The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 330
“เราควรจะไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นพวกสัตว์อสูรจะมาอีก!”
ซือหยูใจเย็นลงและใช้ความคิด เขาเก็บธนูกลับสู่คันฉ่อจักรวาลและบินออกจากชั้นใต้ดิน
ผืนธรณีรอบประตูเหล็กในทุกมุมนั้นไหม้เกรียม
“สัตว์อสูรอะไรกันที่ทำแบบนี้ได้?”
ฮั่วฉีหลานสีหน้าหม่นหมอง นางมองตรงที่ที่เกิดการทำลายล้าง
ซือหยูใช้พลังดวงตาแต่ก็มองเห็นแต่เพียงแสงสีแดงที่หายไปจากระยะไกล
“รีบกลับไปที่เมืองอันยี่เถอะ!”
ผ่านมาแล้วครึ่งเดือน พวกเขายังไม่รู้ชะตาของตู่หลง!
พวกเขารีบบินไปยังเมืองอันยี่ด้วยความเร่งรีบ
ตลอดทาง พวกเขาเจอสัตว์อสูรไม่มากนัก
“ดูเหมือนว่าอำมฤตระดับสี่ที่พวกเราเจอจะเป็นพวกตัวแถวหน้า คลื่นสัตว์อสูรจริงๆยังมาไม่ถึง! แต่มันจะมาไม่อีกไม่นาน!”
ซือหยูกับสตรีทั้งสองบินผ่านฝูงสัตว์อสูร
สัตว์อสูรในขอบเขตมังกรระดับห้าสี่ตัวกำลังต่อสู้กันบนซากมนุษย์
ซากศพนั้นเด็กสาวที่อายุเพียงสิบปี!
ข้างนางคือผู้เป็นพ่อที่เหลือเพียงแต่กระดูกกับเศษเนื้อ
ซากศพของเด็กสาวนั้นชะตาไม่ต่างกับพ่อของนาง
ดวงตาที่หลุดออกมานั้นไร้แวว คงไว้เพียงนภาห่างไกลส่องสะท้อน
ศพของนางกลายเป็นอาหารของเหล่าสัตว์อสูร
ซือหยูหยุดมองดวงตาคู่นั้น จิตใจเขาถูกทำร้าย
พรึ่บ–
เขาฆ่าสัตว์อสูรทั้งสี่ด้วยพลังวิญญาณที่มองไม่เห็น
ฮั่วฉีหลานสีหน้าเย็นชา
“ไปเถอะ”
มนุษย์กับสัตว์อสูรมิอาจอยู่ร่วมกันได้
พวกเขาพบเห็นภาพที่คล้ายคลึงกันตลอดการเดินทาง ป่าทมิฬอันกว้างใหญ่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นโลหิต ในตอนนี้…ที่นี่ได้กลายเป็นนรก! นี่เป็นเพียงแค่คลื่นสัตว์อสูรแรกๆเท่านั้น! ส่วนคลื่นที่แท้จริงจะมีพลังเหนือกว่านี้หลายเท่า
พวกเขาเข้าเมืองไปด้วยความหนักใจ พวกเขาพบเมืองอันรกร้างว่างเปล่า ครึ่งเดือนก่อนที่นี่ยังเต็มไปด้วยผู้คน แต่ในตอนนี้เหล่าประตูและร้านรวงต่างๆปิดแน่น ไร้คนเดินบนถนน หรือถ้ามีพวกเขาก็รีบไปหาที่ซ่อนอื่น บางทีอาจจะมุ่งหน้าไปทางเมืองในตอนเหนือ
กลุ่มทหารรีบไปที่กำแพงเมือง พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ จิตสังหารปะปนไปทั้งเมืองอันยี่ บนท้องฟ้าก็มีกลุ่มมนุษย์หนีออกจากเมืองอันยี่ไป มีเพียงยอดฝีมือหนึ่งในสิบส่วนที่เลือกจะอยู่ต่อ
“พวกนั้นมาเพื่อเอาค่าหัว!”
ซือหยูยืนดูป้ายประกาศหน้าเมือง
ครึ่งเดือนก่อน เจ้าเมืองอันยี่ได้กำหนดค่าหัวเอาไว้ คนที่ต่อสู้กับคลื่นสัตว์อสูรจะได้รางวัล
สังหารสัตว์อสูรขอบเขตมังกรระดับหนึ่งจะได้หนึ่งคะแนน สังหารระดับสองจะได้สองคะแนน เป็นเช่นนี้เรื่อยไป
หากฆ่าสัตว์อสูรมังกรระดับเจ็ดก็จะได้เจ็ดคะแนน แต่ถ้าสังหารอำมฤตระดับหนึ่งจะได้ร้อยคะแนน
การฆ่าอำมฤตระดับสองจะได้พันคะแนน และระดับสามจะได้หมื่นคะแนน!
ถ้าฆ่าสัตว์อสูรขอบเขตอำมฤตระดับสี่ ก็จะได้แสนคะแนน! หนึ่งพันคะแนนจะเอาไปแลกกับเศษตำราระดับอำมฤตได้
ที่น่าตกใจที่สุดคือหมื่นคำแนนจะเอาไปแลกกับตำราอำมฤตแบบสมบูรณ์ได้ทันที! ตำราอำมฤตแบบสมบูรณ์นั้นล้ำค่าเพียงใดกันน่ะรึ? แม้แต่ขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ในทวีปก็ไม่มีตำราเหล่านั้นมากนัก
เห็นได้เลยว่าตระกูลตู่ไม่คิดจะพยายามปกป้องเมืองอันยี่ พวกเขาใช้แม้แต่วิชาอำมฤตแบบเต็มเล่มออกมาเป็นรางวัล! แต่ก็มีข้อแม้สุดท้าย! แสนคะแนนจะเอาไปแลกสมบัติในห้องเก็บสมบัติตระกูลตู่ได้!
หยดหมื่นพลสิบหยดของตระกูลตู่นั้นเทียบได้กับสมบัติเทพระดับกลาง นี่จึงเป็นเหตุที่ตระกูลตู่มีชื่อเสียง ถ้ามีใครได้แสนคะแนนไปก็แสดงว่าพวกเขาก็จะได้หยดหมื่นพลสิบหยดน่ะสิ! แม้แต่คนธรรมดาก็อยากได้ ไม่ต้องพูดถึงเหล่าขุมกำลังเลย!
ซือหยูเคยได้รู้ผลของหยดหมื่นพลด้วยตัวเองมาแล้ว เขาจะไม่เข้าใจความล้ำค่าของมันได้ยังไง?
แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารสัตว์อสูรระดับสี่นอกจากเจ้าตระกูลตู่จะลงมือเอง! รางวัลนั้นหลอกล่อได้ดีก็จริง แต่ในความจริงแล้วคนนอกไม่มีทางหวังจะได้มัน
พวกเขาตัดสินใจประกาศเช่นนี้เพื่อทำให้เหล่ายอดฝีมือสนใจและเข้ามาช่วยต้านเหล่าสัตว์อสูรที่กำลังจะมา
ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ศิษย์พี่ฉีหลาน ข้าคนเดียวยังพอช่วยตู่หลงได้ พาหยุนเซี่ยงกลับเขตหยินหยูเถอะ”
ฮั่วฉีหลานเลิกคิ้ว
“สัตว์อสูรที่กำลังจะมาอันตรายแค่ไหนก็ไม่รู้ มันอันตรายเกินไปถ้าเจ้าจะอยู่ตัวคนเดียว”
“ก็เพราะมันอันตรายนั่นแหละ เจ้าถึงไม่ควรจะอยู่ที่นี่!”
ซือหยูพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเราคงจะรับมือได้ แต่หยุนเซี่ยง…”
“แล้วข้าก็มีแผนที่จะช่วยตู่หลงแล้ว คนที่เยอะเกินไปอาจจะทำให้ข้าเสียแผน กลับไปซะ ข้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
ซือหยูมุ่งมั่น
ฮั่วฉีหลานยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“ก็ได้ ดูแลตัวเองด้วย!”
แต่ฉีหยุนเซี่ยงยังคงยืนอยู่ที่เดิม นางไม่คิดจะไปไหน สีหน้านางอับอาย นางเป็นตัวถ่วงซือหยูอีกครั้งแล้ว!
“หยุนเซี่ยง เมื่อเจ้ากลับไป เจ้าจงทำตามคำขอของข้าทันที ค้นหาคนสองคน คนแรกคือพ่อเจ้า ส่วนคนที่สอง…”
ซือหยูไม่พูดต่อ
ฮั่วฉีหลานอยู่ข้างเขา เป็นนางที่พาเซี่ยจิงหยูไป
ถ้าซือหยูพูดต่อหน้านาง ตัวตนของซือหยูจะถูกเปิดเผยแน่นอน
ความบาดหมางระหว่างเขากับฮั่วฉีหลานนั้นเล็กน้อย แต่ที่สำคัญกว่าคือคนที่อยู่ในเกาะเฉินยี่จะเป็นอันตรายถ้าตัวตนของเขาถูกเปิดเผย
ความไม่พอใจบนใบหน้าของฉีหยุดเซี่ยงลดลง นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“อืม ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”
ฉีหยุนเซี่ยงจ้องซือหยูและบินขึ้นสู่นภาไปพร้อมกับฮั่วฉีหลาน
หลังจากที่ทั้งสองไป ซือหยูหันมองป้ายประกาศ
ไม่นานนัก ที่ตำหนักเจ้าเมืองอันยี่
เหล่ายอดฝีมือรวมตัวเบียดกันแน่นเข้าสู่กลางโถงตำหนัก มีคนรับใช้มากมายที่รีบมาต้อนรับเหล่ายอดฝีมืออย่างรีบร้อน
“เฮ้ สหาย ข้าชื่อหวงฉีซาน เจ้ามาที่นี่เพื่อสมัครล่าสัตว์อสูรใช่หรือไม่? เจ้าคิดจะรวมกลุ่มกับข้าไหม?”
เด็กหนุ่มที่ร่างกายกำยำพูดอย่างกระตือรือร้น
ที่นี่คือที่ที่ใช้ลงทะเบียนในการล่าสัตว์อสูร การรับสมัครกำลังจะปิดแล้วแต่ก็ยังมียอดฝีมือมากมายเข้ามาสมัครเพื่อล่า พวกเขาพยายามอย่างมากเพื่อที่จะได้ล่าตามที่เจ้าเมืองอันยี่ต้องการ
ซือหยูแสร้งหยุดคิดก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าชินกับการทำอะไรคนเดียวแล้วล่ะ”
มันอันตรายเสียยิ่งกว่าหากจะต้องรวมกลุ่มกับคนแปลกหน้า
ชายร่างกำยำไม่พอใจ เขาจ้องมองซือหยู
“เจ้าหนู ฝูงสัตว์อสูรมันอันตรายกว่าที่เจ้าคิดอีกนะ ตัวเล็กอย่างเจ้ายังเป็นไม้จิ้มฟันของมันไม่ได้เลย!”
“เจ้าต้องเพิ่งพ่อแม่เมื่ออยู่บ้าน แต่ก็ต้องพึ่งมิตรสหายที่ข้างนอก เจ้ายังเด็กเลยยังไม่รู้อันตรายของโลกใบนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ซือหยูเลิกคิ้ว เขาเริ่มหมดความอดทน
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย…ไม่จำเป็น!”
ซือหยูถอนหายใจแรง เขาปฏิเสธอย่างไม่เป็นมิตร
หวงฉีซานสูญเสียความอดทน สีหน้าของเขาเริ่มไม่เป็นมิตรเมื่อเกลี้ยกล่อมซือหยูล้มเหลว
“เจ้าหนู! ข้าขอให้เจ้ามาร่วมกับข้าเพราะเห็นแก่พลังของเจ้า! อย่าไร้ยางอายให้มันมากนัก!”
“เจ้าจะไม่อยู่กับข้าก็เรื่องของเจ้า ข้าต้องสนใจเด็กน้อยอย่างเจ้าด้วยรึ?”
ซือหยูเลิกคิ้ว เขาไม่คิดจะยุ่งกับคนโง่เช่นนี้
หวงฉีซานมีเพลิงร้อนรุ่มอยู่ในอก เขาจ้องซือหยูด้วยความมุ่งร้าย
ไม่นานก็ถึงคิวของซือหยู
“เจ้า…คิดจะสมัครจริงๆรึ?”
ชายที่ให้บริการเขาคือชายแก่…สีหน้าของเขาประหลาด
เขาไม่ใช่ใครอื่น เขาเป็นคนที่ทดสอบพลังของซือหยูที่ประตูเมืองคราวก่อน เขาถูกซือหยูสั่งสอนในคราวนั้น
เมื่อชายแก่เห็นซือหยูอีกครั้ง ริมฝีปากเขาก็กระตุก