The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.226 สี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน
ขณะที่เฟิงจี้สิงกำลังมีดีใจอยู่นั้น หลินมู่อวี่ที่อยู่กลางอากาศก็ผายมือเรียกเถาวัลย์น้ำเต้าทันที ‘ฟิ้ว’ มันเหวี่ยงเขากลับขึ้นมาบนเวที
‘ตุบ!’
ขณะที่เท้าแตะลงบนลานหลินมู่อวี่ก็พูดด้วยรอยยิ้ม “พี่เฟิงอย่าเพิ่งรีบดีใจไปหน่อยเลย”
“ดี! มาสู้กันอีกครั้ง!”
เฟิงจี้สิงหัวเราะลั่นพร้อมยกดาบขึ้นมา ทันใดนั้น! ร่างมายาปีศาจก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง มันคือเพลงดาบเฟิงสิงกระบวนท่าที่แปด…พลังปีศาจกลืนกินสวรรค์!
นี่เป็นกระบวนท่าที่เอาชนะถังปินจากตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่ เฟิงจี้สิงกำลังใช้กลอุบายเดิมอีกครั้ง!
หลินมู่อวี่คำรามก้องขณะที่ปลดปล่อยสามประทีปล้อมรอบแขน กระบี่วิญญาณมังกรหมุนคว้างเผชิญหน้าการโจมตีของเฟิงจี้สิงด้วยพลังขั้นสูงสุดรวมกัน สามประทีปทรกรรมชีวี! แก่นเพลิงมังกร! และเกลียวพิฆาต!
‘วิ้ง!’
ไฟลุกท่วมใบดาบก่อนจะทะยานขึ้นไปบนนภาปะทะพลังปีศาจกลืนกินสวรรค์ของเฟิงจี้สิงทันที หลินมู่อวี่ใช้พลังเพียงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของสามประทีป เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้เฟิงจี้สิงบาดเจ็บ ในทางกลับกันหลินมู่อวี่ไม่ทราบว่าเฟิงจี้สิงเองก็ใช้พลังไปเพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของพลังปีศาจกลืนกินสวรรค์เท่านั้น
‘ตูม!’
ไฟลุกโชติช่วงบนดาบปีศาจขณะที่ปะทะกับกระบี่ของหลินมู่อวี่อย่างรุนแรง เป็นการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ศาสตราวุธทั้งสองติดกันแน่นไม่ยอมถอย
ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่ก็ยกฝ่ามือขึ้น “พี่เฟิง ดูนี่สิ…”
“หืม?”
เฟิงจี้สิงหันมอง
‘วิ้ง’ มีแสงสว่างวาบจากฝ่ามือหลินมู่อวี่ทันที นี่คือแสงที่ปล่อยจากน้ำเต้าจิ๋วและเป็นพลังของน้ำเต้าระดับเจ็ด…สาดแสง!
“ตาข้า…อาอวี่ เจ้าเด็กเหลือขอ!”
เฟิงจี้สิงรีบปิดตาทันที
ทุกการแข่งขันมักมีเล่ห์เหลี่ยมเกิดขึ้นเสมอ และครานี้หลินมู่อวี่ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมจัดการเฟิงจี้สิง
ขณะที่หลินมู่อวี่แอบภาคภูมิใจ เฟิงจี้สิงก็ส่งลูกถีบจากฟ้าถึงสามครั้งลงบนกำแพงน้ำเต้าอย่างรุนแรง! ทุกคนต่างทราบดีว่าไม่มีใครเอาชนะเพลงดาบของเฟิงจี้สิงได้ แต่ไม่คาดคิดว่าเฟิงจี้สิงจะเท้าหนักเช่นกัน!
ทันใดนั้นพลังสามประทีปและพลังปีศาจกลืนกินสวรรค์ก็ระเบิดอย่างรุนแรง เมื่อเพิ่มการโจมตีจากลูกเตะเฟิงจี้สิงเข้าไปก็ทำให้ทั้งสองกระเด็นออกจากกันอย่างรวดเร็ว และตกลงบนพื้นทั้งสองข้างของลานประลอง
ก่อนจะลงสู่พื้นหลินมู่อวี่รีบเรียกพลังจากวิญญาณยุทธ์น้ำเต้า ทว่ากลับทำไม่ได้ เนื่องจากถูกเฟิงจี้สิงทำลายกำแพงน้ำเต้าไปแล้ว จึงไม่สามารถใช้งานวิญญาณยุทธ์ได้ชั่วขณะ
‘ตุบ!’
เมื่อเท้าแตะพื้นก็ไถลไปไกลหลายเมตร หลินมู่อวี่รีบยกมือคว้ากระบี่วิญญาณมังกรก่อนจะพึมพำอย่างประหลาดใจ “นี่ข้าแพ้เช่นนี้หรือ?”
ทางด้านเฟิงจี้สิงก็ร่วงไถลไปกับพื้นเช่นกัน ก่อนจะทรงตัวขึ้นขณะขยี้ตา และมองขึ้นไปบนลานประลอง “หน็อย เจ้าเด็กนี่มีเล่ห์เหลี่ยมเยอะนัก! ตาข้า…”
ทั้งลานเงียบกริบขณะที่เหล่าผู้ชมต่างก็ตกตะลึง เนื่องจากหลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงร่วงลงมาเวลาเดียวกัน จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครเป็นผู้ชนะในการประลองยุทธ์นี้
…
ผู้ดูแลเองก็ตกตะลึงกับผลลัพธ์นี้ก่อนจะเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ทั้งสองตกลงมาในเวลาเดียวกันและไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ จะทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
ชวีฉู่หัวเราะ “หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง ขึ้นมาบนลานประลองเพื่อฟังผลตัดสิน”
ฉินจิ้นเผยสีหน้าพอใจขณะยืนลูบเครา ก่อนจะกล่าวกับเฟิงจี้สิงและหลินมู่อวี่บนลานประลองว่า “การประลองเพลงดาบนี้ได้เปิดโลกทัศน์อย่างแท้จริง! ทุกคนต่างเป็นพยานแก่ความแข็งแกร่งของเฟิงจี้สิงและหลินมู่อวี่ เมื่อผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้…ถือว่าทั้งคู่พิชิตอันดับหนึ่งในการประลองยุทธ์ร่วมกัน ส่วนของรางวัลเหรียญตรามังกรทองและเงินสองแสนเหรียญทอง…พวกเจ้าสามารถเลือกได้อย่างใดอย่างหนึ่ง!”
เฟิงจี้สิงตะลึง เขาต้องการทั้งเหรียญตรามังกรทองและเงินรางวัล ดังนั้นจึงตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลินมู่อวี่เป็นคนซื่อตรง เขาไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงิน แต่เป็นกองทัพ จึงประสานมือกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมขอเลือกเหรียญตรามังกรทอง และยกสองแสนเหรียญทองให้แก่พี่เฟิงพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิงจี้สิงพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ
ฉินจิ้นพลันหัวเราะ “เอาล่ะ ข้าขอประกาศว่าหลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งในการประลองยุทธ์ร่วมกัน อันดับสามและอันดับสามมอบให้แก่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและฉินเหลย อันดับอื่นๆ จะได้รับยศขุนนางขณะที่หลินมู่อวี่ได้รับเหรียญตรามังกรทอง เอาล่ะ เข้ามารับรางวัลได้!”
หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงก้าวไปด้านหน้า จากนั้นฉินจิ้นก็มอบรางวัลให้ทั้งคู่ด้วยตนเอง ฉินจิ้นหยิบเหรียญตรามังกรทองออกมาจากหีบและวางลงบนมือหลินมู่อวี่ “อาอวี่ เจ้าต้องใช้เหรียญตรามังกรทองอย่างระมัดระวัง เมื่อใดที่รวบรวมกองทัพได้ เจ้าจะกลายเป็นนายพลแห่งกองทัพจักรวรรดิ เจ้ามิควรใช้อำนาจนี้เข่นฆ่าผู้คนหรือฝ่าฝืนกฎแห่งจักรวรรดิ เข้าใจหรือไม่?”
หลินมู่อวี่หยิบเหรียญตรามังกรทองและพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
ฉินจิ้นมอบธนบัตรทองคำซึ่งมีค่าเท่ากับสองแสนเหรียญทองแก่เฟิงจี้สิงพร้อมกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเฟิง ในฐานะที่ท่านเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์และดูแลความปลอดภัยของจักรวรรดิ ข้าหวังว่าท่านจะรับใช้และหลั่งเลือดให้จักรวรรดิต่อไปในภายภาคหน้า!”
เฟิงจี้สิงสายตาแน่วแน่ขณะที่พยักหน้ารับ “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
…
ขณะเดียวกันฉินอินก็เดินขึ้นมาพร้อมถังเสี่ยวซีแล้วมาหยุดตรงหน้าหลินมู่อวี่ “ขอแสดงความยินดีกับพี่อาอวี่ที่ได้รับเหรียญตรามังกรทองเจ้าค่ะ!”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะคิกคัก “ข้าบอกแล้ว ขณะนี้มู่มู่แข็งแกร่งเยี่ยงสัตว์ประหลาด จึงคว้าเหรียญตรามังกรทองมาได้อย่างง่ายดาย!”
ใบหน้าหลินมู่อวี่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “มันจะง่ายอย่างที่เจ้าพูดได้เยี่ยงไร ข้าเกือบจะถูกดาบของพี่เฟิงเฉือน…”
เฟิงจี้สิงถูจมูกและพูดอย่างหงุดหงิด “หยุดเลย กระบี่ของเจ้าเกือบจะแทงทะลุอกข้า!”
จากนั้นฉินเหลยและฉินเหยียนก็ประคองฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเข้ามา จอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็มารอรับพระราชทานยศจากองค์จักรพรรดิ
ฉินอินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อ มิได้พระราชทานยศแก่สี่อันดับแรกหรือเพคะ?”
ราวกับว่าในที่สุดฉินอินก็มีโอกาสมอบยศแก่หลินมู่อวี่อย่างที่นางต้องการ
…
ฉินจิ้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นไปบนลานประลองพร้อมกระบี่ไร้วิญญาณซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ ทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยรัศมีราชวงศ์ก่อนจะกล่าวเสียงกังวาน “วีรบุรษแห่งจักรวรรดิฉินได้ถือกำเนิดแล้ว การประลองยุทธ์ครานี้ทำให้ข้าได้เห็นเหล่าผู้มีความสามารถอันล้นหลาม ด้วยกำลังของวีรบุรุษเหล่านี้จะทำให้ราชวงศ์ฉินมั่นคงและยืนหยัดตลอดไป!”
ฉินจิ้นหยุดครู่หนึ่งก่อนพูดต่อว่า “ข้าจะมอบยศให้ ณ บัดดี้ เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉินเหลย และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน จะเป็นที่รู้จักกันในนามแม่ทัพทั้งสี่แห่ง ‘วาโย พิรุณ อสนี อรุณ’ และ ‘สี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน’ จะเป็นสมญานามที่คงอยู่ตลอดไป อีกทั้งจะได้เป็นขุนนางระดับสองของจักรวรรดิ ข้าหวังว่าในภายภาคหน้าพวกเจ้าทั้งสี่จะทะลวงข้าศึกและปกป้องจักรวรรดิฉินอย่างสุดความสามารถ!”
จากนั้นทั้งสี่คนก็ประสานมือรับ
การได้ยศขุนนางระดับสองไม่เลวเลย เมื่อพูดถึงยศขุนนางแล้ว…พวกถังเสี่ยวซี ฉินเหลย ฉินเหยียนและคนอื่นๆ อยู่ในระดับองค์ชายและองค์หญิง ส่วนขุนนางระดับสองนั้นมีอำนาจเท่ากับเสนาธิการระดับสอง แม้จะเป็นเพียงยศ ทว่าต่อไปก็จะไม่มีไม่มีใครกล้าดูถูกหลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนว่าเป็นเพียงสามัญชนธรรมดาอีกแล้ว!
ใบหน้าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเต็มไปด้วยความสุข ตระกูลฉู่เป็นเพียงสามัญชนมานานหลายพันปี ในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนแปลงในยุคนี้!
“วาโย พิรุณ วายุ อสนี…สี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน…”
ฉินอินทวนคำพูดก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นชื่อที่เหมาะสมจริง! ขอแสดงความยินดีแก่พี่อาอวี่ที่ได้เป็นหนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในที่สุดก็ได้เลื่อนยศระดับเดียวกับผู้บัญชาการเฟิงและพี่ฉินเหลย!”
หลินมู่อวี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “ขอบพระทัยความกรุณาขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบหลินมู่อวี่ก็เก็บเหรียญตรามังกรอันล้ำค่านี้ลงถุงสรรพสิ่ง
…
จากนั้นฉินจิ้นก็มอบรางวัลแก่จอมยุทธ์อันดับที่ห้าถึงอันดับที่สิบสอง แม้พวกเขาจะไม่ได้รับรางวัลมากมายเท่ากับสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน ทว่าผู้ที่อยู่ในกองทัพล้วนได้เลื่อนขั้น ส่วนผู้ที่ไม่ได้เป็นทหารต่างก็ได้รับอย่างน้อยคนละหนึ่งหมื่นเหรียญทอง ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าเด็กน้อยหลิน ในที่สุดก็ได้เป็นขุนนาง!”ชวีฉู่ที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินมู่อวี่ยิ้ม “โถ่ ท่านอาวุโสฉู่ หยุดหยอกล้อข้าได้แล้ว สมญานามสี่อัศวินแห่งเมืองหลันเยี่ยนเป็นเพียงทหารตัวเล็กจ้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเท่านั้น จริงสิ ท่านอาวุโสฉู่จะไปเป็นอาจารย์ขององค์หญิงจริงๆ หรือ?”
“ฝ่าบาทมีความประสงค์เช่นนั้น ข้าจะขัดขืนได้เยี่ยงไร…” ชวีฉู่กล่าวอย่างอ่อนใจ “ข้าชวีฉู่ไม่เคยรับศิษย์มาก่อน ทว่ากับเจ้าเป็นข้อยกเว้น คงไม่เป็นไรหากข้าจะรับศิษย์ที่ชาญฉลาดเช่นองค์หญิงอินเพิ่มอีกสักคน”
“อืม…ท่านอาวุโสฉู่คงลำบากใจ”
เฟิงจี้สิงพลันเข้ามาจับไหล่หลินมู่อวี่และหัวเราะ “อาอวี่ เราหาสถานที่นัดรวมตัวกันคืนนี้ดีหรือไม่?”
“ได้สิ แล้วเราจะไปที่แห่งใด?”
“หอสดับพิรุณ แต่เจ้าเลี้ยง? ในเมื่อเจ้าได้รับเหรียญตรามังกรทอง ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ในการประลองยุทธ์!”
“อืม!”
“ฮ่าๆ ดี!”
…
ต่อจากนี้เป็นพิธีการแสนยาวนาน กฎราชวงศ์ค่อนข้างเข้มงวด…ทว่าหลินมู่อวี่ได้พยายามทำตามกฎอย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้อยู่บนเขาสูงเสียดฟ้าและหนาวเหน็บ หลินมู่อวี่ต้องอดทน มิเช่นนั้นคงต้องเตะต่อยเพื่ออบอุ่นร่างกาย
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าพิธีการก็จบลง เสนาธิการประจำตำหนักเจ๋อเทียนรับผิดชอบจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต ทว่าฉินจิ้นมิได้เข้าร่วมเนื่องจากเหนื่อยล้าเกินไป ส่วนหลินมู่อวี่และเหล่าสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยนก็มิได้เข้าร่วม พวกเขาออกจากตำหนักเจ๋อเทียนและมุ่งหน้าไปหอสดับพิรุณ
“องค์หญิงอินและองค์หญิงซีมิได้มาด้วยวันนี้ ดังนั้นพวกเราดื่มกันให้เต็มที่!” ฉินเหลยพูดพร้อมหัวเราะ
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพยักหน้า “ตำหนักเจ๋อเทียนมีผู้อาวุโสฉู่คอยอารักขาอยู่ ข้าเชื่อว่าคงไม่มีอันตรายใดย่างกรายไปได้ นี่เป็นโอกาสทองสำหรับพวกเรา เช่นนั้นก็ไม่กลับจนกว่าจะเมา ตกลงไหม?”
“ตกลง!”
…
คืนนั้นพวกเขาดื่มกันจนเมาและไม่ได้กลับ กว่าทั้งสี่จะออกจากหอสดับพิรุณก็เป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว ลมหนาวเหน็บพัดผ่าน ก็มิได้ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวกายเลย พวกเขาแต่งบทกวีท่ามกลางแสงจันทร์ ฉินเหลยผู้หยาบกระด้างมิเคยแต่งบทกวีมาก่อน ขณะที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและเฟิงจี้สิงมีทักษะอยู่บ้างจึงท่องบทกวีอย่าง ‘ค่ำคืนนี้ร่ำสุรา มาชายฝั่งจนรุ่งสาง ภายใต้สายลมและแสงจันทรา’ พวกเขาทั้งสี่เมามายอยู่บนชายฝั่งทะเลสาบซ่อนมังกรในเมืองหลันเยี่ยน
ในยามเช้าตรู่มีพวกอันธพาลเดินมาพบทั้งสี่และตกตะลึง
“พระเจ้า คนเหล่านี้คือจอมยุทธ์ในการประลองยุทธ์…พวกเขาได้รับสมญานามว่าสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน!”
“ชู่! พวกเขาเมาแล้ว เราควรค้นตัวพวกเขาไหม?”
“อืม เอาเลย!”
…
ดังนั้นเมื่อทั้งสี่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าเหรียญทองถูกขโมยไปหมด โชคดีที่พวกหัวขโมยเหล่านั้นใจไม่ถึง จึงเอาไปเพียงเหรียญทองและเหรียญเงินเล็กน้อย และไม่กล้าแตะต้องธนบัตรทองคำของเฟิงจี้สิงด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นผู้บัญชาการทหารอวี้หลินผู้นี้คงเลือดขึ้นหน้าเป็นแน่
เฟิงจี้สิงกุมหน้าผากพึมพำด้วยน้ำเสียงน่ารำคาญ “ไอ้สารเลวหน้าไหนกล้ามาขโมยถุงเงินของพยัคฆ์แห่งถนนทงเทียน…”
หลินมู่อวี่พูดเสริม “เหรียญทองกว่าร้อยเหรียญของข้าก็ถูกขโมยไป…”
ฉู่ฮว๋ายเหมียนหัวเราะ “แค่เงินหายไป แต่มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว ข้าจะกลับไปนอนล่ะ”
“กลับกันเถิด คราวหน้าค่อยมาดื่มด้วยกันใหม่”
“อืม!”
………………………………….