กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1054.1 เคยมีคนพูด
เมื่อเจ้ากรมผู้เฒ่าเรียกขานเช่นนี้ ฮ่องเต้ต้าหลีไม่ได้พูดอะไร เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ฟ้ าของแจกันสมบัติทวีปจะเปลี่ยนสีอีกแล้วหรือ?
ซ่งเหอยิ้มบางๆ เอ่ยเดือนว่า “ฟ่านซานจวิน?”
รอกระทั่งคนชุดเขียวมานั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างเปล่าตัวนั้น ฮ่องเต้ที่ เดิมทีปวดหัว ตอนนี้กลับเปลี่ยนมาเป็ นคนอื่นที่ต้องปวดหัวบ้างแล้ว ลมและน้าหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน ไฉนต้องรอถึงสามสิบปีแค่ชั่วครู่ก็ได้ แล้ว
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของคนมากมาย ต่อให้ฟ่ านจวิ้น เม่าจะไม่ยินยอมพร ้อมใจแค่ไหนก็ยังได้แต่ยื่นมือออกมาปาดหนึ่งครั้ง เห็นเพียงว่าซานจวินหญิงร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต รวบรวม ปราณน้าในห้องมาเป็ นกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่ง จากนั้นนางก็เป่า ลมลงไปเบาๆ หนึ่งที ไอน้ามารวมตัวกันกลายเป็ นน้าหมึกสีทอง ใช ้ นิ้วแต้มลงไปฟ่ านจวิ้นเม่าที่โมโหอย่างหนักกาลังจะ “จรดพู่กันลงบน กระดาษ” ก็เห็นว่าพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าที่นั่งฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีเว่ยป้ อเป็ นหนึ่งในนั้นต่างก็มองมาทางตน โทสะของนางก็ไม่รู ้ว่า ผุดมาจากไหน พอดีกับที่มีที่มาให้ระบาย นางไม่สะดวกจะกล่าววาจา รุนแรงต่ออิ่นกวานหนุ่มที่ยอมช่วยในเรื่องใหญ่อย่างฉายาเทพ แต่
เหล่าเหนียงจะยังกลัวพวกเจ้าด้วยหรือ “มองอะไรกัน พวกเจ้ามา เขียนเองไหม?!”
เว่ยป้ อคร ้านจะถือสาฟ่ านจวิ้นเม่า ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขา สายน้าคนอื่นๆ ที่แค่เหลือบมองไม่กี่ทีก็ถูกตวาดใส่นั้นไม่อยากจะมี เรื่องกับซานจวินขุนเขาใต้ที่มีฉายาเทพใหม่เอี่ยมว่า “ชุ่ยเวย” ผู้นี้
เพราะถึงอย่างไรหากว่ากันในบางความหมาย ภูเขาจื่อถงก็ไม่ได้ อยู่ในอาณาเขตของแคว้นต้าหลี ถ้าอย่างนั้นวันหน้าฟ่ านจวิ้นเม่าก็ คือผู้นาของผืนแผ่นดินทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปแล้ว บวกกับที่ ตอนนี้ทางทิศใต้ยังไม่มีสานักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ ถ้าอย่างนั้นคนที่ ควบคุมฟ่ านจวิ้นเม่าและภูเขาจื่อถงได้ก็เหมือนจะมีแค่ศาลบุ๋นแห่ง เดียวเท่านั้น
กลับเป็ นถงเหวินช่างที่ให้ความเคารพฟ่ านจวิ้นเม่าอยู่มากที่เปิด ปากเอ่ยว่า “รบกวนฟ่ านซานจวินท าธุระส าคัญให้เสร็จ พวกเราทั้ง ห้องต่างก็รออยู่นะ”
แต่ไหนแต่ไรมาถงซานจวินก็วิจารณ์ที่เรื่องไม่วิจารณ์ที่ตัวบุคคล อยู่แล้ว
ไฟโทสะของฟ่ านจวิ้นเม่าลุกสูงสามจั๋ง “เจ้าคนแช่ถง ข้าไปขัด เจ้าตรงไหน? มีเวลาว่างออกไปพ่นควันข้างนอกได้ แต่ไม่มีเวลาว่าง มารอข้าเขียนรายชื่อรี?”
ถงเหวินช่างยังคงพูดด้วยน้าเสียงเนิบนาบว่า “หากฟ่ านซานจวิ นต้องใช ้เวลาเซียนซือนาน ข้าก็จะออกไปสูบยาข้างนอกรอ”
ฟ่านจวิ้นเม่าสะอึกอึ้งไปทันใด
เจียงซ่างเจินที่นั่งเป็ นเทพทวารบาลอยู่หน้าประตูยิ้มชอบใจ มี กลิ่นอายของการประชุมในศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนอยู่บ้าง
แล้ว
เรื่องการถอนป้ ายศิลา ราชสานักล่างภูเขาที่กอบกู้แคว้นและ ก่อตั้งแคว้น รวมไปถึงแคว้นใต้อาณัติทั้งหลาย ต่างก็อยากจะขจัด อิทธิพลที่หลงเหลืออยู่ของราชสานักต้าหลีให้สิ้นซาก ส่วนจวนเซียน และพรรคทั้งหลายที่พลังชีวิตค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา หรือไม่ก็ช่วงไม่กี่ปี มานี้เพิ่งเปิดภูเขาก่อตั้งพรรคกลับอยากจะฟื้นคืนสถานการณ์อย่าง ก่อนสงครามขึ้นมาอีกครั้ง เป็ นเทพเซียนบนภูเขาของพวกเขาต่อไป ไม่ได้รับพันธนาการจากกฎระเบียบใดๆ ในโลกมนุษย์ แต่เมื่อมีป้ าย ศิลาบนยอดเขาเหล่านั้น สาหรับที่ว่าการของราชสานักบางแห่งที่มิ อาจทัดเทียมกับเทพเซียนบนภูเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้าน ล่างภูเขา หากพบเจอกับปัญหาใดๆ ก็จะ “มีกฎหมายให้ปฏิบัติตาม มีเหตุผลให้สืบเสาะ” สามารถอาศัยสิ่งนี้มาฟ้ องร ้องต่อส านักศึกษาได้ นี่จึงเป็ นเหตุให้ป้ ายหินทุกแผ่นคือพันธนาการอย่างหนึ่งที่มีต่อผู้ฝึก ตนบนภูเขา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็ นผู้ฝึกตนท าเนียบหรือผู้ฝึกตนอิสระแห่ง ป่ าเขา ต่างก็ไม่ยินดีที่จะให้ป้ ายศิลาอยู่บนภูเขานานเกินไป ทางที่ดี
ที่สุดคือกลายไปเป็ นปฏิทินเหลืองเก่าแก่หน้าหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปก็ ถูกโยนทิ้งไว้ข้างๆ ไม่มีใครไปถามถึงอีก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งอยู่ที่นี่ต่างก็รู ้เรื่องนี้กันดีแก่ใจ
สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เพราะราชสานักของแต่ละแคว้นและ เหล่าเซียนซือบนภูเขาต่างก็อยากมีอิสระที่แท้จริง
ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาละเมิดกฎ ยกตัวอย่างเช่นต่อให้เกิดข้อ พิพาทที่มีคนตายนอกภูเขา ก็แค่ปิดประตูให้นายท่านเทพเซียนและ ขุนนางในท้องถิ่นปรึกษาพูดคุยกัน อย่างมากก็แค่จ่ายเงินฟาด เคราะห์ หรืออาจไม่ต้องจ่ายเงินด้วยซ้า ราชสานักแค่จ่ายเงินบารุง ขวัญให้ก้อนหนึ่งก็สามารถทาเรื่องใหญ่ให้กลายเป็ นเรื่องเล็ก ทา เรื่องเล็กให้กลายเป็ นไม่มีเรื่องเลยได้แล้ว
ใครบ้างที่ไม่อยากมี ชีวิตของเทพเซียน” ที่ฟ้ าไม่สนดินไม่สน จากไปแล้วไม่ต้องหวนกลับคืนมาเช่นนี้
ต่อให้วันหน้าสานักศึกษาลัทธิขงจื๊อจะยื่นมือเข้าแทรกกับ เรื่องราวต่างๆ มากกว่าเดิมทว่านี่ก็ถือเป็ นแนวโน้มของสถานการณ์ ใหญ่ ทว่าการที่สกุลซึ่งต้าหลีของพวกเจ้าถอยกลับไปยังอาณาเขต ทางทิศเหนือของลาน้าใหญ่แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องมาควบคุมนั่นนี่ สอดมือเข้าแทรกกิจการภายในแคว้นของผู้อื่นตามใจชอบอีก
ฟ่ านจวิ้นเม่าเขียนรายชื่อฉบับนั้นเสร็จอย่างรวดเร็ว ลายมือหวัด มาก จากนั้นนางก็ผลักไปทางเก้าอี้ตัวนั้นเบาๆ
ไม่เห็นว่าเฉินผิงอันจะมีท่าทางหรือสร ้างริ้วลมปราณอย่างไร กระดาษแผ่นนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางลอยไปที่ข้างโต๊ะได้อย่างไร ้ร่องรอย ฮ่องเต้ซ่งเหอกวาดตาอ่านก่อนแล้วค่อยพยักหน้า คีบกระดาษแผ่น นั้นขึ้นมา ยิ้มมองไปทางเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันถึงได้ยื่นมือไปรับกระดาษแผ่นนั้น เอ่ยว่า “จะไม่ทาให้ ฟ่านซานจวินต้องลาบากใจเด็ดขาด ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ ล้วนปรึกษากันได้เสมอ ในอนาคตเมื่อพวกเขาเดินทางมาเยือนเมือง หลวงต้าหลี ไม่แน่ว่าอาจจะยังทาการค้าบนภูเขาที่ต่างคนต่างได้ ผลประโยชน์กับต้าหลีเพิ่มเติมก็เป็ นได้ ดังนั้นขอให้ฟ่ านซานจวิ นช่วยน าความจริงใจของต้าหลีพวกเราไปยังขุนเขาใต้ด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ ้อน เกิดความเข้าใจผิดกัน กลายเป็ นว่าจากที่ไม่มีเรื่องกลายเป็ นมีเรื่อง จากเรื่องดีกลายเป็ นเรื่อง ร ้าย”
ฟ่านจวิ้นเม่าพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
วันนี้เจ้าเป็ นเจ้าบ้าน อยู่ใต้ชายคาคนอื่นจาต้องก้มหัวต่า ปล่อย ให้เจ้าส าแดงอ านาจบารมีไปก่อนก็แล้วกัน แต่ฝากไว้ก่อนเถอะ วัน หน้าเมื่อเจ้าเฉินผิงอันไปเยือนภูเขาจื่อถิงหรือภูเขาไฉ่จือ ไม่กินน้า แกงประตูปิดหลายๆ ชาม เหล่าเหนียงจะเปลี่ยนไปใช ้แช่ตามเจ้าเลย!
“ฟ่านซานจวินตกหล่นรายชื่อไปสองสามชื่อหรือไม่?”
เฉินผิงอันก้มหน้าอ่านรายชื่อบนกระดาษแล้วเงยหน้าขึ้น โบก กระดาษในมือเบาๆ ยิ้มเอ่ย “น้าหนักเบาไปสักหน่อย”
ล้วนเป็ นพวกปลาตัวเล็กตัวน้อย ในรายชื่อแผ่นนี้ ราชวงศ์หลง หงที่มีกองกาลังแคว้นแข็งแกร่งมากที่สุด บางทีรากฐานอาจจะไม่ต่าง จากแคว้นหวงถิงสักเท่าไรเลยด้วยซ้า
จวนเซียนที่ใหญ่ที่สุดอย่างภูเขาเฟิงเจี่ยว เจ้าขุนเขาที่เป็ นเจ้า ประมุขเป็ นแค่ขอบเขตก่อกาเนิดคนหนึ่ง ยามที่ทาสงครามก็ไม่เคย เห็นเงาของเซียนซื่อพรรคเฟิงเจี้ยวสักเท่าไร คนทั้งพรรคเหมือนหาย ตัวไปอย่างลึกลับ หลังสงครามจบถึงได้ย้อนกลับมายังมาตุภูมิเดิมมี หน้ามีตาอย่างถึงที่สุด นอกจากจะนาป้ ายวิญญาณศาลบรรพจารย์ กลับมาตั้งวางอีกครั้งยังซื้อพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลอีกเจ็ดแปดแห่งที่ไร ้ เจ้าของในราคาที่ต่ามากมาไว้ในกระเป๋ าตัวเองรวดเดียว สมาชิกศาล บรรพจารย์ในทุกวันนี้ ไม่พูดถึงสถานะเค่อชิงบนภูเขา ลาพังแค่เซียน ซือที่มียศเป็ นราชครู เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ของเชื้อพระวงศ์ก็มีมากถึงห้าหกคนแล้ว นั่งตกปลาอย่างมั่นคง กวาดทรัพย์สมบัติมาเก็บไว้จนเรียบ ได้ก าไรเป็ นกอบเป็ นก า
หากเฉินผิงอันจาไม่ผิด ช่วงนี้ก็มีคลื่นมรสุมบนภูเขาที่เกี่ยวข้อง กับภูเขาเฟิงเจี่ยวอยู่เรื่องหนึ่ง ผู้คนพูดถึงกันอย่างดุเดือด เนื่องจาก ซากปรักของพรรคแห่งหนึ่งถูกภูเขาเฟิงเจี่ยวเป็ นนกพิราบยึดครอง รังนกกางเขน จึงไปขอความเป็ นธรรมจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของ แคว้นตัวเอง ผลคือการประชุมที่เดิมทีฮ่องเต้ควรตัดสินใจอย่างเป็ น
ธรรมและเด็ดขาด ผู้ที่เข้าร่วมประชุมนับตั้งแต่เจินเหรินผู้พิทักษ์ แคว้นคนใหม่ไปจนถึงผู้ถวายงานหลักรองล้วนมีแต่เซียนซือของ ภูเขาเฟิงเจี่ยวทั้งสิ้น
แล้วก็จริงดังคาด ฮ่องเต้พระองค์นั้นได้แต่เป็ นกาวประสานใจ เป็ นคนกลางไกล่เกลี่ยให้กับเรื่องนี้ ด้านหนึ่งพูดปลอบใจคนให้เรื่อง สงบ หาเงินด้วยความปรองดอง อย่าให้คนนอกเห็นเรื่องตลก ด้าน หนึ่งก็เข้าข้างภูเขาเฟิงเจี่ยว เจ้าประมุขขอบเขตโอสถทองที่ความ โกรธแค้นอัดสุมอยู่เต็มอกป่าวประกาศทันทีว่าจะพาผู้ฝึกตนท าเนียบ ทุกคนย้ายไปอยู่ทางเหนือของลาน้าใหญ่ มาสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งต้า หลี ราชส านักไม่สนใจ ไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย ฮ่องเต้เอ่ยแค่ ประโยคตามมารยาทอย่างบางเบาไม่กี่ประโยค แสดงออกอย่าง ชัดเจนว่าคร ้านจะรั้งเอาไว้แล้ว อยากจะไปไหนก็ไปเถิด วันนี้ไม่ เหมือนวันวาน ทุกวันนี้ราชสานักไม่ขาดแคลนพรรคเล็กๆ ที่พื้นที่ ประกอบพิธีกรรมแตกสลายไปเกินครึ่ง เส้นสายการสืบทอดก็ขาด ช่วงชักหน้าไม่ถึงหลังอย่างพวกเจ้าหรอก
บิดาเมตตาบุตรกตัญญู คานบนตรงคานล่างก็ตรง บิดาไม่ เมตตาบุตรก็ยากจะกตัญญู คานบนไม่ตรงคานล่างย่อมเอียง นี่ก็คือ หลักการเหตุผลทั่วไป
ต้นกาเนิดน้าขุ่น น้าก็ไม่มีทางใส คนที่กระทาการไม่น่าเชื่อถือ ชื่อเสียงย่อมได้รับความเสียหาย เป็ นเหตุให้ต้องปรับแก้ต้นตอให้ใส
สะอาด เมื่อหยัดยืนมั่นคงมรรคาก็ก่อกาเนิด ทะเลสะอาดแม่น้าลา คลองใส
ตนมอบรายชื่อไปให้แล้ว เฉินผิงอันถึงกับยังไม่รู ้จักพอ นี่ไม่ใช่ ได้คืบจะเอาศอกแล้วจะเรียกว่าอะไร
ฟ่านจวิ้นเม่าตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่เพิ่มรายชื่อที่เหลือเข้า ไปอีก ขณะเดียวกันวันหน้าก็จะไม่เข้าร่วมการประชุมใดๆ ของเมือง หลวงต้าหลีอีกแล้ว นางหัวเราะหยันเสียงเย็นชา “นอกจากราชส านัก ของแต่ละแคว้นและพรรคบนภูเขาแล้ว ในเรื่องนี้ราชครูเฉินอย่าลืมล่ะ ว่ายังมีพวกตระกูลมีอานาจที่ชอบใช ้อานาจบาตรใหญ่ที่รู ้สึกว่าใน เรื่องนี้สกุลซ่งต้าหลีไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว บีบคั้นคนอื่นมาก เกินไปอย่างไร ้เหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสานักศึกษา ทางการและสานักศึกษาส่วนตัว เหล่าบัณฑิตที่เดือดดาลเจ็บแค้นที่ โวยวายว่าจะไปทวงคาอธิบายจากสานักศึกษากวานหูก็มีมากยิ่งกว่า ในบรรดานั้นมีปัญญาชนที่มีชื่อเสียงในวงการประพันธ ์ไม่น้อยที่ ต้องการให้ส านักศึกษาออกหน้ามาเชิญสมาชิกกรมพิธีการบางคน ของพวกเจ้า จะได้มายันกันต่อหน้ากับราชส านักต้าหลีไปเลย”
ในเมื่อพวกเราสองคนต่างก็ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นขนาดนี้ อย่างมาก ข้าฟ่ านจวิ้นเม่าก็แค่เป็ นแพะรับบาปแทน ความปวดหัวผ่านไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวที่เจ้าเฉินผิงอันและราชส านักต้าหลีต้องล าบากใจ บ้างแล้ว
จ้าวตวนจิ่นเจ้ากรมพิธีการสีหน้าไร ้อารมณ์
ยันกันต่อหน้า? นี่คือพวกคนที่กินอิ่มนอนหลับวันๆ ไม่ต้องคิด อะไรมากอย่างพวกเจ้าเลือกชื่อเรียกร ้องให้เว่ยหลี่เจ้ากรมพิธีการคน ใหม่ของลั่วจิงเมืองหลวงสารองต้าหลืออกหน้ามาทะเลาะกับพวกเจ้า หรือรู ้สึกว่าตาแหน่งขุนนางมีน้าหนักไม่มากพอ เรียงร ้องให้เจ้ากรม พิธีการเมืองหลวงต้าหลือย่างข้าต้องไปเยือนส านักศึกษากวานหูด้วย ตัวเองรอบหนึ่ง?
“เข้าใจได้”
เฉินผิงอันพับกระดาษแผ่นนั้นเบาๆ เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ พยักหน้ายิ้มเอ่ย “แต่ไม่ยอมรับ”
หลังจากที่เฉินผิงอันนั่งลงแล้ว เจ้ากรมผู้เฒ่าเสิ่นเฉินก็ไม่ได้งีบ หลับอีก สองมือของผู้เฒ่าค้ายันไว้บนหัวไม้เท้า ยิ้มตาหยีอยู่ ตลอดเวลา
ประโยคนี้ข้าชอบฟัง
จิตใจผ่อนคลาย แต่ปากของเจ้ากรมผู้เฒ่ากลับหัวเราะร่าเอ่ย ค าพูดอีกอย่างหนึ่งว่า “เสียงของคนจานวนมากพูดไปพูดมาทาให้ เรื่องผิดกลายเป็ นถูก เรื่องถูกกลายเป็ นผิด ข่าวลือสะสมมากเข้าก็ ทาลายคนได้ แม้กระทั่งกระดูกก็ไม่เหลือ คาพูดของคนช่างน่ากลัว เหลือเกิน ไม่ใช่ว่าฟ้ องร ้องไปถึงส านักศึกษากวานหูแล้วไม่ทันระวัง ไม่แน่ว่าอาจดังไปเข้าหูศาลบุ๋นแผ่นดินกลางด้วย ถึงเวลานั้นจะทา อย่างไรดีเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าพวกเขาไปหาถูก คนแล้ว”
ผู้เฒ่าแสร ้งทาเป็ นตกใจ เอ่ยพึมพากับตัวเองว่า “หากถึงเวลานั้น ศาลบุ๋นส่งรองผู้อานวยการเหมาแห่งสถานศึกษาหลี่จี้ให้มาช่วยทวง ความเป็ นธรรม ช่วยคลี่คลายปัญหาที่แจกันสมบัติทวีปของพวกเรา
หากเป็ นเช่นนี้จริง นั่นก็น่าสนใจอย่างมากแล้ว”
สานักศึกษาหลินลู่หนึ่งในเจ็ดสิบสองสานักศึกษาสร ้างขึ้นที่ ภูเขาพีอวิ๋น เชื่อว่าไม่ว่าใครก็คงไม่หาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้
แต่หากไปฟ้ องส านักศึกษากวานหูแล้วยังไม่ได้ผล ถ้าอย่างนั้นก็ ได้แต่ทวงความเป็ นธรรมเอาจากศาลบุ๋นเท่านั้นแล้ว ผลคือคนที่มา กลับเป็ นรองผู้อานวยการเหมาซึ่งเคยเป็ นลูกศิษย์ของสายเหวินเซิ่ง
นี่ก็…น่ากลุ้มใจมากแล้ว
จิ้นซานจวินแห่งภูเขาเช่อจื่อเอ่ยประโยคที่เป็ นธรรมว่า “อยู่ที่ กาแพงเมืองปราณกระบี่หมัดเดียวก็ต่อยให้เถ้าแก่รองล้มคว่าได้ รอ กระทั่งกลับมายังใต้หล้าไพศาลก็ต้องเปลี่ยนประโยคใหม่เป็ นเซียน กระบี่เฉินบุกเดี่ยวแล้ว”
ฟูเต๋อชงเทพภูเขาผูซานกระแอมเบาๆ หนึ่งที เตือนซานจวินบ้าน ตนว่าอย่าได้พูดจาไร ้ข้อพิถีพิถันเช่นนี้
เทพภูเขาหญิงว่านซู่กุ้ยแห่งภูเขาอวี่หลินที่เป็ นหนึ่งในภูเขา ทายาทของขุนเขากลางเช่นเดียวกันได้ยินประโยคนี้ก็คลี่ยิ้มหวาน
ยังคงเป็ นซานจวินของตนที่ใจใหญ่ที่สุดจริงเสียด้วย สามารถล้อเล่น ต่อหน้าแบบนี้ กล้าพูดความจริงยืนหยัดเพื่อความเป็ นธรรม
ประโยคนี้ดังออกมา บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนมาเป็ นแปลก ประหลาดสุดขีดทันที
ท าไมเจ้าไม่พูดไปตรงๆ เลยว่า เจ้าขุนเขาเฉินผู้ไม่มีภูมิหลังใดๆ?
คากล่าวนี้ดูเหมือนว่าแรกเริ่มสุดจะแพร่มาจากรายงานขุนเขา สายน้าของสานักซานไห่แผ่นดินกลาง
ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ มากมายเกี่ยวกับเฉินผิงอันล้วนเป็ นสานัก ซานไห่ที่พูดถึงก่อนใครจากนั้นก็ถูกรายงานขุนเขาสายน้าฉบับอื่น พากัน “ย้ายต ารา’ ดึงมาใช ้
ภายหลังดูเหมือนว่าศาลบุ๋นจะเคยเตือนสานักซานไห่ไปแล้วครั้ง หนึ่ง ยามที่อีกฝ่ายจรดพู่กันถึงได้ออมมือให้กันบ้าง
ใบหน้าของเฉินผิงอันประดับรอยยิ้มน้อยๆ มองดูคล้ายจะไม่ถือ สา “ขอบเขตก่อก าเนิดมิคู่ควรกับค าเรียกขานว่าเซียนกระบี่ แล้ว นับประสาอะไรกับที่ต่อให้ข้าไม่ขอบเขตถดถอย ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขต หยกดิบคนหนึ่ง อยู่ที่นั่นก็ไม่รู ้สึกว่าถูกเรียกว่าเขียนกระบี่แล้วจะเป็ น คาพูดที่ดีอะไร”
นับตั้งแต่ที่เริ่มออกเดินทางไกลตอนเป็ นเด็กหนุ่ม ไปหยุดอยู่ “ที่ นั่น” มานานมาก ดังนั้นกาแพงเมืองปราณกระบี่จึงถือเป็ นมาตุภูมิ แห่งที่สองของเฉินผิงอัน
นอกจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้ว พวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงของ แจกันสมบัติทวีปทั้งหลาย หนึ่งในนั้นก็เป็ นหวังจูสุ่ยจวินแห่ง มหาสมุทรบูรพาที่เป็ นเพื่อนบ้านของเฉินผิงอัน และยังเป็ นเพื่อนบ้าน ที่บ้านอยู่ติดกันตามความหมายหน้าตัวอักษร
อุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือคือทวีปที่มีคนไปเยือนกาแพงเมือง ปราณกระบี่มากที่สุดไม่มีหนึ่งใน แม้กระทั่งทวีปแดนเทพแผ่นดิน กลางก็ยังมิอาจเทียบเคียงได้ ผู้ฝึ กกระบี่ของทั้งทวีปพยศยากจะ การาบ ยอมรับแค่กาแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ต่างทวีปเพียงแห่ง เดียว
ใบถงทวีปทางทิศใต้ ด้วยเรื่องการขุดเจาะลาน้าใหญ่ที่ภูเขาลั่ว พั่วและสานักกระบี่ชิงผิงสานักเบื้องล่างกาลังดาเนินการทาให้ได้เข้า มาแทนที่ตาแหน่งบนภูเขาแทนสานักกุยหยกอย่างที่มองไม่เห็น
แล้วนับประสาอะไรกับที่หน้าประตูนั่นก็ยังมีผู้ถวายงานอันดับ หนึ่งของภูเขาลั่วพั่วที่ใช ้นามแฝงว่าโจวเฝยนั่งอยู่ไม่ใช่หรือไร?
เก้าทวีปของไพศาล ยิ่งเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีตาแหน่งสูงเท่าไรก็ยิ่ง จ าเป็ นต้องคบค้าสมาคมกับ “โลกภายนอก” มากเท่านั้น ยกตัวอย่าง เช่นโหวและป๋ อสองท่านของลาน้าใหญ่วันหน้าย่อมหนีไม่พ้นต้องไป มาหาสู่กับจวนสุ่ยจวินของมหาสมุทรบูรพา
เฉินผิงอันหยิบสมุดเล่มเล็กที่เตรียมไว้นานแล้วออกมาจากชาย แขนเสื้อ “นี่ก็คือรายชื่อสมาชิกบนทาเนียบศาลบรรพจารย์ของยอด
เขาจี๋หลิงภูเขาลั่วพั่วพวกเรา บวกกับสถานการณ์รายรับในช่วง หลายปีมานี้ มีการร่วมมือกับฝ่ ายใดบ้าง เนื้อหาอาจจะกว้างไปสัก หน่อย แค่ให้ทุกท่านได้ท าความเข้าใจในช่วงต้นต่อภูเขาของพวก เรา เพราะรีบมา ข้าจึงไม่ได้เขียนเรื่องของสานักกระบี่ชิงผิงที่เลือก ที่ตั้งไว้ในใบถงทวีปลงไปด้วย หากใครสนใจ อีกเดี๋ยวข้าจะให้โจว อันดับหนึ่งอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด”
หลีกเลี่ยงไม่ให้โลกภายนอกเข้าใจผิดคิดว่าเฉินผิงอันเป็ น ราชครูต้าหลีแล้วจะเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมไปใช ้เป็ น ผลประโยชน์ส่วนตน ก่อนหน้านี้ภูเขาลั่วพั่วป่าวประกาศแก่ภายนอก ว่าจะปิ ดภูเขายี่สิบปี วันหน้าหากเปิ ดภูเขาเมื่อใดก็จะเกิดภาพ บรรยากาศอย่างใหม่ย่อมมีคนรู ้สึกว่าเพราะภูเขาลั่วพั่วพึ่งพาต้าหลี อาศัยโอกาสนี้มาฉกฉวยผลประโยชน์เข้ากระเป๋ าตัวเองถึงได้ท าให้มี กลิ่นอายอย่างใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฮ่องเต้ซ่งเหอยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทุกท่านเชิญเวียนกันอ่านได้เลย กว่าเหรินจะอ่านเป็ นคนสุดท้ายเอง ราชครูเฉิน ทางฝั่งราชสานัก สามารถเก็บสมุดเล่มนี้เข้าคลังเอกสารได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ย่อมได้”
ในสมุดมีรายชื่อสมาชิกทาเนียบ และด้านหลังชื่อยังมีวงเล็บ กากับ ยกตัวอย่างเช่นโจวเฝยผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว เนื้อหาในวงเล็บก็คือชื่อจริงคือเจียงซ่างเจิน อดีตเจ้าส านักคนก่อน
ของสานักกุยหยก เจ้าประมุขสกุลเจียงคนปัจจุบันของพื้นที่มงคลถ้า เมฆา
ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อโม่เซิง ฉายาสี่จู๋ ที่ตั้งพื้นที่ ประกอบพิธีกรรมเก่าคือดวงจันทร ์เฮ่าไฉ่หนึ่งในดวงจันทร ์สามดวง ของเปลี่ยวร ้าง ผู้ฝึกกระบี่
หรือยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโก่วตัวสารองผู้ถวายงานที่ยังไม่ได้รับ การบันทึกชื่อลงทาเนียบเนื้อหาในวงเล็บของนางค่อนข้างยาว เคย ใช ้นามแฝงว่าป๋ ายจิ่ง ส่วนฉายาที่เคยใช ้ก็ได้แก่เฉาอวิน ไหว้จิ่ง เหย้าหลิง…ยาวเป็ นพรวน มากเกือบสิบชื่อ ที่ตั้งพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมเก่าอยู่ในดวงตะวันของเปลี่ยวร ้าง คือตัวเลือกสารองผู้ถวาย งานระดับรองภูเขาลั่วพั่ว ผู้ฝึกกระบี่