The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1053 - รูปแบบของวิบัต
ปั้ง!
ครึ่งวันต่อมาเกิดรูที่หน้าผากตงฟางเถียนเฟิง โลหิตกระจายออกมาจากบาดแผล ดวงตานางดูแปลกประหลาด นางกลายเป็นควันสลายไป
เหลือเพียงซือหยูคนเดียวในหอคอยอันกว้างใหญ่กับเด็กสาวตัวน้อยน่ารัก
“นายน้อยพลังของท่านไม่มีใครเทียบได้แล้ว! ไม่มีใครในโลกนี้ทำอะไรได้แน่! ทั้งสองหมื่นคนเอาชนะนายน้อยคนเดียวยังไม่ได้เลย”
จางตี๋เก้อกล่าวชมด้วยความยินดี
“เจ้ารู้จักประจบประแจงตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซือหยูปัดฝุ่นที่มือและเรียกลูกแก้วบนพื้นกลับมาเช่นเดียวกับกระบี่เงินกล้วยไม้สวรรค์
ตงฟางเถียนเฟิงเป็นคนสุดท้ายที่เขาจัดการในตอนที่นางถูกสังหาร ยอดฝีมือคนอื่นได้สลายไปก่อนแล้ว
ขั้นตอนไม่ได้ง่ายดายและไม่ต้องลงแรงอย่างที่จางตี๋เก้อพูดแม้ว่าประสบการณ์ที่ได้จากการต่อสู้กับร่างเงาจะไม่เหมือนของจริง
ร่างเงาของบางคนก็ยากที่จะจัดการอย่างปิงหวูชิงที่มีกระบี่ไร้วันสลาย ซือหยูไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณต่อสู้กับนาง
และยังมีปี้หลิงเทียนอีก!ชายคนนี้นับว่าแปลกประหลาด ในด้านพลังและสมบัติที่ใช้ เขาถือเป็นนักสู้ธรรมดา
ไม่มีอะไรในตัวเขาที่โดดเด่นเลยแต่ในการต่อสู้ก็ต้องรับมือกับวิชาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวิชาของเขา ซือหยูต้องต่อสู้กับเขาหลายครั้งและใช้เวลานานกว่าจะเอาชนะได้!
ปี้หลิงเทียนไปเอาวิชาเหล่านั้นมาจากไหนกัน?!ซือหยูได้แต่แปลกใจ
แม้จะมีพลังเวลาและข้อได้เปรียบในเรื่องวิชากว่าคนอื่นการรับมือกับวิชาที่เป็นระดับตำนานทั้งหนึ่งร้อยวิชาก็ถือเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ
ในชีวิตนี้คนที่ซือหยูรู้จักคนเดียวที่รู้วิชามากมายนับร้อยวิชาก็คือเซี่ยจิงหยู! แต่เซี่ยจิงหยูมาจากเผ่าพันธุ์ชาวสตรีเทวะที่มีระดับปัญญาสูงส่ง
แต่พลังของปี้หลิงเทียนต้องเอาเหตุผลใดมาอธิบายกัน?
ปี้หลิงเทียนเป็นคนที่ลึกลับของจริงและก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขายังไม่ได้แสดงไพ่ตายของตัวเองออกมาจากร่างเงา ซือหยูจดจำไว้ในใจว่าต้องระวังเขา
และสุดท้ายก็คือตงฟางเถียนเฟิงนางเป็นสตรีไร้เทียมทาน
ในทีแรกซือหยูไม่เข้าใจความซับซ้อนของชื่อนาง แต่เมื่อได้สัมผัสกับยอดฝีมือดินแดนอื่น เขาก็ได้รู้ที่มาของสกุลตงฟาง นางคือสมาชิกตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งก็คือตระกูลบูรพาตงฟาง พวกเขาคือตระกูลโบราณของจิวโจวเป็นตระกูลยิ่งใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งกว่าจิวโจวเสียอีก
ไม่มีใครรู้ว่าตระกูลบูรพาอยู่มานานแค่ไหนและผ่านช่วงเวลามากี่ศตวรรษสิ่งเดียวที่พวกเขารู้ก็คือตระกูลบูรพานั้นมีเซียนคอยปกป้องอยู่ในทุกยุคสมัย และพวกเขายังมีเซียนถึงสองคนในยุคสมัยนี้
นี่คือสิ่งที่ทั้งจิวโจวตกตะลึง
ภูมิภาคบูรพานั้นกลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตระกูลบูรพาทั้งสิ้นซือหยูแทบจินตนาการความยิ่งใหญ่ของตระกูลนี้ไม่ออก!
ซือหยูเตรียมพร้อมทุกอย่างขณะที่ต่อสู้กับตงฟางเถียนเฟิงแต่ผลที่ได้ก็ไม่คาดคิด เขาเอาชนะอย่างไม่ยากเย็นด้วยวิชามายา จางตี๋เก้อ และกระบี่ไผ่เงิน ตงฟางเถียนเฟิงนั้นอ่อนแอกว่าที่เขาคิด
นางอ่อนแอยิ่งกว่าปิงหวูชิง!
นางปิดบังพลังเอาไว้ได้อย่างประหลาด ตั้งแต่ลูกไม้และวิธีการในการต่อสู้จากร่างเงาพลังวิเศษ และสมบัติที่ใช้ในแดนมณีจะถูกบันทึกมาในโลกเสมือนของวิบัติวิชา ด้วยการต่อสู้ในหอคอยร้อยชั้น ยอดฝีมือส่วนมากได้ใช้ไม้ตายของตัวเองออกมาจนหมดสิ้น แต่ตงฟางเถียนเฟิงคือข้อยกเว้น
นางแทบจะไม่ได้ใช้วิชาที่ทรงพลังออกมาเลยร่างเงาของนางจึงได้อ่อนแอ…ความลึกล้ำของนางนั้นถูกปกปิดเอาไว้ทั้งหมด ซือหยูหัวเราะเบา ๆ
ซือหยูเหลือบมองรอบๆ
“ร่างเงาทั้งหมดถูกทำลายไปแล้ววิบัติวิชาจบลงแล้ว ถึงเวลาออกจากโลกนี้สักที ยังเหลือวิบัติสัตว์อสูรอยู่อีก!”
ที่โลกภายนอกยอดฝีมือทุกคนทำท่าทางเดียวกับตอนที่พวกเขาทำก่อนที่แรงสั่นสะเทือนจะเกิดขึ้น พวกเขายังคงไม่ขยับเขยื้อน
บางคนถือกระบี่ค้างไว้บางคนกำลังกระซิบกระซาบที่ข้างหูอีกคน บางคนยิ้มด้วยความมั่นใจ หลายคนเหงื่อหยดไหลด้วยความเคร่งเครียด
เหตุการณ์ทั้งหมดถูกแช่แข็งไว้ในกาลเวลาแต่มีหนึ่งคนที่ต่างออกไป นางหันมาเหลือบมองยอดฝีมือด้านหลัง แววตาของฮั่นเฟยนั้นเด็ดเดี่ยว
สุริยาดำสนิทแปดดวงอยู่ตรงหน้านางปิดประตูทั้งแปดเอาไว้
ที่ด้านนอกประตูนั้นมีเสียงคำรามและกลิ่นโลหิตไม่ขาดสายมันมีพลังอสูรที่น่าตกใจอยู่ด้วย มันมีกลิ่นอายของสัตว์อสูรเนรมิตร!
ฮั่นเฟยนั้นสัมผัสได้ถึงอันตรายจากกลิ่นอายสัตว์อสูรได้ดียิ่งกว่าใครตามสัญชาตญาณและนางรู้ตัวด้วยว่าสัตว์อสูรตัวนั้นกำลังพุ่งเป้าหมายมาหานาง
นี่คือวิบัติสัตว์อสูร!
ครึ่งวันหลังจากฝ่าวิบัติวิชามาได้วิบัติสัตว์อสูรได้เริ่มต้นขึ้นพอดี ระยะเวลาห่างกันไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สวนสัตว์อสูรเปิดกว้างเหล่าสัตว์อสูรที่เพาะพันธุ์และทำรังมาชั่วกัลป์ได้ถูกปล่อยออกมาทั่วแดนมณี ทั้งแดนมณีเต็มไปด้วยสัตว์อสูร!
ฝูงสัตว์อสูรขนาดใหญ่สัมผัสยอดฝีมือด้านในหอคอยได้และพุ่งตรงมายังที่นี่ราวกับกองทัพขนาดมหึมา
สัตว์อสูรเนรมิตระดับหนึ่งสองตัวเป็นผู้นำฝูงตามด้วยจ้าวเทวะพันตัว สัตว์อสูรภูติอีกหลายแสนตัว
ฝูงสัตว์อสูรขนาดใหญ่วิ่งฝ่าเข้ามาดั่งคลื่นกรรโชกแรงภาพที่ได้เห็นนั้นคือภาพสัตว์อสูรคลื่นทมิฬที่พลังมนุษย์มิอาจต่อกรได้!
ฮั่นเฟยแก้วิบัติวิชาได้อย่างง่ายดายด้วยสุริยาทมิฬอสูรสวรรค์ของนางและนางกำลังเผชิญหน้ากับฝูงสัตว์อสูรเหล่านั้น
เคราะห์ดีที่หอคอยแห่งนี้มิอาจทะลุทะลวงได้มันคือปราการแน่นหนา ฮั่นเฟยเพียงแค่ต้องป้องกันประตูทั้งแปดด้วยตัวเองเท่านั้น แต่มันเป็นเพียงแค่แผนชั่วคราว เหล่าสัตว์อสูรไม่รู้เหนื่อยมันรวมฝูงกันอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะทำลายม่านพลังของประตู แม้สัตว์อสูรที่วิ่งเข้าใส่สุริยาทมิฬทุกตัวจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนโคลนตกสู่ห้วงทะเล
แต่วิชาสุริยาทมิฬอสูรสวรรค์ก็ค่อนข้างใช้พลังมาก
ฮั่นเฟยใช้วิชานี้มาแล้วสามชั่วยามและเป็นอันตรายอย่างยิ่งที่มันจะถึงขีดจำกัด
นางหันกลับมาเหลือบมองผู้คนที่ยังไม่มีใครตื่นนางได้แต่ถอนหายใจอย่างไร้ความรู้สึก
“ข้าเมตตาพวกเจ้ามามากพอแล้วดูแลตัวเองก็แล้วกัน”
ฮั่นเฟยไม่ปล่อยให้สัตว์อสูรเข้ามาตั้งแต่แรกเพราะความใจดีของนางนางถึงกับเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคนที่ไม่รู้จัก ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่เข้าสู่วิถีอสูรมักจะเห็นแก่ตัวและไร้หัวใจเมื่ออยู่ภายใต้อำนาจพลังอสูร ฮั่นเฟยเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เหตุผลเดียวที่นางทำแบบนี้ก็เพราะนางกลัวว่าหมาดำจะกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบดังนั้นนางจึงปกป้องยอดฝีมือทั้งสองหมื่นคนและป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่เหล่ายอดฝีมือด้านหลังนางไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลยหลังจากเวลาผ่านมานานนางไม่มีทางเลือกนอกจากทิ้งที่นี่และหาที่หลบภัยของตัวเอง แต่เมื่อนางกำลังจะหนี นางก็หันกลับไปมอง นางตาลุกวาว
“แม่นางฮั่นเจ้าไม่สนใจเพื่อนร่วมสำนักเลยรึ?”
ซือหยูชี้กลุ่มศิษย์สำนักอสูรสวรรค์
ฮั่นเฟยตอบอย่างไร้อารมณ์
“สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้ข้าพาหลายคนไปด้วยได้โอ้ ข้าจำได้ว่าเจ้ามีมิติพกพาอยู่นี่! ถ้าเจ้าพาพวกนั้นไปกับเจ้า สำนักอสูรสวรรค์จะรู้สึกขอบคุณเจ้ามาก”
นางไร้หัวใจจริงๆ! นางไม่มีความรักในสหายร่วมสำนักแม้แต่น้อย ซือหยูส่าบหน้าเบาๆ
“แค่พวกฝูงสัตว์อสูรไม่ได้ต่อต้านยากอะไรทำให้เจ้าคิดว่าฝูงสัตว์อสูรคือวิบัติสัตว์อสูรเล่า?”
ซือหยูมองทะลุผ่านนางไปยังฝูงสัตว์อสูรที่อยู่ไกลออกไป
ฮั่นเฟยผงะ
“นี่คือฝูงสัตว์อสูรที่จะปรากฏตัวในทุกร้อยปีมันยังไม่พอที่จะนับเป็นวิบัติอีกรึ? ในแดนเหนือที่ข้าอาศัย ฝูงสัตว์อสูรปริมาณนี้ต้องใช้อสูรเนรมิตรอย่างน้อยสิบคนในการรับมือ เพื่อที่จะกำจัดพวกมัน เจ้าสำนักเราจำเป็นต้องใช้พลังเซียนด้วย”
ซือหยูส่ายหน้า
“ข้าขอยืนยันคำเดิมฝูงสัตว์อสูรไม่เท่ากับวิบัติสัตว์อสูร! ถ้าเจ้าคิดว่าวิบัติสัตว์อสูรจะจบลงเมื่อฝูงสัตว์อสูรกลับไป เจ้าก็เตรียมตัวตายได้เลย!”
ฮั่นเฟยครุ่นคิด “ใยเจ้าพูดเช่นนั้น?”