กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1077.1 ท่านอาจารย์ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย
ศาลเทพภูเขาที่อยู่ใกล้กับคฤหาสน์ใต้เมฆามาก คนแก่หลังค่อม ลักษณะเหมือนคนบ้านนอกบ้านนาก าลังง่วนท าอาหารอยู่ในห้องครัว ผูกผ้ากันเปื้อนไว้ตรงเอว เสียงหั่นบนเขียงดังฉับๆ เหมือนเสียงยาม สตรีทุบผ้า
เพราะเหนียงเนียงเทพภูเขาไม่เคยรับรองแขกกลับพาตาเฒ่าผู้นี้ กลับมาที่ภูเขาด้วยกัน นางยังไปยืนพิงขอบประตูมองผู้เฒ่าในห้อง ด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยแววรักใคร่
ทาให้พวกสาวใช ้ผีหญิงทั้งแก่และเด็กที่อยู่ในศาลซึ่งยืนมองดูอยู่ ไกลๆ หันมามองหน้ากันเอง หรือว่าเหนียงเนียงเทพภูเขาบ้านตนหา …บิดาของนางเจอแล้ว?
จูเหลี่ยนไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่เอาวัตถุดิบที่วางทับซ ้อนกัน เป็ นชั้นๆ วางไว้ในชามใบเล็กที่เผาจากหน่วยงานของแคว้นบ้านเกิด อย่างประณีติ ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางเซี่ย อันที่จริงข้าไม่ได้มีความกลัด กลุ้มที่ต้องจากบ้านเกิด ไม่มีความเจ็บปวดจากการสูญเสียบ้านเมือง เจ็บปวดต่อความยากลาบากหรือเศร ้าระทมทุกข์ใจใดๆ เดิมทีตอนที่ มีชีวิตอยู่ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเสียดายอยู่แล้ว เรื่องราวหลังจากที่ข้า จากไปยังจะต้องไปสนใจอีกท าไมกันหากว่าเจ้าเป็ นทุกข์เศร ้าใจแทน ข้า ข้าถึงจะยอมฝื นใจพูดคาว่ากลุ้มเพียงเพื่อให้ได้แต่งกวีบทใหม่
เท่านั้น ไม่มีความจาเป็ นเลย จริงๆ นะ เจ้าอย่าเอาแต่ขมวดคิ้วมุ่นไม่ คลายอยู่เลยคนอื่นเห็นแล้วจะรู ้สึกว่าไม่น่ามอง”
เซี่ยเถาเพียงแค่เหม่อมองเขา ไม่พูดไม่จา แต่นี่ก็คือการพูดอย่าง หนึ่ง
หวนนึกถึงในปี นั้น เซี่ยเถาที่มีชาติกาเนิดจากตระกูลชนชั้นสูง อันดับหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่าสตรีในตระกูลของนางไม่ยินดีจะแต่งงานกับ เชื้อพระวงศ์ซึ่งถือเป็ นการ “แต่งกับคนต่ากว่าในวันเวลาที่นางยังเป็ น เด็กสาว ครั้งแรกที่นางได้เห็นจูเหลี่ยนที่อยู่แคว้นใกล้เคียงซึ่งถูกนาง มองเป็ น “คนที่สร ้างชื่อเสียงจอมปลอมได้เก่ง ทั้งยังอาศัยสิ่งนี้บ่มเพาะ ความคาดหวังเพื่อรอเวลาให้ได้ราคาดีแล้วค่อยขายต่อ” ตอนนั้นเซี่ย เถาอยู่ในคฤหาสน์แห่งหนึ่งของตระกูลตัวเองเมื่อหิมะใหญ่ผ่านพ้นไป นางอยู่ว่างไม่มีอะไรทาจึงมายืนพิงราวรั้วมองทัศนียภาพที่อยู่ฝั่งตรง ข้าม
เพราะนางมีคุณสมบัติในการฝึกวรยุทธที่ดีเยี่ยม อีกทั้งในตระกูล ยังมีอาจารย์มากฝีมือช่วยชี้แนะ และท่านลุงใหญ่ของนาง เดิมทีก็เป็ น ปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพอยู่แล้ว เป็ นเหตุให้ตอนที่ นางยังเป็ นเด็กสาวก็ได้เรียนรู ้วิชาการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดามาแล้ว แม้กระทั่งท่านลุงใหญ่ที่ไม่ชมใครง่ายๆ ก็ยังบอกว่านางได้เดินเข้าสู่ ห้องของการเรียนวรยุทธแล้ว เซี่ยเถาจึงมีความสามารถในการ มองเห็นที่ดีมาก นางถึงได้พอจะมองเห็นลางๆ ว่าห่างไปไม่ไกลมีชาย หญิงคู่หนึ่งอยู่ในภูเขาใกล้เคียง
คุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกถือไม้เท้า เดินขึ้นเขา เดินอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวหนาที่ถูกชะล้างด้วยหิมะ สาวใช ้อายุน้อยนิ้วห่อบรรจุภาพวาดและสุราเลิศรสติดตามมาข้าง กาย รูปโฉมของนางงามล้า ทั้งสีของภูเขาทั้งกลิ่นหอมของสุราล้วน เข้าคู่กันได้เป็ นอย่างดี
ระหว่างที่กลับลงจากภูเขาก็เจอหิมะตกหนักอีกครั้ง กลุ่มขุนเขา เขียวขจีดุจก้อนหยกตั้งตระหง่าน รอบด้านสว่างไสวขาวโพลน คุณชายสูงศักดิ์ใช ้ไม้เท้าไม้ไผ่แหวกหิมะก้อนหนาเท่าขนห่านให้พ้น ทาง สาวใช ้ที่อยู่ด้านหลังย่าหิมะพลางขับขานลานาบทกวีไปด้วย บุรุษและสตรีประหนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางดินแดนเซียนอันบริสุทธิ์งดงาม
นางไม่สนใจแล้วว่าความตั้งใจเดิมและความคิดในเวลานั้นคือ อะไร เอาเป็ นว่าสุดท้ายนางก็วิ่งไปขวางทางเขาที่ตีนเขา
เพียงแต่ว่าการขวางทางครั้งนี้กลับขวางให้เกิดความรักความ คิดถึงไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งทาให้นางเสียใจภายหลังว่าไม่ควรทาเช่นนั้น เลย
ไม่ควรไปพบเจอเขา ไม่ควรคิดเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้เซี่ยเถาได้แต่เดิน วนเวียนอยู่ท่ามกลางความคิดสองอย่างนี้เหมือนถูกผีบังตา
มีเพียงได้รู ้จักเขา ได้อยู่ร่วมกันแล้วถึงจะเข้าใจเขาได้อย่าง แท้จริง
เขาทาเป็ นทุกอย่างจริงๆ อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในทุกเรื่อง แต่เขา กลับไม่เคยสนใจว่าตัวเองจะเผลอทาเรื่องน่าอาย ยกตัวอย่างเช่นพอ เขากินเผ็ดก็จะตัวสั่นเยือก ครู่เดียวก็หน้าแดงก า แต่กลับยังไม่ยอม แพ้ น้าตาไหลพลางตวัดตะเกียบเร็วราวกับบินไปด้วย กินอาหารทะเล บางอย่างก็แพ้ตุ่มแดงขึ้นไปทั้งตัว ทุกครั้งจะต้องร ้องโอดครวญ ทรมาน พูดถึงเรื่องบางอย่างที่ไม่พอใจ หรือพูดถึงคนที่ไม่ชอบขี้หน้า ก็จะด่ากราด พ่นคาพูดหยาบคายออกมารัวๆ ทั้งยังมัดหุ่นฟางที่ เหมือนคนจริง ปากก็พร่าพูดว่าฟ้ าศักดิ์สิทธิ์ดินศักดิ์สิทธิ์ หยิบเข็ม มาได้ก็แทงแล้วแทงอีก จากนั้นก็ตวัดพู่กันเร็วราวกับบิน เขียน จดหมายไปสอบถามว่าช่วงนี้สุขภาพร่างกายของใครบางคนเป็ น อย่างไรบ้างแล้ว
สาวใช ้ในศาลเทพภูเขาแห่งนี้มีอยู่ไม่มาก และเซี่ยเถาก็ไม่ยินดี จะให้พวกชายหญิงที่อยู่ใกล้เคียงเข้าศาลมาจุดธูป ไม่เพียงแค่เพราะ นางชอบความสงบสุข ยังเป็ นเพราะนางอ่อนใจอย่างมาก พวกเจ้ามา กราบข้าเพื่อจะขออะไรล่ะ ขอให้มีโชคด้านการงาน มีเงินทองไหลมา เทมา? ความคิดจินตนาการพรั่งพรูดุจน้าพุ ขยับพู่กันดุจบุปผาผลิ บาน? หรือจะขอความรัก ขอให้มีบุตรในเร็ววัน?
จูเหลี่ยนถาม “ในศาลมีควันธูปแค่นี้ มีก็เหมือนไม่มี อาศัยแค่ โชคชะตาภูเขาสายน้ามาสร ้างความมั่นคงให้ร่างทองอย่างเดียวไม่ น่าจะพอกระมัง?”
เซี่ยเถาคืนสติ พยักหน้าเอ่ย “บางครั้งร่างทองก็ส่ายไหว ทว่าข้า ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่ท าให้พวกนางตกใจกันมาก หลายปีมานี้พวก นางไม่เคยได้นอนหลับสนิทกันสักคืน”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “วัตถุอย่างเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง ข้าเองก็ ไม่มีหน้าจะไปขอมาจากคุณชาย แล้วนับประสาอะไรกับที่นี่เป็ นแค่ ทางลัดเท่านั้น ไม่ถือเป็ นต้นกาเนิดควันธูปที่แท้จริง ในเมื่อแม่นาง เซี่ยมีความสามารถ เรียนวรยุทธก็เก่ง ปีนั้นยังเคยเป็ นคนดูแลตระกูล ครึ่งตัว ตระกูลใหญ่ถึงเพียงนั้น เจ้ากลับดูแลได้อย่างเป็ นระเบียบ คน กลุ่มใหญ่หลายร ้อยคนพวกเขากลับไม่เคยต้องกลุ้มใจเรื่องเงิน ไม่สู้ เจ้าลองใส่ใจในเรื่องของโชคชะตาบุ๋น โชคชะตาบู๊และเรื่องเงินทอง สักหน่อย หากไม่ชอบการเข่นฆ่ากันในยุทธภพ แล้วก็ไม่ยินดีจะมี ความเกี่ยวพันกับโชคชะตาแคว้นที่มาพร ้อมกับโชคชะตาบู๊ลึกล้า เกินไป ทั้งไม่ชอบให้พวกพ่อค้าที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นสาบเงินมาวุ่นวาย ที่นี่ให้เกะกะสายตา ถ้าอย่างนั้นก็ให้บัณฑิตมาขอให้การสอบเคอจวี่ ราบรื่นที่ศาลเทพภูเขาแห่งนี้”
เซี่ยเถาส่ายหน้า “ข้าไม่มีความคิดอยากจะทาเรื่องพวกนี้ ชีวิต ก่อนก็ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ชาตินี้ยังจะเอางิ้วบทเดิมมา เล่นซ้าอีกก็เหมือนเดินไปบนทางสายเก่า จะหาเรื่องลาบากใส่ตัวไป ไย”
เหอะ เรียกแม่นางเซี่ยค าแล้วค าเล่า เจ้าพูดว่าอะไรข้าก็จะขัดคอ พูดไปในทางตรงกันข้ามทั้งหมดนั่นแหละ
คนคือคนเดิม ความกลัดกลุ้มคือความกลัดกลุ้มใหม่ ดวงจันทร ์ ของเมื่อคืนก็คือดวงจันทร ์ในอดีต วันนี้กลับเป็ นวันใหม่อีกครั้งแล้ว
ดังนั้นเซี่ยเถาจึงเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเองกาลังฝันไปหรือไม่
ได้เจอกับจูเหลี่ยนจริงๆ หรือ? ไม่ใช่ว่าตนไปหาจูหลางเองหรอก นะ?
พวกสาวใช ้ที่เข้าใจนิสัยเย็นชาของเหนียงเนียงเทพภูเขาบ้านตน เป็ นอย่างดีเริ่มหันมามองกันเอง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้ากันอีกครั้ง เหมือนเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ จริงๆ แล้ว
ผู้เฒ่าที่แต่งกายมอชอ รองเท้าก็ยังสวมเป็ นรองเท้าผ้าผู้นั้นเป็ น เทพเซียนจากฝ่ ายใดกันแน่ ถึงได้ทาให้เจ้านายของตนมีรอยยิ้ม เวลาพูดจายังแสดงท่าทาง “ขุ่นเคือง” มีกลิ่นอายของความเป็ นมนุษย์ เช่นนี้ได้?
จูเหลี่ยนนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กข้างเตาไฟ หยิบกระบอกไม้ไผ่ที่ใช ้ สาหรับเป่ าไฟขึ้นมาสะบัด จากนั้นพลิกกลับด้าน คงเป็ นเพราะมีไว้ เป็ นเครื่องประดับมานาน ในกระบอกจึงมีแต่ฝุ่ น เขาหยิบเอาตะบันไฟ และยางสนที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นรวยรินแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขน เสื้อ หันหน้ามาเอ่ยสัพยอกว่า “แม่นางเซี่ยของข้าหนอ อย่าทาตัวซึม เซาไม่กระปรี้กระเปร่าอย่างนี้สิ หรือว่าต้องกินข้าวให้อิ่มก่อนถึงจะมี เรี่ยวแรงจริงๆ? สามารถใช ้สถานะของวิญญาณวีรบุรุษกลายมาเป็ น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ถือเป็ นโชคดีที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงใดลองมองข้าสิ ตื่นแต่
เช ้าตรู่กลับยังไปไม่ทันตลาด ไม่ได้อะไรมาอยู่ในมือทั้งนั้น อืม แต่จะ พูดแบบนี้ก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรก็หาบ้านเกิดแห่งความสงบใจเจอแล้ว แม้ ทุกวันมือจะยุ่งแต่ใจกลับว่างสงบ ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการทุกอย่าง ให้เรียบร ้อย เพียงแต่ไม่ต้องสนใจเรื่องการปกครองและความสงบสุข พอมีเวลาว่างก็หาคนมาดื่มเหล้าด้วยกัน ไม่ใช่เทพเซียนแต่ยิ่งกว่า เทพเซียนอีกนะ”
เซี่ยเถายิ้มตาหยี แต่ปากกลับพูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “ยุ่งไป ยุ่งมา ว่างหรือไม่ว่างสรุปแล้วทาไปเพื่ออะไรล่ะ รบกวนอาจารย์ผู้เฒ่า จูช่วยให้เหตุผลกับข้าหน่อยได้ไหม?”
ใช ้คาเรียกขานเช่นนี้ เซี่ยเถาก็ตีหน้านิ่งต่อไปไม่ไหว เพราะรู ้สึก ว่าน่าสนใจจริงๆ นางจึงหัวเราะก๊ากดังลั่น
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าก็มีทาเนียบหยก ทองและระดับสูงต่าของต าแหน่งเทพเช่นเดียวกัน รอวันใดระดับความ สูงของร่างทองเจ้าเทียบเท่ากับเซียนดินโอสถทองแล้ว ข้าจะพาเจ้า ออกไปดูข้างนอก ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะทอดถอนใจด้วยความปลง อนิจจังว่าคนโบราณจริงใจไม่หลอกลวงข้า ต่อให้จะคิดถึงคนที่บ้าน เกิดแค่ไหน บางทีก็อาจจะต้องยอมรับเรื่องหนึ่งว่ามาตุภูมิไม่มีขุนเขา สายน้าที่ดีเช่นนี้”
เซี่ยเถาถามอย่างใคร่รู ้ “นั่นคือสถานที่อะไร แล้วคุณชายที่เจ้า พูดถึงคือใคร?”
จูเหลี่ยนไม่ได้ให้คาตอบที่แน่ชัด เพียงแค่ยิ้มเอ่ยว่า “ไยต้องถาม มาก ภูเขาดีคนดี แค่ไปดูก็รู ้เอง”
……
กู่เยว่เซวียนบนเกาะหลัวได้ เซี่ยโก๋วนั่งแกว่งขาสองข้างอยู่บน ราวรั้ว ยื่นมือมาตบปากที่กาลังอ้าหาว ยิ้มเอ่ยว่า “แค่ทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีความหมายอะไรเลย”
อารามต้ามู่บนทะเลสาบชิวชี่ สมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม ทั้งหลาย ผู้ฝึกยุทธ ผู้ฝึกตนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตัวประหลาดทั้งหลาย รวมกันแล้วพอกล้อมแกล้มถูไถไม่ได้ด้วยซ้า
เปลี่ยนให้นางเป็ นคนเงื้อกระบี่ฟันลงไป อย่าว่าแต่มีชีวิตรอดเลย อารามต้ามู่ทั้งแห่งจะต้องราบเป็ นหน้ากลอง เปลี่ยนคนกลุ่มใหม่ที่เชื่อ ฟังกว่านี้มาเข้าร่วมการประชุมครั้งที่สองใครยังจะกล้ามีความเห็นต่าง อีกเล่า?
แม้ว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะคอยกดขอบเขตไว้ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้ เปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ ถ้าอย่างนั้นในสายตาของเซี่ยโก่ว แน่นอน ว่าต้องเป็ นเหมือนเด็กดื้อที่อาละวาดเกเรคนหนึ่งถูกผู้ใหญ่ที่พอจะมี ฝีมือติดตัวยื่นมือไปกดหัวเอาไว้ บอกให้เด็กน้อยที่กางเล็บแยกเขี้ยว ถ่มน้าลายคนนั้นเป็ นเด็กดีว่าง่ายหน่อย ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกตี
เพียงแต่ว่าในสายตาของเซี่ยโกว ความครึกครื้นครั้งนี้…ไม่ ครึกครื้นมากพอเลยจริงๆ!
เชี่ยโก่วรีบเอ่ยเสริมไปประโยคหนึ่งว่า “เมื่อเทียบกับคราวก่อนที่ เจ้าขุนเขาของพวกเรากระบี่ฟันเปิดภูเขาทัวเยว่ สังหารปีศาจใหญ่ หยวนซง ท าให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างยินยอมพร ้อมใจ จากนั้นค่อยตัด หัวอีกฝ่าย ก็ต่างกันไกลโขนัก”
“อาจารย์พ่อก็เหมือนกาลังเผาเครื่องปั้นชิ้นหนึ่งที่ปั้นมาได้ดีมาก จ าเป็ นต้องระมัดระวัง เพราะหากไม่ระวังก็จะกลายเป็ นย่ายีทรัพยากร สวรรค์ให้เสียเปล่า”
กวอจู๋จิ่วครุ่นคิดแล้วก็อธิบายว่า “เปิดภูเขาก็มีความยิ่งใหญ่ของ การเปิดภูเขา งานเย็บปักถักร ้อยก็มีความละเอียดอ่อนของงานเย็บ ปักถักร ้อย อันที่จริงความยากของทั้งสองไม่ได้ต่างก็มากอย่างที่เจ้า คิด แน่นอนว่านี่ก็เป็ นปมในใจของอาจารย์พ่อ ยากมากที่เขาจะ ยอมรับได้อย่างแท้จริงว่าตัวเองคือผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์คนหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือติดขัดที่สถานะจึงลงมือไม่สะดวก เพราะถึงอย่างไรพื้นที่มงคล แห่งนี้ก็ได้กรอกเทเลือดจากหัวใจ (เปรียบเปรยถึงความทุ่มเททั้ง แรงกายแรงใจ ความตั้งใจอย่างสุดหัวใจ) ของภูเขาลั่วพั่ว มีการมอบ โชคชะตาบู๊จากอาจารย์ผู้เฒ่าชุยและศิษย์พี่หญิงใหญ่ อาจารย์พ่อ เองก็ทุ่มเทความคิดจิตใจไว้ให้กับพื้นที่มงคลแห่งนี้มาก”
“ดังนั้นอาจารย์พ่อจึงไม่อยากจะมองพื้นที่มงคลเป็ นภูเขาตะวัน เที่ยงแห่งที่สองแล้วต้องใช ้เวทกระบี่มาทาการ “แยกชิ้นส่วน”
“แต่หากทาให้อาจารย์พ่อโมโหเข้าจริงๆ ก็ต้องมีศึกที่เมืองหลวง แคว้นหนันเยวี่ยนของจูเหลี่ยนเมื่อหนึ่งร ้อยปีก่อนเกิดขึ้นซ้าอีกครั้ง
เอาสภาพจิตใจที่คนคนหนึ่งเป็ นศัตรูกับทั้งใต้หล้ามาท าการกด ขอบเขต บุกสังหารไปตลอดทาง ฝ่ าทะลุขอบเขตจนวิถีวรยุทธ กลับคืนไปยังชั้นคืนความจริงอีกครั้ง”
เซี่ยโก่วพยักหน้ารับอย่างแรงเป็ นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “เจ้า ประมุขกวอพูดเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งเข้าใจในความตั้งใจอันดีของเจ้าขุนเขา เฉินยิ่งกว่าเดิมแล้ว”
เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่นางก็ยังไม่ยอมรับในวิธีการเช่นนี้ของเฉิน ผิงอัน เพราะมันช่าง…อ่อนโยนเหลือเกิน เจ้าเป็ นตั้งลูกศิษย์ปิดสานัก ของเหวินเซิ่งเชียวนะ แต่กลับยังฝากความหวังไว้ให้กับสันดานของ มนุษย์มากถึงเพียงนี้
ฉางมิ่งยิ้มเอ่ย “ขอพูดเสริมสักหน่อย อิงจากการเปรียบเทียบ ของจู๋จิ่ว เลือกดิน ปั้นดินเผาเป็ นเครื่องกระเบื้อง ภูเขาสายน้าของ พื้นที่มงคลก็คือคนเผาเครื่องปั้น โลกมนุษย์คือเตาเผา โชคชะตา บุ๋นบู๊และปราณวิญญาณฟ้ าดินคือไฟในเตา มองดูเหมือนว่าสามารถ เผาเครื่องปั้นชิ้นเดิมตามต้นแบบซ้าไปมาได้ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้ เป็ นเช่นนั้น เครื่องกระเบื้องมีแค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียว ก็เหมือนกระจกที่แตก แล้วยากจะประสานกลับมาเป็ นเหมือนเดิม เมื่อใจคนแหลกสลายก็ ยากจะกลับคืนไปเป็ นแบบเดิมได้อีก เว้นเสียจากจะผลักให้ล้มลงแล้ว เริ่มต้นใหม่ ล้างบางคนกลุ่มเก่าออกไปทั้งหมด ทว่าระหว่างขั้นตอนนี้ จะต้องมีความวุ่นวายอลหม่านเกิดขึ้น ใช ้เวลาพักฟื้นหลายสิบปีหรือ ถึงขั้นร ้อยกว่าปี โลกมนุษย์ก็ยังมิอาจฟื้นคืนพลังต้นกาเนิดดั้งเดิม
กลับมาได้ และนี่ก็คือความยากของมัน เมื่อครู่นี้กวอจู๋จิ่วอธิบายว่า เจ้าขุนเขากาลังทางานเย็บปักถักร ้อย เป็ นคาเปรียบเปรยที่เหมาะ อย่างมาก ปั้นรูบติดชิ้นส่วน เผาดิบ เคลือบน้ายาทั้งในและนอกล้วน เกี่ยวพันไปถึงใจคน มนุษย์ธรรมดาก็คือการเคลือบน้ายาด้านใน ไม่ สะดุดตา ผู้หลอมลมปราณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าคือการ เคลือบน้ายาด้านนอก สีสันสดใสแวววาว ถึงได้มีการประชุมบน “ยอดเขา” ของทะเลสาบชิวชี่ในครั้งนี้เกิดขึ้น นี่ก็เพราะหวังว่าจะ สามารถปรึกษากันจนได้ข้อตกลงวิญญูชนที่ทั้งสองฝ่ ายให้การ ยอมรับ จากบนถึงล่าง จากจุดเล็กๆ สู่พื้นผิว ทาให้โลกมนุษย์ล่าง ภูเขาของพื้นที่มงคลมีวิถีทางโลกที่มั่นคง ขณะเดียวกันก็ให้อิสระใน ระดับที่ใหญ่ที่สุดต่อบนภูเขาพื้นที่มงคลรากบัวนั้นสืบทอดมาจาก พื้นที่มงคลดอกบัว ในประวัติศาสตร ์มีปัญหาทิ้งไว้มากมาย ภูเขาลั่ว พั่วของพวกเราในสายตาของผู้หลอมลมปราณท้องถิ่นของพื้นที่ มงคลในทุกวันนี้ก็แทบจะเท่ากับเป็ น “เจ๋อเซียน” อย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนหน้านี้เจ้าขุนเขาจงใจพา “สองทอง” อย่างเกาจวินและจวินเชี่ยน ออกไปจากพื้นที่มงคล ไปอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ก็เพราะหวังว่าจะท าการ ตัดแบ่งที่เหมาะสม อีกทั้งยังปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความจริงใจ ใน ขั้นตอนของการเผาเครื่องปั้น ต้องขูดคราบดินส่วนเกินบริเวณช่อง เทน้าของตัวปั้นดิบออกให้เกลี้ยงต้องทาให้เรียบและสม่าเสมอ นอกจากนี้ยังต้องขูดลบเหลี่ยมมุม อุดเติมรอยแยกหรือช่องว่างให้ เรียบเนียน ล้วนเป็ นงานละเอียดอ่อนที่มิอาจเกิดข้อผิดพลาดได้
ภายหลังเจ้าขุนเขายังต้องทาเรื่องอย่างการเคลือบสี เกลาชิ้นงาน ฯลฯ พวกเราที่เป็ นคนนอกสถานการณ์แค่ตั้งตารอดูไปก็พอ”
เซี่ยโก่วจับประคองหมวกขนเตียว “สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยัง เป็ นเพราะเฉินผิงอันไม่ต้องการจะสังหารโดยไม่สั่งสอน หวังว่าจะมี คนตายน้อยหน่อย ทางที่ดีที่สุดคือทั้งบนและล่างภูเขาล้วนไม่มีคน ตาย ไม่เป็ นผู้ฝึกกระบี่มากพอจริงๆ นั่นแหละ”
มิน่าเล่าตอนอยู่บนถนนของเมืองหลวงต้าหลีถึงได้เอ่ยกับเสี่ยว โม่ว่า “พวกเจ้าคือผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ บางทีเฉินผิงอันอาจจะพูดโดย ไม่ได้ตั้งใจ แต่คนฟังกลับมีใจ เสี่ยยวโม่เสียใจมากเลยนะ
พอเสี่ยวโม่เสียใจ ในใจนางก็ไม่รู ้สึกดีเลยสักนิด
ฉางมิ่งถอนหายใจเบาๆ เอ่ยด้วยสีหน้าซับซ ้อน “แม่นางเซี่ย การ เปรียบเทียบนี้ของพวกเราแค่พูดให้ฟังดูง่ายเท่านั้นเอง พูดถึงการลบ เหลี่ยมมุมทิ้ง เจ้าขุนเขาระมัดระวังทั้งยังไม่ท าผิดพลาด ไม่ยินดี สังหารใคร ไม่อยากให้ใครตาย แต่จะมีคนอย่างกู้หลิงและเจี่ยงเฉวียน อีกหลายคน หลายสิบคน หลายร ้อยคนหรือไม่ บนโลกมนุษย์ใบนี้จะ มีเจียงเสินจื่อมากกว่านี้หรือไม่? วันนี้ไม่ฆ่าเจี่ยงเฉวียน แล้ววันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ล่ะ? หรือยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้เฉานี่ออกหมัด แต่ ไม่ได้ถูกเจ้าขุนเขาขวางเอาไว้ เขาตายไปแล้ว สหายและญาติของ เขาจะมาแก้แค้นหรือไม่? โจวซูเจินตายไป ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึก ยุทธของหอจิ้งหย่างจะคิดอย่างไร?”
เชี่ยโก่วแยกเขี้ยว “ขอให้ข้าได้พูดความในใจหน่อยนะ สหาย ฉางมิ่งฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปเถอะ เจ้าประมุขกวอก็ห้ามจดบัญชีนะ! ไฉนเจ้าขุนเขาต้องอืดอาดชักช ้าแบบนี้ด้วยปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ เคยพูดแล้วว่าใช ้คุณธรรมตอบแทนความแค้น แล้วจะตอบแทน คุณธรรมด้วยอะไร?! นี่เรียกว่าผีรนหาที่ตายที่ต่อให้เป็ นเทพเซียนก็ ยากจะช่วยเหลือ วันนี้ก็ดีพรุ่งนี้ก็ช่าง ทุกคนที่พาตัวเองมาหาที่ตาย ฆ่าทิ้งก็ฆ่าทิ้งไปสิ ขอแค่ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้ท าผิด เป็ นฝ่ าย มีเหตุผล เจ้าขุนเขาถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย เพราะเรื่องมาถึงขั้นนี้ แล้วก็จ าต้องฆ่า พื้นที่มงคลแห่งนี้จะเล็กแค่ไหนก็ยังมีคนอยู่ตั้งอีก เยอะ ตายไปแล้วหลายร ้อยหลายพันคนจะนับเป็ นอะไรได้ ถึงอย่างไร ก็ไม่ได้ฆ่าใครอย่างอยุติธรรมแม้แต่คนครึ่งคน ถึงอย่างไรก็ดีกว่า ตอนนี้ใจอ่อนมีเมตตา สุดท้ายกลับต้องเดือดร ้อนให้คนในใต้หล้า ตายกันไปมากกว่าเดิมกระมัง? ดังนั้นหากจะให้ข้าพูดนะ หลิ่วชวี่ผู้ นั้นถือว่ามองเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง ตอนอยู่ริมล าคลองถึงได้ เตือนเฉินผิงอันว่าอย่าได้ใจอ่อน พวกเจ้าสองคนลองว่ามาสิว่า นี่ใช่ คนในสถานการณ์มองเห็นไม่ชัด คนนอกสถานการณ์กลับมองออก อย่างแจ่มแจ้งหรือไม่?