Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1349 เวลา
คำอธิบายนี้ค่อนข้างจะฝืนไปเสียหน่อย แต่อันนากับบุ๊คเองไม่สามารถตรวจหาอะไรมากกว่านี้ได้เหมือนกัน
หลังตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิร่างกาย การหายใจหรือกระทั่งชีพจรก็ล้วนแต่ปกติทุกอย่าง แม้แต่ตัวโรแลนด์เองก็ยังรู้สึกแปลกใจอย่างมาก อาการเป็นลมที่ว่ามาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เหมือนว่าจู่ๆ สติของตัวเองก็ถูกตัดขาดไปอย่างไรอย่างนั้น ระหว่างทางที่กลับมาจากเนินทิศเหนือล้วนแต่จำอะไรไม่ได้เลย
ในระหว่างการตรวจสอบ เขาเองก็ทราบสถานการณ์หลังจากที่เขาเป็นลมสลบไปจากปากบุ๊ค
มีหลายคนได้ยินเสียงร้องตกใจของอันนา แต่ไม่มีใครเห็นภาพวินาทีที่เขาล้มลง ในตอนที่โรแลนด์หมดสติไป ไนติงเกลรีบดึงทั้งสองคนเข้าไปในหมอกมายา จากนั้นอันนาก็ออกมาอธิบายว่าเธออุทานร้องออกมาเพราะว่าเธอลื่นจนเกือบจะล้มลงไปกับพื้นเพื่อปิดบังเรื่องนี้เอาไว้
ส่วนเรื่องที่ฝ่าบาทเสด็จไปไหนนั้น ทุกคนกลับไม่ได้สนใจอะไร เพราะทุกคนต่างรู้สึกความน่ากลัวของพลังของไนติงเกลดี การจะทำร้ายฝ่าบาทต่อหน้าเธอนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์คอยเดินตามเวลาที่มีเธอคอยปกป้อง อีกอย่างตารางการเดินทางของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยบอกพวกเขา การที่ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่อื่นต่อหลังจากการทดสอบโทรเลขสำเร็จเรียบร้อยจึงเป็นเรื่องปกติ
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ คนที่คอยเฝ้าอยู่ข้างกายเขาจึงมีแค่อันนา บุ๊คและไนติงเกลสามคน แม้แต่สมาชิกของสโมสรแม่มดคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครรู้
เมื่อฟังถึงตรงนี้ โรแลนด์ก็รู้สึกโล่งใจ
ต้องยอมรับเลยว่าไนติงเกลทำการตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุดในเวลาที่สำคัญ ตอนนี้งานทุกอย่างในเกรย์คาสเซิลมารวมอยู่ที่เขา ด้านนอกเองก็มีศัตรูที่ต้องต่อสู้ ทุกคนต่างต้องทุ่มเทอยู่กับการทำสงครามแห่งโชคชะตา ถ้าในเวลานี้เขาล้มลงไป มันจะต้องทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาแน่นอน ต่อให้เป็นการสลบไปเป็นเวลาสั้นๆ มันก็จะทำให้คนพากันคาดเดาเกี่ยวกับร่างกายของเขาไปต่างๆ นาๆ
วิธีจัดการที่ดีที่สุดก็คือทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
“ขอบคุณเจ้ามากนะ” โรแลนด์ยิ้มให้ไนติงเกล
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ฉวยโอกาสขอเครื่องดื่มยุ่งเหยิงเพิ่มเหมือนทุกที หากแต่พูดเสียงเบาๆ ว่า “ไม่ ไม่เป็นไรเพคะ…พระองค์ไม่เป็นไรก็ดีแล้วเพคะ”
หลังกินอาหารที่พ่อครัวทำมาเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าพอดี
โรแลนด์คิดจะกลับไปแก้แบบเฮฟเวนเฟลมที่ห้องทำงาน แต่อันนากลับบอกให้เขากลับไปพักผ่อนโดยอ้างว่าเขาไม่สบาย เขาจึงต้องทำตามที่เธอบอกอย่างจนปัญญา และยกเลิกการเข้าไปในโลกแห่งความฝันในคืนนี้ด้วย — เพราะการที่จู่ๆ ก็สลบไปก็ทำให้เขารู้สึกกลัวเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เคยเกิดเรื่องเศร้าขึ้นมาเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอมาแล้ว พักผ่อนอีกซักหน่อยก็ไม่ถือเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร
หลังกล่าวราตรีสวัสดิ์ ทั้งสามคนก็ทยอยเดินกลับห้องตัวเอง
หลังประตูปิดลง ภายในห้องก็ตกอยู่ในความมืดทันที เหลือเพียงแค่แสงไฟจากในเมืองที่ลอดผ่านจากนอกหน้าต่างเข้ามา
หลังผ่านไปประมาณ 15 นาที โรแลนด์ก็ได้ยินเสียงซ่าๆ ดังขึ้นมา
ภายในห้องนอนที่เงียบสงบไม่มีลม ปลายผ้าม่านกำมะหยี่กลับสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย
เขาหันหน้าไปมอง เงาดำเงาหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าต่าง บดบังแสงไฟเอาไว้ แสงไฟที่ส่องมาจากด้านหลังทำให้ขอบโครงร่างของเงานั้นกลายเป็นสีเงินเล็กๆ
ภาพนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงภาพในอดีต
โรแลนด์นั่งขึ้นมาก่อนจะพูดอย่างไม่รู้สึกแปลกใจออกไป “ตอนนี้บอกข้าได้แล้วใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เงาดำเดินเข้ามาในหน้าต่าง เผยให้เห็นผมลอนที่ดูสวยงาม
คนที่มาคือไนติงเกล
“พระองค์ทรงรู้ว่าหม่อมฉันจะมา?” เธอตกตะลึงเล็กน้อย
“ปกติเจ้าไม่เป็นแบบนี้” โรแลนด์ยิ้มพร้อมส่ายหัว เขาหยิบเอาหินเรืองแสงออกมาจากบนหัวเตียง ก่อนจะเอามันวางไปในตะเกียง แสงสีเหลือนวลสว่างขึ้นมาในห้องทันที “สีหน้าของเจ้าเมื่อครู่นี้มันได้บอกทุกอย่างมาหมดแล้ว”
“อย่างนั้นอันนานาง…” ไนติงเกลเอามือปิดหน้าทันที
“ข้าเดาว่านางก็คงจะสังเกตเห็นเหมือนกัน? นางถึงได้บอกให้ข้าอยู่ในห้องนอน” โรแลนด์ถอนหายใจ “แต่ในเมื่อนางไม่ได้ถามอะไร ก็หมายความว่านางเห็นด้วยกับเจ้าในเรื่องนี้ ถ้าเจ้าคิดว่าไม่อาจให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ได้ นางก็คงจะไม่ถามอะไรต่อ”
นี่คือความเชื่อใจอย่างหนึ่ง
สายตาของไนติงเกลเผยให้เห็นแววตาสับสน
“บอกตามตรงข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน” โรแลนด์พูดต่อ “ที่ข้าบอกทั้งตัวรู้สึกสบาย ไม่ได้มีความผิดปกติตรงไหนมันไม่ใช่คำพูดโกหกที่พูดขึ้นมาเพื่อจะปลอบใจพวกเจ้า หากแต่เป็นความรู้สึกของข้าจริงๆ เจ้าเองก็ฟังออก แต่ทำไมตอนนั้นถึงดูลังเล? เจ้ากำลังกังวลอะไร?”
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย “คนที่รู้เรื่องที่พระองค์สลบไป ไม่ได้มีแค่สามคนเพคะ”
“ไม่ได้มีแค่สามคน?”
“นาน่าไม่อยู่ที่เนเวอร์วินเทอร์ ลิลลี่ก็ไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ ตอนนั้นไม่มีใครที่จะวิเคราะห์อาการของพระองค์ได้เลย” ไนติงเกลค่อยๆ พูด “ในตอนที่ร้อนใจ หม่อมฉันคิดถึงคนๆ หนึ่ง…ถึงแม้นางจะไม่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้ แต่อย่างน้อยนางก็สามารถทำการวิเคราะห์ในภาพรวมได้ หม่อมฉันก็เลยพานางเข้ามาในห้องโดยปิดบังอันนาเอาไว้”
“เจ้าหมายถึง..”
“โมโม่เพคะ”
โรแลนด์ใจเต้นขึ้นมา นี่เป็นคนที่เหมาะสมจริงๆ แนวโน้มของอายุขัยมันสามารถบอกอะไรได้หลายๆ อย่าง การที่ไนติงเกลสามารถจัดการความคิดและหาวิธีจัดการที่ถูกต้องได้ในสถานการณ์ที่วุ่นวายแบบนั้น ถือว่าเธอเติบโตขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ดูคร่ำเคร่งของอีกฝ่าย เขาแอบรู้สึกว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีซักเท่าไร
“โมโม่มองเห็นอะไร?”
“….14” ไนติงเกลจ้องเขาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ออกมา “ตัวเลขลดลงจาก 17 เหลือ 14 เพคะ”
“ลดลง…3 ปีเหรอ?” โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา นี่มันออกจะน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย ถ้าเป็นอาการป่วย มันก็น่าจะมีสัญญาณเตือนสิ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกสดชื่นแข็งแรงอย่างมาก ไม่ได้มีท่าทีว่าจะไม่สบายเลย
ไนติงเกลเหมือนจะเดาความคิดเขาออก “ไม่ใช่โรค แล้วก็ไม่ใช่การเหนื่อยล้า…หม่อมฉันไปเทียบดูกับนักโทษที่อยู่ในเขตเหมืองดูแล้ว ไม่มีใครเหมือนกับพระองค์เลย การที่อายุขัยลดลงใน 3 ปีในเวลาไม่กี่เดือน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่อย่างนั้นเวลาที่ผ่านมา 4 – 5 ปีนี้ก็เท่ากับว่าอายุขัยของพระองค์ลดลงไป 30 – 40 ปีแล้ว นี่มันน่าจะเริ่มขึ้นในช่วงนี้เพคะ”
จะพูดแบบนี้มันก็มีความเป็นไปได้อยู่ โรแลนด์ลูบคางตัวเอง “แต่ช่วงนี้มันก็ไม่มีเรื่องอะไรผิดปกตินี่นา…”
“ไม่ มีอยู่อย่างหนึ่งเพคะ” ไนติงเกลโน้มตัวลงมา “บางทีพระองค์อาจจะไม่ทันได้สังเกต แต่หม่อมฉันรู้ดีกว่าใคร ในช่วงหลายเดือนมานี้ ความถี่ในการเข้าไปในโลกแห่งความฝันของพระองค์เพิ่มมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า นอกจากเรื่องนี้แล้ว หม่อมฉันก็หาสาเหตุอื่นไม่เจอแล้วเพคะ!” เธอยื่นมือมากุมมือโรแลนด์เอาไว้ น้ำเสียงในการพูดเองก็เปลี่ยนไป “รับปากหม่อมฉันได้ไหมเพคะ อย่าเข้าไปในโลกแห่งความฝันอีกเลยนะเพคะ!”
อย่างนี้นี่เอง โรแลนด์เข้าใจทันที ใช่แล้ว ในช่วงหลายเดือนมานี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าโลกแห่งความฝันอีกแล้ว สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่จำนวนครั้งในการเข้าไปในโลกแห่งความฝัน หากแต่เป็นแกนพลังแห่งธรรมชาติที่ถูกดูดซับเหล่านั้น จากที่มิสต์บอกมา โลกแห่งความฝันจะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จากพลังเวทมนตร์ที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่งมันเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า เขาไม่รู้ว่าสุดท้ายโลกแห่งความฝันจะกลายเป็นแบบไหน แต่เขากลับรับรู้ถึงการเติมเต็มตัวเองของอีกโลกหนึ่งได้อย่างชัดเจน
และในฐานะที่เป็นผู้สร้างซึ่งมีความใกล้ชิดกับมันมากที่สุด มันก็เป็นไปได้ที่ความกดดันที่เขาได้รับมันจะเพิ่มขึ้น
ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว ที่มิสต์พูดย้ำว่า ‘เหลือเวลาไม่มากแล้ว’ บางทีมันอาจจะไม่ได้หมายถึงเจตจำนงของพระเจ้า หากแต่หมายถึงตัวเขาต่างหาก
………………………………………………………………