Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1332 เรื่องของมนุษย์ทุกคน
“นายท่าน ลูกน้องของข้ารายงานมาว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเมืองกัสต์ถูกพวกเราบุกโจมตี ตอนนี้แมลงพวกนั้นกำลังหนีไปทางใต้แล้วขอรับ!” ร่างยกระดับระดับต้นตัวหนึ่งคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยเข่าข้างหนึ่งพร้อมกล่าวรายงาน
“เจ้าทำดีมาก! ข้าจะรายงานความดีความชอบตรงนี้ให้ท่านสกายลอร์ดรับทราบ” โทโทล็อคพยักหน้าชมเชย “ตอนนี้ยังไม่ต้องไปสนใจทหารที่หนีไป เดินหน้าทำลายแนวรบของพวกแมลงต่อจนกว่าพวกมันจะพังพินาศ!”
“รับทราบ!”
“สงครามครั้งนี้จะนำเอาโอกาสในการยกระดับมาให้พวกเจ้า คว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ดี ไปเอาเลือดของพวกมันมาแลกกับเกียรติยศของพวกเจ้า!”
“รับทราบ!”
กระทั่งร่างยกระดับระดับต้นออกไป โทโทล็อคจึงยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาพร้อมมองไปยังแผนที่ที่พวกขุนนางมอบให้มา “พวกแมลงมันก็เท่านั้นแหละ ท่านเฮคซอดกังวลมากเกินไป บางทีหลุมพรางของพวกมันอาจจะใช้ได้ผลครั้งสองครั้ง แต่มันไม่มีทางที่จะใช้ได้ผลทุกครั้งไป สุดท้ายสงครามก็ตัดสินแพ้ชนะด้วยการใช้พละกำลังเข้าสู้กันซึ่งๆ หน้า แท้ที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าเมื่อ 400 ปีเท่าไร แล้วก็ไม่สามารถชดเชยความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ได้”
“แต่พวกเราเองก็เสียหายไปไม่น้อยเหมือนกัน” หนวดใต้คางของซีอาซิสส่งเสียงซู่ๆ ออก “ใน 8 วันสูญเสียกำลังไปเกือบ 4 หมื่นตัว ทัพหน้าเสียหายไปมากกว่า 30% ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป กำลังที่จะใช้ในการรบหลังจากนี้อาจจะเกิดการขาดแคลนได้”
“แล้วมันยังไงล่ะ? ดื้อรั้นที่จะต่อสู้ แต่สุดท้ายก็พังพินาศ พวกแมลงมันก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ?” โทโทล็อคพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ในสงครามแห่งโชคชะตา มีเพียงเผ่าพันธุ์ที่ยอมรับความสูญเสียได้มากกว่าถึงจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย ตอนนี้ทางตะวันตกของวูล์ฟฮาร์ทอยู่ในมือข้าแล้ว อีกสองเมืองที่เหลือจะทนได้อีกนานเท่าไร? เอาไว้เมื่อไรที่พวกเราโจมตีกระหนาบเข้าไปจากทุกทิศทุกทาง ไม่ช้าพวกมันก็จะสูญเสียจิตใจในการต่อสู้ไป เหมือนกับในตอนนี้นี่แหละ!”
ซีอาซิสไม่ได้คัดค้าน
ถึงแม้มนุษย์จะป้องกันเอาไว้ได้เหนียวแน่นมากกว่าที่มันคิดเอาไว้ แต่ภายในใจมันก็ยังเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย
เพราะมันเคยเห็นสถานการณ์ที่จู่ๆ ศัตรูก็พังทลายลงหลักจากที่ยื้อยุดกันเป็นเวลานานมาหลายครั้งแล้ว มันก็เหมือนกับแม่น้ำน้ำแข็งที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่ง แต่กลับพังทลายลงไปชั่วพริบตา
และสิ่งที่ทำให้มันพังทลายลงก็มักจะเป็นเพียงแค่รอยแตกเล็กๆ รอยหนึ่งเท่านั้น
มนุษย์มักจะทำการป้องกันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นในตอนแรก แต่เมื่อจำนวนทหารที่เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นและพ่ายแพ้ไปครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็จะค่อยๆ สูญเสียความมั่นใจไป ภายในเองก็เปิดการแตกแยก สุดท้ายก็จะสูญเสียจิตใจที่จะต่อไปสู้ไป จำนวนปีศาจของเผ่าพันธุ์ที่ตายไปในตอนแรกมักจะมากกว่าศัตรู แต่ขอเพียงกดดันเข้าไปอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
จนท้ายที่สุด พวกมนุษย์ก็จะหนีไปทันทีที่เห็นพวกตน
นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความกล้าเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นเหมือนอย่างที่โทโทล็อคว่ามา นี่เป็นความต่างกันของทั้งสองเผ่าพันธุ์
พวกเขาจำเป็นต้องพักผ่อนเป็นเวลานาน ต้องกินอาหาร ต้องการเครื่องนุ่งห่มที่อบอุ่นและที่อยู่อาศัยที่กันลมกันฝน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเงื่อนไชที่ยากจะเป็นจริงได้ในเวลาที่ทำสงคราม
มันเคยทำการวิจัยมนุษย์มาอย่างละเอียด ในเวลานี้ต่อให้ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง มันก็สามารถจินตนาการสภาพของอีกฝ่ายได้ว่าย่ำแย่แค่ไหน
การโจมตีอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักเป็นเวลาหลายวัน การใช้ร่างระดับต้นจำนวนมากเป็นเครื่องสังเวย บวกกับความได้เปรียบในเรื่องจำนวน ทำให้มนุษย์นั้นแต่จะไม่มีเวลาพักเพียงพอเลย ช้าเร็วจิตใจของพวกเขาจะต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องอาหารกับที่พักนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เงื่อนไขที่เลวร้ายเหล่านี้จะทำลายขวัญและกำลังใจของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ช้าเร็วข่าวเมืองเมธัลสโตนและเมืองกัสต์พังทลายลงก็จะแพร่กระจายไปในกองทัพ เมื่อทั้งสองเมืองตกอยู่ในมือพวกมัน เมืองแซนด์สโตนกับอ่าวดีพพูลจะทนไปได้อีกนานเท่าไร?
แต่เผ่าพันธุ์ของมันกลับไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือว่าการพักผ่อนก็ล้วนแต่สามารถแก้ไขได้ด้วยละอองชีวิต สงครามยิ่งดุเดือด ความได้เปรียบตรงนี้ก็ยิ่งเห็นได้ชัด
ซีอาซิสเห็นด้วยกับความคิดของเฮคซอด แต่มันก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าสุดท้ายชัยชนะจะต้องตกเป็นของเผ่าพันธุ์มัน มนุษย์นั้นไม่ใช่แมลง พวกเขาพยายามเต็มที่แล้ว
“ข้าจะนำเอาข่าวเรื่องชัยชนะนี้ไปแจ้งท่านสกายลอร์ด การบุกโจมตีหลังจากนี้ฝากเจ้าด้วยล่ะ” มันพูด “อย่าดูถูกอีกฝ่ายล่ะ พยายามใช้กำลังที่มีอยู่ในตอนนี้ยึดเอาวูล์ฟฮาร์ทมาให้ได้ ในเวลานี้พวกเราไม่ควรจะสร้างภาระเพิ่มให้กับแนวหลังของเรา”
โทโทล็อคพ่นไอร้อนออกมา “วางใจได้ ถ้ากำลังไม่พอ ข้าจะลงไปเติมในจุดนั้นเอง”
……
หลังถอยกลับมายังที่ปลอดภัย โจเดลก็หลับไปสิบกว่าชั่วโมง
ในตอนที่เขาตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเพียงว่าทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง ในท้องรู้สึกหิวจนทรมาน เขายื่นมือไปคลำหาเสบียงแห้งในกระเป๋าข้างเอวทันที แต่เขากลับพบว่าชุดบนตัวของเขาถูกเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ บนหัวเตียงเองก็ไม่มีปืนยาวที่คุ้นเคย
ภายในเต็นท์มีเตียงวางอยู่ 10 กว่าหลัง แต่บนเตียงกลับว่างเปล่า
ที่นี่คือ…หน่วยพยาบาลในสนามรบเหรอ?
น่าจะเป็นเพราะตัวเองสลบลงไปหลังจากต้องทนฝืนกับผลข้างเคียงของยาชะลอที่หมดฤทธิ์ เขาถึงได้ถูกเพื่อนทหารส่งมาที่นี่
ไม่รู้ว่าตอนนี้ฟาร์รีจะเป็นยังไงบ้าง
เพื่อที่จะไม่เปิดเผยสถานะของตัวเองออกไป เธอถึงกับยอมทนเจ็บทำลายบาดแผลให้ไม่เหมือนเดิม ถึงแม้มันจะไม่อันตรายจนถึงชีวิต แต่เกรงว่าคงต้องใช้เวลานานกว่าจะรักษาให้หายกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เมื่อคิดถึงว่าช่วงครึ่งปีมานี้ตัวเองใช้เวลาอยู่กับเทพธิดา โจเดลพลันรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา เห็นๆ อยู่ว่าในตอนที่ถอยออกมาจากเมืองกัสต์ เขายังไม่ได้มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลย
แต่ความกระสับกระส่ายและความไม่สบายใจก็ถูกความหิวอย่างรุนแรงพัดหายไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่รีบหาอะไรกิน ตัวเขาอาจจะล้มลงไปอีกครั้งก็ได้
โจเดลค่อยๆ คลานลงมาจากเตียง ก่อนจะลากสังขาลอันอ่อนล้าเดินออกมานอกเต็นท์
คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนที่เลิกผ้าคลุมเต็นท์ขึ้นมา กลิ่นเนื้อหอมๆ จะพัดโชยมาเข้าจมูกของเขา กลิ่นหอมที่เย้ายวนใจนี้เหมือนกับกลิ่นหอมจากสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าตื่นแล้วเหรอ?” นางพยาบาลคนหนึ่งสังเกตเห็นเขาทันที “เบื้องบนเคยสั่งเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่ายาชะลอนี่ห้ามกินต่อเนื่อง ถ้าเจ้ากินเข้าไปอีกเม็ดหนึ่ง เจ้าคงไม่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้หิวจนตาลายแล้วล่ะสิ มา เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปโรงอาหาร”
หลังเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในเต็นท์หลังใหญ่หลังหนึ่ง โจเดลพลันรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
เขาเห็นถังเหล็กตั้งเรียงอยู่บนโต๊ะ ในนั้นมีอาหารร้อนๆ ใส่อยู่เต็ม ตั้งแต่เนื้อสเต็กไปจนถึงน้ำซุป อะไรที่ควรมีก็มีทั้งหมด ทุกคนยืนเรียงแถวถือถาดเหล็กเดินผ่านโต๊ะ ในตอนที่อาหารในถังเหล็กลดลงไปมากกว่าครึ่งก็จะมีคนมาเติมอาหารเข้าไปใหม่ — อาหารเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอาหารที่หน่วยสนับสนุนทำขึ้นมาใหม่สดๆ ร้อนๆ
แต่ว่า…นี่มันจะฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่า?
ในฐานะที่เป็นนายพรานชาวโมเกนที่เคยร่วมล่ากับเผ่าเล็กๆ เผ่าอื่นอยู่บ่อยๆ เขาย่อมต้องรู้ว่าการขนอาหารสดๆ ไปให้คนกลุ่มหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากขนาดนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงสงครามเลย! เห็นๆ อยู่ว่ากองทัพที่หนึ่งนั้นยังขาดแคลนกำลังพลและกระสุนอยู่ แล้วพวกเขาจะเอาความสามารถในการขนส่งอันล้ำค่ามาใช้กับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ในตอนที่โจเดลถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกไป พยาบาลคนนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ของกินพวกนี้ไม่ได้ขนมาจากเกรย์คาสเซิล พวกมันมาจากเมืองต่างๆ ในอาณาจักรดอว์น ส่วนคนที่ขนพวกมันมาก็ไม่ใช่กองทัพที่หนึ่งกับพวกพ่อค้า หากแต่เป็นคนที่พวกเจ้าช่วยออกมาพวกนั้น”
“คนที่พวกข้าช่วย…ออกมา?”
“ถูกต้อง” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ในนั้นมีทั้งผู้อพยพจากอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ท คนส่วนหนึ่งเดินทางไปที่เนเวอร์วินเทอร์ แต่คนอีกส่วนหนึ่งอยากจะอยู่ที่นี่ โดยหวังว่าจะทำอะไรเพื่อต่อสู้กับปีศาจได้บ้าง ของกินพวกนี้ก็เป็นของที่พวกเขาค่อยๆ เข็นมาหรือค่อยๆ แบกมาทีละน้อยๆ”
โจเดลไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เขาเองก็เคยทำภารกิจอพยพชาวบ้านมา บอกตามตรง ตอนแรกผู้อพยพเหล่านี้ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไร แถมบางครั้งยังมีการทะเลาะกันด้วย เขาเคยแอบบ่นเรื่องนี้ให้เพื่อนของตัวเองฟังเงียบๆ แล้วก็มองพวกเขาว่าเป็นพวกคนโง่ที่ไร้ทางเยียวยา แต่ตอนนี้พวก ‘คนโง่’ เหล่านี้กลับเอาอาหารร้อนๆ มาให้เขากิน
“ไม่ใช่แค่คนที่ถูกช่วยมานะ” น้ำเสียงของพยาบาลฟังดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด “พวกพ่อค้าของอาณาจักรดอว์นเองก็อยู่ฝั่งพวกเราเหมือนกัน พวกเขาไม่เพียงแต่มอบม้ามาให้เป็นจำนวนมาก แต่พวกเขายังลดราคาค่าอาหารให้ด้วย ทุกคนที่อยู่ที่นี่ถึงได้มีข้าวร้อนๆ ให้กิน”
เธอเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะมองโจเดลพร้อมยิ้มเล็กน้อย “นี่แสดงให้เห็นว่าเรื่องที่พวกเรากำลังทำสงครามเพื่อมนุษย์นั้นกำลังค่อยๆ เป็นที่ยอมรับของทุกคนใช่หรือเปล่า? พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าก็จะรู้สึกร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรงทันทีเลยล่ะ!”
……………………………………………………