดตำแหน่งนี้จากพ่อของเขา แต่ในตอนที่ แต่ในตอนที่ดินแดนของเขาค่อยๆ สูญเสียอำนาจและถูกกลืนกินไป แมนเฟลพบว่าเรื่องราวมันไม่เป็นเหมือนที่เขาคิดเอาไว้ ผู้นำของใหม่ไม่มองเขาอยู่ในสายตา แต่พวกที่ไม่มีคุณสมบัติดีพอกลับกลายเป็นใหญ่เป็นโต ตัวเขานอกจากชื่อสกุลแล้วก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
ตามที่หนังสือโบราณเขียนเอาไว้ เหล่าบรรพบุรุษผู้บุกเบิกได้เลือกเอาคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดขึ้นมาเป็นราชา จากนั้นราชาค่อยมอบตำแหน่งให้กับผู้กล้าที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้เพื่อมาปกป้องอาณาจักรและประชาชนด้วยกัน ซึ่งนี่คือที่มาของตำแหน่งของพวกขุนนาง ส่วนอัศวินที่เป็นคนที่ใกล้ชิดกับคนระดับล่างมากที่สุด ก็ควรจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเมตตา ขณะเดียวกันก็มีความยุติธรรมและความซื่อสัตย์ถึงจะทำให้ดินแดนเจริญรุ่งเรืองได้
และก็เป็นเพราะว่าคนทั่วๆ ไปไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ พวกเขาถึงได้ยิ่งสูงส่ง
ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แมนเซลอยากจะเป็นมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้เขากลับไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีดินแดนแล้ว อัศวินจะต่างกับคนธรรมดาอย่างไร สิ่งที่แสดงถึงความสูงส่งของพวกเขานั้นคือจิตใจที่ไม่ธรรมดาของพวกเขาหรือว่าชื่อตำแหน่งนำหน้ากันแน่?
ในการต่อสู้กันระหว่างอำนาจกับผลประโยชน์ ดินแดนของเหล่าผู้ปกครองนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน ในบรรดาคนที่เขารู้จัก คนที่อ่อนแอปวกเปียกสามารถเป็นอัศวินได้ คนโง่สามารถเป็นอัศวินได้ แต่เขาซึ่งไม่มีที่ดินกลับเป็นไม่ได้ นี่ทำให้เขาเกิดความสงสัยกับสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘อัศวิน’
ถึงแม้หลังตระกูลตกต่ำลงเขาจะถูกทรมานต่างๆ นาๆ แต่เป้าหมายของแมนเฟลก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
เรียกได้ว่าเขามีความคิดที่จะไปยังเกรย์คาสเซิลตั้งนานแล้ว แต่สิ่งที่ขาดอยู่ก็คือค่าเดินทาง ตอนนี้คนของเกรย์คาสเซิลเข้ามาถึงวูล์ฟฮาร์ทเพื่ออพยพชาวบ้านตามหมู่บ้านต่างๆ เขาจึงไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป
เขาอยากจะรู้ว่าในดินแดนที่ไม่มีขุนนาง เขายังจะกลายเป็นอัศวินได้หรือเปล่า
หลังจากได้ยินคำพูดของเขาที่ว่า ‘พวกเราต่างก็เป็นคนเหมือนกัน’ สีหน้าของผู้หญิงสองคนนั้นก็ดูผ่อนคลายลง “เป็นแบบนั้น…จริงๆ เหรอ?”
“ตอนที่ข่าวนี้แพร่กระจายในหมู่ขุนนางเมื่อหลายเดือนก่อน พวกตระกูลใหญ่ๆ เหล่านั้นต่างเกลียดชังวิมเบิลดัน แล้วก็บอกว่าเขาเป็นปีศาจที่มาจากนรก” แมนเฟลพยายามออกแรงยิ้ม “แต่ตอนนี้ เกรงว่าพวกเขาคงต้องวิ่งไปหาปีศาจที่น่ากลัวคนนั้นแล้วล่ะ”
คนที่เช็ดตัวให้เขานิ่งเงียบไปครู่ “ทำไมเจ้าถึงช่วยพวกเรา? หรือเจ้าไม่กลัวว่าจะถูกขุนนางคนนั้น…”
“เขาไม่กล้าฆ่าข้าหรอก เพราะว่าข้าเตือนเขาไปแล้ว” แมนเฟลส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่าคนเกรย์คาสเซิลทำการตรวจสอบอย่างแต่ แต่ข้าได้ยินว่าจะมีแม่มดเข้ามาร่วมการตรวจสอบด้วย ไม่มีทางที่จะพูดโกหกได้ ต่อให้เขาไม่คิดว่าการรังแกพวกเจ้าเป็นสิ่งที่ผิด แต่การฆ่าขุนนางนั้นมันเป็นโทษที่ไม่อาจมองข้ามได้อย่างแน่นอน เขารู้เรื่องนี้ดี”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็หอบหายใจขึ้นมาทีหนึ่ง “เออใช่ ข้าชื่อแมนเฟล แคนตีน พวกเจ้าล่ะ?”
น่าตลกจริงๆ นี่เป็นครั้งที่สี่ของวันนี้แล้วสินะที่เขาบอกชื่อของตัวเอง
“ข้าชื่อไทเลน” อีกฝ่ายพูดเสียงเบาๆ “นางชื่อโมโม่” เธอชะงักไปเล็กน้อย เหมือนกำลังติดใจอะไรบางอย่างอยู่ “ขุนนางคนนั้นพูดถูก พวกเราเคยถูกขายให้….”
“ข้าบอกแล้วไง นั้นมันเป็นเรื่องก่อนที่ขึ้นเรือ ไม่พูดก็ไม่เป็นไร” แมนเฟลโบกมือ “ก็เหมือนกับที่คนขับรถม้าที่ส่งข้ามาที่นี่พูดเอาไว้ ไม่ว่าเมื่อก่อนนี้จะเป็นอย่างไร แต่หลังจากนี้จะมีชีวิตใหม่รอพวกเราอยู่ ถ้าไม่เป็นแบบนี้ พวกเราก็ไม่มีทางตัดสินใจออกมาจากวูล์ฟฮาร์ทเพื่อไปยังดินแดนแปลกหน้าที่อยู่ไกลแสนไกลใช่ไหมล่ะ?”
“อูววววว…….”
ในเวลานี้ เสียงหวูดยาวๆ ได้ดังขึ้นมา
ใกล้ได้เวลาออกเรือแล้ว
“กลับไปเถอะ ถ้าถูกคนอื่นแย่งที่จะยุ่งเอาได้” เขาฝืนยันตัวขึ้นมา ถึงแม้ร่างกายจะยังเจ็บปวดอยู่ แต่เขาก็ยังพอฝืนเดินกลับไปที่ห้องโดยได้สาร “ข้าก็เหมือนกัน ระยะทางไกลขนาดนี้ ข้าก็ไม่อยากจะมานอนอยู่ในห้องเก็บของหรอก”
ผู้หญิงทั้งสองคนสบตากัน หลังจากลังเลอยู่ครู่ ไทเลนจึงล้วงเอายาเม็ดสีขาวออกมาจากในกระเป๋าแล้วส่งให้เขา
“นี่คือ…”
“ยาที่ช่วยชะลออาการปวดได้” ไทเลนพูด “ถ้าท่านเจ็บมากจนทนไม่ไหวก็เอามันมาเลียๆ หรือไม่ก็หักมันออกมานิดนึงแล้วกินเข้าไป แต่จำเอาไว้ว่าอย่ากินเยอะ เพราะว่ามันแค่ชะลออาการเจ็บปวด แต่ไม่สามารถทำให้พวกมันหายไปได้”
แมนเฟลรับเอายามาด้วยสีหน้าสงสัย แต่ชะลอแต่ไม่ใด้หยุดความเจ็บปวด บนโลกนี้มียาวิเศษแบบนี้ด้วยเหรอ?
ไทเลนกับโมโม่ไม่ได้อธิบายอะไรอีก พวกเธอหิ้วถังน้ำออกไปจากห้องเก็บของ
แต่ครั้งนี้ทั้งสองคนกลับหยุดเมื่อเดินไปถึงหน้าประตู ก่อนจะโค้งตัวให้เขาแล้วพูดว่า “ขอบคุณนะ ท่านแคสตีน”
แมนเฟลถอนหายใจออกมา
ไม่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกันซักหน่อย ใช่ไหมล่ะ?
แค่นี้ก็พอแล้ว
เขามองดูยาที่อยู่ในมืออยู่ครู่ ก่อนจะลองเอามันมาเลียดู
รสหวานเฝื่อนๆ แผ่กระจายผ่านปลายลิ้นเข้าไปในปาก
น่าจะเป็นยา…ที่ปั้นขึ้นมาจากแป้งข้าวสาลีล่ะมั้ง? หรือไม่ก็เติมน้ำผึ้งลงไปหน่อย
หรือไม่ก็เป็นของที่พวกเธอแอบขโมยมาจากขุนนางที่ซื้อพวกเธอมาเท่านั้น
แต่ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
แค่พริบตานั้นเอง ความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดบนร่างกายเขาพลันหายไป เหมือนกับว่าเขาไม่เคยถูกต่อยมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
……………………………………………………….