The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 335
พื้นที่เต็มไปด้วยเศษเนื้อเปล่งพลังความเย็นออกมา
สามลี้นับจากตรงนี้ ทุกสิ่งเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง
เหล่าสัตว์อสูรโดยรอบยังคงอยู่ในท่าเดิมก่อนตาย นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกมันถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็วจนไม่มีแม้แต่เวลาจะได้ตอบสนอง
“เย็นยิ่งนัก!”
ซือหยูตกใจ ผนึกเพลิงเมฆาบนหน้าผากลุกอย่างต่อเนื่องราวกับกองเพลิง
เมื่อมองเศษซากที่กระจัดกระจาย ซือหยูก็ตกตะลึง
“สมกับเป็นสัตว์อสูรระดับสี่ พลังความเย็นในโลหิตเทียบไม่ได้กับสัตว์อสูรธรรมดาเลย”
เมื่อครู่ นี่คือสัตว์อสูรที่แทบจะทำลายล้างเหล่ายอดฝีมือ
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเมืองอันยี่ลงมือ เมืองอันยี่ก็คงจะถูกทำลายในพริบตาเดียว!
“ถ้าข้าดูดซับพลังในโลหิตนี้ พลังความเย็นในกายข้าจะเติบโตขึ้นเท่าใดกัน”
แววตาซือหยูเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ตั้งแต่ที่สระน้ำแข็ง ซือหยูไม่มีโอกาสได้พบกับพลังความเย็นที่แข็งแกร่งกว่าเลยแม้สักครั้ง
โลหิตของสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือพลังความเย็นสูงสุดที่เขาเคยเจอ
ถ้าเขาดูดซับมันให้เป็นของตัวเองล่ะก็….
ซือหยูเดินไปยังหยดโลหิตที่หยดลงบนก้อนศิลาทันที
โลหิตนั้นเป็นประกายระยิบระดับดั่งอัญมณี มันไม่มีสิ่งปนเปื้อนแม้แต่น้อย
แต่ศิลาที่อยู่ใต้โลหิตนั้นดูราวกับเมล็ดข้าว
ด้วยพลังความเย็นเช่นนี้ ศิลาแทบจะคงรูปลักษณ์เดิมไม่ได้
เมื่อซือหยูเข้าไปใกล้ขึ้น ทั้งร่างของเขาก็เต็มไปด้วยน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก
ซือหยูก้าวไปข้างหน้า เมื่อเขาไปถึงครึ่งก้าว กล้ามเนื้อของเขาเริ่มหดตัว พลังความเย็นราวกับหนามแหลมที่ทิ่มแทงเนื้อหนัง!
ซือหยูคำรามกัดฟันคว้าหยดโลหิตขึ้นมา
แกร๊ก—
ทั้งกายของซือหยูถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เขาขยับไม่ได้อีกต่อไป
พลังงานในร่างถูกดูดกลืนอย่างรวดเร็ว
และแม้วิญญาณก็หนาวเหน็บ!
ภาพที่มองเห็นเลือนลางลงไป สติของเขาเริ่มจะหยุดทำงาน
เพียงโลหิตหยดเดียวก็มีพลังเช่นนี้!
ในตอนนี้ ผนึกเพลิงเมฆาบนหน้าผากลุกโชน มันกลืนกินพลังความเย็นนั้นเข้าไป
หัวใจแก่นแท้จิตน้ำแข็งของซือหยูเต้นอย่างบ้าคลั่ง
น้ำแข็งในร่างเริ่มละลาย หมอกขาวกระจ่างเกิดขึ้นทำให้สิ่งรอบข้างราวกับเป็นดินแดนมหัศจรรย์
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ซือหยูไม่อยู่ในสภาพที่เป็นน้ำแข็งอีกแล้ว
เฮือก—-
ซือหยูสะบัดตัว เขาหายใจเข้าลึกในทันที เขาหน้าแดงก่ำ แววตามีแต่ความกลัว
“พลังนี่มันน่ากลัวจริงๆ! โลหิตหยดเดียวก็เกินพอที่จะแช่แข็งข้าให้ตายได้แล้ว!”
แม้เขาจะมั่นใจอยู่บ้างว่าเขาจะชำระหยดโลหิตได้ มันก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อครู่…ชีวิตเขาถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย
แต่สิ่งที่เขาได้รับนั้นนับว่ายิ่งใหญ่
ผนึกเพลิงเมฆาบนหน้าผากได้เปลี่ยนจากสีชาดเป็นสีแก้วกระจ่างมองดูคล้ายกับเพลิงสองกองที่ลุกพร้อมกัน
และพลังความเย็นยังเพิ่มขึ้นมาเป็นสามเท่า!
เมื่อเขาปล่อยลมหายใจ เขาก็ปลดปล่อยพลังความเย็นมากพอที่จะทำให้คนตายได้
แต่มันก็ยังไม่พอ!
ซือหยูออกเดินหลายสิบลี้ เขาใช้เวลาหลายชั่วยามในการเก็บโลหิตให้มากเท่าที่เขาจะทำได้
เขานั่งลงในหลุมใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาถือกล่องหยกไว้ในมือ กล่องหยกนั้นส่งพลังความเย็นไปถึงกระดูกออกมา เขาโศกเศร้า
“พลังความยเ็นส่วนมากถูกเจ้าเมืองอันยี่ทำลายไปแล้ว เหลือหยดโลหิตแค่เก้าหยดเท่านั้น”
ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ซือหยูกลืนหยดโลหิตอีกหนึ่งหยด
ร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยพลังความเย็นอีกครั้ง แม้ว่ามันจะไม่อันตรายเท่าครั้งแรก แต่มันก็แช่แข็งพลังชีวิตของซือหยูไปมากกว่าครึ่ง!
หลังจากดูดซับพลังงานจนสำเร็จ ซือหยูพักอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็กัดฟันดูดกลืนโลหิตหยดต่อไป
ครึ่งวันผ่านไป
ทุกสิ่งในระยะสามสิบลี้โดยมีซือหยูเป็นจุดศูนย์กลางนั้นถูกปกคลุมด้วยพลังความเย็นอันน่ากลัว
แม้แต่คลื่นสัตว์อสูรก็ต้องเปลี่ยนเส้นทาง สัตว์อสูรทั้งหมดที่เข้ามาในระยะล้วนถูกแช่แข็ง
แกร๊ก—-
ทันใดนั้นเอง คลื่นความเย็นขาวกระจ่างดั่งคลื่นยักษ์ก็พุ่งเข้าไปทางเมืองอันยี่
คลื่นความเย็นได้ยื่นออกไปหลายสิบลี้ เหล่าบุพผาแมกไม้ล้วนกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง
หากมองดูจากที่ไกลจะพบว่ามันงดงามราวกับมหาสมุทรเชี่ยวกรากที่สงบลง
ที่ศูนย์กลางพลัง ชายหนุ่มที่ทั้งกายปกคลุมด้วยน้ำแข็งลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
ดวงตาสีดำทั้งสองข้างเปล่งประกายดั่งมุกน้ำแข็ง แสดงความเย็นอย่างไร้สิ้นสุด
เฮือก—
ซือหยูสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง พลังความเย็นปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่
“ขีดจำกัดของข้าอยู่ที่แปดหยดสินะ?”
เขามองหยดโลหิตที่เหลือในขวดหยกและรู้สึกประหลาดใจ
ร่างกายและดวงวิญญาณของเขาไปถึงขีดจำกัดที่มิอาจดูดซับพลังความเย็นได้มากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเขาดูดซับมันต่อไป ร่างของเขาจะระเบิดออก…และเขาจะตาย
ซือหยูเก็บหยดโลหิตที่เหลืออย่างระมัดระวัง เขาพอใจมากกับผลของโลหิตเยือกแข็งนี้
แค่พลังความเย็นอย่างเดียว การหายใจของเขาก็ทำให้ยอดฝีมือขอบเขตอำมฤตระดับสองถูกแช่แข็งในพริบตาแล้ว
ถ้าเขาใช้พลังเต็มที่ ขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นสูงก็จำต้องถอยหนี
หากมองดูจากพลังก็พูดได้เลยว่าเขาเพิ่มพลังไปหนึ่งระดับเต็มๆ
และน่าประหลาดมากที่พลังอันแข็งแกร่งในโลหิตทำให้ฐานพลังของซือหยูเพิ่มขึ้นเป็นอำมฤตระดับสองขั้นสูง
เขาใกล้เคียงกับอำมฤตระดับสามอย่างมากแล้วในตอนนี้
เขายืนขึ้นช้าๆและมองไปทางเมืองอันยี่
“ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะไม่ทำให้มือข้าต้องเปื้อนเลือดนะ!”
พรึ่บ–
แสงกระจ่างแล่นผ่าน ซือหยูกลายเป็นก้อนน้ำแข็งและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ที่เมืองอันยี่
คลื่นสัตว์อสูรยังคงโหมกระหน่ำไร้สิ้นสุด เหล่านักสู้พยายามสุดฝีมือเพื่อที่จะโต้กลับ
ที่หน้ากำแพงเมืองเต็มไปด้วยซากศพสัตว์อสูรนับไม่ถ้วน มีมนุษย์มากกว่าสองในสิบส่วนที่ตายไปเช่นกัน
ส่วนมนุษย์ที่เหลือทุกคนนั้นเหนื่อยอ่อน พวกเขาใช้พลังวิญญาณและพลังกายจนเกินกำลัง
คลื่นสัตว์อสูรในครั้งนี้ประหลาดกว่าคลื่นก่อนๆไปมาก!
ไม่เพียงแต่มันจะมาก่อนล่วงหน้าครึ่งเดือน ปริมาณของพวกมันยังเหนือว่าในอดีตถึงห้าเท่า!
และราชาสัตว์อสูรที่มีพลังอำมฤตระดับสี่ที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ปรากฏตัวขึ้นมา
สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือคลื่นสัตว์อสูรในอดีตนั้นจะหนีไปจากมนุษย์เมื่อถูกฆ่า
ดังนั้นเหล่าสัตว์อสูรจะเข้ามาแค่ไม่นาน
แต่ในครั้งนี้ เหล่าสัตว์อสูรได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน มันไม่คิดจะหยุดแม้แต่น้อย
จำนวนมหาศาลของสัตว์อสูรที่มาจากศูนย์กลางป่าทมิฬนั้นไร้ที่สิ้นสุด
และพลังของสัตว์อสูรก็เริ่มเหนือกว่าเดิม สัตว์อสูรที่มีพลังอำมฤตระดับสามเริ่มปรากฏตัวมากขึ้น และระดับสามขั้นสูงที่เกือบจะได้เป็นราชาสัตว์อสูรก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน
เจ้าเมืองอันยี่ต้องรับมือกับสถานการณ์และสังหารพวกระดับสามทั้งหมดเพื่อป้องกันไม่ได้คนบาดเจ็บล้มตาย
แต่ท้ายสุดเขาก็มีเพียงคนเดียว สำหรับสัตว์อสูรหลายร้อยล้านตัวเช่นนี้…เขามิอาจฆ่าล้างได้ทั้งหมด
เหล่ายอดฝีมือจำนวนหนึ่งก็ถอยมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่หนีไปถูกลงโทษโดยการประหาร คนที่หวาดกลัวก็คงจะกระจัดกระจายไปเช่นกัน
ที่เขตตระกูลตู่
“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ราชาสัตว์อสูรคงจะมาอีกแน่!”
นายน้อยตระกูลตู่กุมท้องและพูดอย่างเคร่งเครียด
ตรงหน้าเขาคือเจ้าตระกูลตู่ที่ทำหน้าที่บัญชาการอยู่ที่กลางเมือง เขาคือเจ้าเมืองอันยี่…ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองอันยี่!
เจ้าเมืองอันยี่สีหน้าแสดงความกังวลเพียงเล็กน้อย
“ราชาสัตว์อสูรไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือสิ่งที่ทำให้เกิดสัตว์อสูรพวกนี้ เกิดอะไรขึ้นในป่าทมิฬถึงทำให้มีคลื่นสัตว์อสูรประหลาดเช่นนี้?”
“ข้าเกรงว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่ส่วนลึกของป่าทมิฬแน่”
นายน้อยตระกูลตู่พูดอย่างประหลาดใจ
“ท่านพ่อกำลังพูดถึงอันตรายที่พวกเราไม่รู้จักงั้นรึ? เมืองอันยี่ของพวกเราจะถูกทำลายงั้นรึ?”
เจ้าเมืองอันยี่ส่ายหัว
“แผนการใหญ่ของพวกเรากำลังจะสำเร็จ เมื่ออันยี่ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ถึงเราจะแพ้ มันก็ไม่ได้ทำให้ตระกูลเสียหายนัก”
“ที่ข้ากังวลก็คือเรื่องที่เราไม่รู้ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจจะส่งผลกับแผนของเรา!”